“ท่านคือ…”
หลิ่วหมิงมองคนตรงหน้าครู่หนึ่ง ชายผู้นี้ดูเหมือนจะอายุยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปี ตาโตคิ้วเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ เขาค่อนข้างคุ้นหน้ากับชายผู้นี้
“ข้าคือจินฮ่วน ตอนอยู่ตลาดเว่ยโจวข้ากับอาจารย์เคยเจอกับสหายหลิ่ว ตอนนี้ข้ารับคำสั่งจากอาจารย์ให้นำสิ่งของที่ท่านสั่งให้ทำมาส่ง” ในระหว่างที่พูดจินฮ่วนก็หยิบตลับหยกขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ แล้วส่งให้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้านึกออกแล้ว สหายจินคือคนของผู้อาวุโสฟาง” หลิ่วหมิงนึกขึ้นได้ในฉับพลัน เขารับตลับหยกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ตอนที่เขาเปิดตลับออกแล้วมองเข้าไปข้างใน ก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาในทันที
“ไม่เลว ผู้อาวุโสฟางสมกับเป็นนักหลอมอาวุธจิตวิญญาณอันกับหนึ่งของตลาดเว่ยโจว ไม่คาดคิดว่าจะใช้ระยะเวลาอันสั้นนี้หลอมสร้างสิ่งของชิ้นนี้ขึ้นมาได้จริงๆ” หลิ่วหมิงเก็บตลับหยกแล้วกล่าวด้วยสีหน้าพอใจ
“ถึงแม้ตอนแรกสหายหลิ่วจะให้วัสดุไว้เป็นจำนวนมาก แต่สิ่งของชิ้นนี้เล็กมาก อาจารย์ข้าก็ล้มเหลวติดกันเจ็ดแปดครั้ง ถึงหลอมสร้างออกมาได้ชิ้นหนึ่ง ตามที่ตกลงกันวัสดุที่เหลือให้ตกเป็นของอาจารย์ข้า และสัญญาสวรรค์ที่ได้ตกลงกันไว้ก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้” ชายหนุ่มกล่าวสีหน้าจริงจัง
“นี่เป็นเรื่องธรรมดา เดิมทีของสิ่งนี้ก็หลอมสร้างได้ไม่ได้ง่าย สามารถหลอมสร้างได้เร็วเช่นนี้ ก็เกรงใจผู้อาวุโสฟางมากแล้ว” หลิ่วหมิงกุมกำปั้นแสดงความนับถือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเช่นนี้ ธุระข้าก็เสร็จรีบร้อยแล้ว คงไม่อยู่ที่นี่นาน” จินฮ่วนพยักหน้าแล้วกระตุ้นไอขาวใต้ล่างให้เหาะออกไป
หลิ่วหมิงระงับความตื่นเต้นแล้วก็เหาะพุ่งไปยังเขาเก้าทารก
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงก็กลับถึงที่พัก พอนั่งขัดสมาธิลงไปในห้องฝึกฝน ก็หยิบตลับหยกใบนั้นออกมา แล้วเปิดฝามันออกอีกครั้ง
ในตลับหยกนั้นมีเข็มแหลมเล็กสีเขียววางอยู่เล่มหนึ่ง มันเปล่งแสงเย็นยะเยือกออกมา รูปร่างของมันแหลมเล็กเป็นพิเศษราวกับขนของวัว
“ขนหนูเยอะขนาดนั้น หลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณอย่างเข็มเงินนี้ได้เพียงเล่มเดียว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าวัสดุจำนวนเท่าไหร่ที่ตกเป็นค่าตอบแทนของการหลอมอาวุธ แต่ครั้งนี้ก็จ่ายไปไม่ใช่น้อย” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำกับตัวเองแล้วหยิบเข็มแหลมสีเขียวออกมาวางไว้ด้านหน้า
ตอนนั้นที่เขาเข้าไปร้านหลอมอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในตลาดเว่ยโจว เขาก็รีบหานักหลอมอาวุธที่ดีที่สุดในนั้น พร้อมกับมอบขนหนูยักษ์สีเขียวยี่สิบกว่าเส้นให้กับฝ่ายตรงข้าม ให้เขาใช้เป็นวัสดุหลักในการหลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณในรูปแบบเข็ม
ขอแค่หลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณได้สำเร็จหนึ่งเล่ม วัสดุที่เหลือจะให้เป็นค่าตอบแทนของนักหลอมอาวุธกับค่าวัสดุเสริมอื่นๆ
พอนักหลอมอาวุธผู้นั้นเห็นขนหนูที่เป็นปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายมากมายถึงเพียงนี้ ก็รีบตกปากรับคำในทันที และยังทำการสาบานต่อสวรรค์ด้วย
ด้วยข้อบังคับของคำสาบานบวกกับสถานะศิษย์ของนิกายปีศาจ หลิ่วหมิงก็ไม่กลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะผิดสัญญา
จนเมื่อเวลาผ่านไปนาน สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็หลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ได้สำเร็จ และยังให้ศิษย์มาส่งให้ด้วยตนเอง
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียว แล้วอ้าปากพ่นไอบริสุทธิ์ใส่เข็มแหลมเล็กสีเขียว
พริบตาเดียวเข็มแหลมเล็กสีเขียวก็ดูดไอบริสุทธิ์จนหมดสิ้น แล้วมันก็เริ่มค่อยๆ เปล่งประกายออกมาไม่หยุด
นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด อักขระพุ่งยิงติดต่อกันออกไปเป็นเส้นๆ
“ฟู่!”
อักขระสีเขียวจำนวนมากปรากฏขึ้นบนเข็มแหลมเล็กสีเขียว หลังจากที่มันรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นค่ายกลอักขระสามชั้นบางๆ ส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด
“ที่แท้ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำมีแค่สามชั้นจำกัด แต่มันเพียงพอสำหรับข้าในตอนนี้แล้ว ตั้งชื่อเจ้าว่า ‘เข็มเงาหยก’ แล้วกัน หวังว่าเจ้าสามารถไปมาได้อย่างไร้ร่องรอย” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่กลับรีบเปลี่ยนท่ามือเริ่มทำการกระตุ้นเข็มเงาหยก
หลายวันผ่านไป ในที่สุดหลิ่วหมิงก็กระตุ้นชั้นจำกัดแรกของเข็มเงาหยกได้สำเร็จ จากนั้นเขาคีบมันไว้ระหว่างนิ้ว แล้วแค่สะบัดมันเล็กน้อย มันก็กลายเป็นสายลมบางเบาที่เกือบจะมองไม่เห็นพัดผ่านไป
แสงขาวแวววาวเปล่งประกายขึ้นตรงผนังด้านหน้า จากนั้นก็มีจุดสีดำปรากฏขึ้นหนึ่งจุด และขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็กลายเป็นรูสีดำขนาดเท่ากำปั้น ขณะเดียวกันยังมีเหม็นกลิ่นคาวจางๆ โชยออกมาจากในนั้นด้วย
เข็มเงาหยกนี้ไม่เพียงแต่ไปมาไร้ร่องรอย ทั้งยังมีพิษที่รุนแรงด้วย
……
ในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนไหล่เขาเก้าทารก กุยหรูฉวย จูชื่อ นักพรตจง ยืนอยู่หน้าเตาหลอมยักษ์สูงหลายจั้ง ทุกคนต่างก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และร่ายคาถาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ด้านล่างของเตาหลอมยักษ์ยังมีค่ายกลอักขระสีเงินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้งส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด ลำแสงหลากสีปรากฏออกมาแล้วค่อยๆ จมหายเข้าไปในเตาหลอม
เตาหลอมนี้เป็นทองสัมฤทธิ์ มีสามขาสองหู มีเมฆอักขระจารึกหนาแน่นอยู่บนพื้นผิว ข้างในมีเสียงดังครั่นครืนและสั่นไหวอยู่ไม่หยุด ราวกับว่ามีสิ่งของบางอย่างกำลังพุ่งชนอยู่ในนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ลำแสงที่ปรากฏบนอักขระสีเงินยิ่งปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ ปกคลุมเตาหลอมจนมองเห็นได้เพียงลางๆ แต่เสียงที่ดังกระทบอยู่ด้านในก็ค่อยๆ เบาลงจนหายไปในที่สุด
“ได้เวลาแล้ว! สือชวนเตรียมพร้อมหรือยัง!” กุยหรูฉวนกล่าวอย่างเฉียบขาด
“เรียนอาจารย์ ศิษย์เตรียมพร้อมแล้ว!” ชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ในโถงใหญ่นานแล้วรีบก้าวไปหนึ่งก้าวพร้อมกับกล่าวออกมา
บนร่างของเขามีโซ่สีเงินจางๆ พันอยู่ เหมือนจะพันรอบตัวสิบกว่ารอบ สีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก
“ดี! ศิษย์น้องจู ศิษย์น้องจง เปิดเตาหลอมพร้อมกันเถอะ!” กุยหรูฉวนตะโกนบอกจูชื่อกับนักพรตจง
หลังจากที่เสียงร่ายคาถาหยุดลง พวกเขาชี้นิ้วผ่านอากาศไปบนเตาหลอมยักษ์พร้อมกัน
เสียงดัง “เพล้ง!” ฝาเตาหลอมสั่นไหวแล้วก็พุ่งหลุดออกไป
ครู่ต่อมา มีเสียงดัง “ฟู่!” เงาดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากเตาหลอม
แต่หลังจากที่กุยหรูฉวนและคนอื่นๆ ชี้นิ้วไปอีกครั้ง เงาดำก็เกาะตัวกันหยุดค้างอยู่กลางอากาศทันที มันคือศีรษะของชายที่มีตาสีแดง ปากสีดำ และผมยาวเป็นกระเซิง
ใต้คอของมันว่างเปล่า เขี้ยวสองอันยื่นออกมาจากปาก บนหัวยังมีเขาสั้นสีเขียวขนาดยาวไม่กี่ชุ่น อักขระ ‘ผนึก’ สีแดงขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือประทับอยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง และเมื่อถูกอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสามแสดงวิชาควบคุมมันให้อยู่กลางอากาศแล้ว มันก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดดังออกมา พร้อมกับส่ายหัวจนผมสีดำตั้งตรงขึ้นมาทั้งหัว ดูแล้วช่างดุร้ายเป็นยิ่งนัก
ในขณะนั้นเอง สือชวนกลับส่งเสียงคำรามต่ำออกมา โซ่บนตัวถูกสะบัดจนหลุดออกไป ปลายด้านหนึ่งของโซ่กลายเป็นบ่วงหล่นลงมาบนหัวของมัน
เสียงดัง “ฟู่!”
ฉากอันน่าตกใจได้ปรากฏขึ้น
เพียงแค่มีแสงสีเงินเปล่งประกายบนบ่วง มันก็ตกลงบนหัวอัปลักษณ์ราวกับไร้รูป แล้วก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
และหัวอัปลักษณ์ก็ส่งเสียงร้องอย่างเวทนาขึ้นทันที ไอดำพวยพุ่งรอบตัวราวกับว่ามันได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
กุยหรูฉวนและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็เก็บพลังเวทย์ด้วยความดีใจ
หัวอัปลักษณ์ที่ถูกควบคุมอยู่บนอากาศ รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างผ่อนคลายลง และมันก็ได้รับอิสระอีกครั้งในทันที
หลังจากที่มันส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาก็สะบัดผมอย่างรุนแรง พริบตาเดียวมันกลายเป็นเส้นสีดำจำนวนมากม้วนตัวไปหาชายหนุ่ม
สือชวนเห็นเช่นนี้ก็ดึงโซ่บนตัว และอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกไป
โซ่สีเงินตรึงแน่นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาพเบลอ
หัวอัปลักษณ์ส่งเสียงแหลมน่าเวทนาอีกครั้ง เส้นเลือดบนใบหน้าปูดบวมออกมา ผมยาวหดตัวกลับไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
ในขณะนั้นเอง โลหิตบริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าหัวอัปลักษณ์ หลังจากเสียง “ฟู่!” ก็กลายเป็นยันต์อักขระสีเลือดติดอยู่บนหน้าผากของมัน ราวกับว่ามันเป็นตราประทับที่ฝังแน่นอยู่ในนั้น
หัวอัปลักษณ์มีสีหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัว แต่พริบตาเดียวที่ยันต์อักขระปรากฏขึ้น ความโหดร้ายน่ากลัวก็หายไปจนหมดสิ้นในทันที มันลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน
สือชวนร่ายคาถาแล้วดึงโซ่บนตัวอีกครั้ง
หลังจากโซ่ส่งเสียงดัง “ครืดคราด!” จนตรึงแน่น หัวอัปลักษณ์ก็ค่อยๆ ลอยมายังด้านหน้า จากนั้นก็หยุดนิ่งอยู่ห่างจากชายหนุ่มสิบกว่าจั้ง
สือฉวนเห็นเช่นนี้ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว โซ่บนร่างพุ่งยิงออกไปสิบกว่าเส้นราวกับอสรพิษ แล้วค่อยๆ จมหายเข้าไปในหัวอัปลักษณ์
ตอนนี้ชายหนุ่มถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา โลหิตบริสุทธิ์ถูกพ่นออกไปติดต่อกัน พร้อมกับทำท่ามือต่างๆ ชี้ไปยังบนหัวอัปลักษณ์อยู่ไม่หยุด
หัวอัปลักษณ์ค่อยๆ ปิดเปลือกตาทั้งสองลง สีหน้าดูสงบขึ้นมา
สือชวนเปล่งเสียงออกมา ยกแขนขึ้นร่ายคาถาออกไป หัวอัปลักษณ์หมุนติ้วๆ หดตัวลง พร้อมกับโซ่ที่หดรัด และสุดท้ายก็กลายเป็นไอสีดำจมหายไปในถุงหนังที่ปกคลุมด้วยยันต์อักขระสีแดง
“ฮ่าๆ! ดี! สือชวน ในที่สุดเจ้าก็สามารถปราบเจ้าหัวบินตนนี้ได้ มันเป็นหัวปีศาจที่แท้จริงที่สาขาของเราได้เก็บรักษามาหลายปี ถึงแม้ว่าส่วนมากจะต้องพึ่งโซ่ปราบปีศาจที่สร้างจากเหล็กแสงเย็นทะเลลึกถึงจะปราบมันได้ แต่มันสามารถรับมือกับการประลองใหญ่ได้อย่างเหลือเฟือ สาขาเราจะสามารถยิ่งยิ่งใหญ่ได้หรือไม่ ล้วนต้องอาศัยเจ้าแล้ว” กุยหรูฉวนเดินเข้ามากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณอาจารย์ และอาจารย์อาทั้งสองที่มอบอาวุธจิตวิญาณให้ การประลองใหญ่ในครั้งนี้ศิษย์จะไม่ทำให้เสียหน้าเป็นอันขาด และศิษย์จะต้องมีชื่อจารึกอยู่ในห้าอันดับแรกของแผ่นศิลาจันทราให้ได้” สือชวนก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เขารีบคุกเข่าสาบานทันที
“ในเมื่อพวกข้าทั้งสามมอบโซ่ปราบปีศาจนี้ให้เจ้า เพราะคิดว่าเจ้าคือผู้ที่เหมาะสมกับมันที่สุด เดิมทีเซียวเฟิงก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนัก แต่เสียดายที่เขาเพิ่งจะบรรลุสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย ทั้งยังมีประสบการณ์การต่อสู้น้อย ต่อให้จะปราบเจ้าหัวบินได้ก็ไม่สามารถแย่งชิ่งตำแหน่งต้นๆ ในการประลองใหญ่ได้” จูชื่อก็เดินเข้ามาแล้วกล่าวอย่างช้าๆ
“ศิษย์จะไม่ทำให้อาจารย์ทั้งสามผิดหวังอย่างแน่นอน” สือชวนกล่าวอย่างจริงจัง
“เอาล่ะ! ลุกขึ้นเถอะ! เจ้าเพิ่งจะได้โซ่ปราบปีศาจกับหัวบินไป ยังต้องใช้เวลามากในการฝึกฝนให้คุ้นเคยกับมัน ตั้งแต่นี้ไปเจ้าก็พักอยู่ที่นี่ อาจารย์อาทั้งสองจะช่วยชี้แนะเจ้าเอง” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ
สือชวนพยักหน้าตกปากรับคำ
……
ภายในกระท่อมเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่บางแห่งของสาขาระบำปีศาจ แขนทั้งสองของตู้ไห่กำลังโอบกอดมู่อวิ๋นเซียนอยู่ พวกเขาทั้งสองมีความสนิทสนมใกล้ชิดมากเป็นพิเศษ
“ครั้งนี้เจ้าคิดที่จะแย่งชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำจริงๆ หรือ?” ไม่รู้ว่าผ่านไปในเท่าไหร่ มู่อวิ๋นเซียนถึงได้เงยหน้าถามด้วยความกังวล
“อือ! ครั้งที่แล้วที่พวกเราไปเสี่ยงอันตรายรวบรวมสิ่งนั้นมาจากแดนปีศาจปรโลก และยังจ่ายไปจำนวนมากเพื่อหลอมโอสถจิตวิญญาณชนิดนั้น ไม่ใช่เพื่อใช้ในการนี้หรอกหรือ? เจ้าวางใจเถอะ! ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีในนิกายเรามีไม่ค่อยมาก เหมือนจะมีไม่ถึงร้อยคนด้วยซ้ำ และถ้าข้ามีโอสถนี้ช่วยล่ะก็ เชื่อว่าจะต้องแย่งตำแหน่งต้นๆ ของศิษย์แกนนำมาได้อย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วอาจารย์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ให้เราสองคนอยู่ร่วมกันแล้ว” ตู้ไห่กล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น
……………………………………….