“ถึงแม้โอสถนั้นจะเพิ่มพลังเวทย์ได้ไม่น้อย แต่มันก็มีผลข้างเคียงเป็นอย่างมาก และด้วยพลังของเจ้าถ้าคิดที่จะแย่งชิงตำแหน่งต้นๆ ของศิษย์แกนนำคงจะไม่ใช่ทานแค่เม็ดสองเสม็ด ข้าเป็นห่วงจริงๆ ถ้าหากว่า…” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินเช่นนี้กลับยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิม
“วางใจเถอะ! ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ ถ้าก็จะไม่ฝืนตนเองหรอก อีกอย่างถ้าไม่แย่งชิงในครั้งนี้ แล้วเจ้าสารเลวโอวหยางซินนั่นก็บรรลุเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเหมือนกัน พวกเราคงจะยุ่งยากมากกว่าเดิม ไม่สู้เราต่อสู้ตั้งแต่ตอนนี้เพื่อเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราอย่างเป็นทางการ เช่นนี้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว” ตู้ไห่ส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้นมา
ได้ยินคนรักกล่าวเช่นนี้ มู่อวิ๋นเซียนก็ไม่พูดอะไรต่อ ทั้งสองต่างก็กอดกันอย่างเงียบๆ
……
“อะไรนะ อาจารย์ท่านจะมอบกระดิ่งมหาเสน่ห์นี้ให้ศิษย์เหรอ?” ดรุณีน้อยมองดูหญิงผมขาวด้วยความตกใจ
“ไม่ผิด การประลองใหญ่ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นอาจารย์เอาแต่พาเจ้าไขปริศนาของราชาปีศาจ จนเกือบจะหน่วงเหนี่ยวเวลาการฝึกฝนของเจ้า อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณที่สร้างชื่อเสียงให้กับอาจารย์ในปีนั้น เจ้าพกมันไว้กับตัว เชื่อว่าจะมีชื่อเสียงเหมือนอาจารย์ในตอนนั้น เจ้าต้องทำให้ทุกคนรู้ว่าสาขาหยินทนทรมานของเรานอกจากจะมีเจ้าเด็กหยางเฉียนที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมีศิษย์อื่นๆ ที่แข็งแกร่งไม่แพ้เขาเช่นกัน” หญิงผมขาวยิ้มเล็กน้อย แล้วหยิบกระดิ่งสีดำยัดใส่มือดรุณีน้อย
“ขอบคุณอาจารย์ ศิษย์จะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังอย่างแน่นอน!” เจียหลานคุกเข่าลงพื้นแล้วรับกระดิ่งสีดำอย่างนอบน้อม
……
ในหอใหญ่บนยอดเขาของสาขาระบำปีศาจ ศิษย์พี่เฉียนกับจางชุ่ยเอ๋อร์นั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากัน มือทั้งสี่ค้ำยันกันไว้ ไอสีเทาแต่ละเส้นหมุนวนอยู่รอบตัวทั้งสองไม่หยุด
ข้างกายของพวกเขา มีหญิงเสื้อม่วงสีหน้าเย็นชาจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ นางก็คือ ‘อาจารย์อาหลิน’ ผู้นั้นนั่นเอง
……
กลางหุบเขาที่เต็มไปด้วยอสรพิษซึ่งอยู่ห่างจากนิกายปีศาจสองร้อยกว่าลี้ มีร่างคนผู้หนึ่งที่มีไอสีเขียวพวยพุ่งอยู่รอบตัว เขากำลังเดินไปยังทางเข้าหุบเขาช้าๆ ท่ามกลางกลุ่มอสรพิษที่รายรอบ เมื่อเขาเดินผ่านอสรพิษเหล่านั้นก็จะค่อยๆ ถอยหลบไป มีบางตัวที่ถอยช้าไปหน่อยจนมันสัมผัสโดนไอสีเขียวเข้า ร่างของมันจึงค่อยๆ แข็งตายไป
ไอสีเขียวเหล่านี้มีพิษมากกว่าพิษของอสรพิษเหล่านี้ถึงสามส่วน
……
ณ แดนปีศาจปรโลก ป่าดงดิบสีดำที่มีปราณหยินปกคลุมอย่างหนาแน่น ชายผู้หนึ่งฝังร่างตั้งแต่คอลงไปไว้ในดิน เหลือไว้เพียงแค่ศีรษะที่โผล่ออกมาด้านนอก
ใบหน้าของศีรษะใบนี้เต็มไปด้วยดิน จนดูไม่ออกว่ารูปโฉมเดิมนั้นเป็นอย่างไร และก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ลืมตาทั้งสองขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่เปล่งประกายสีเงิน
“น่าเสียดายจริงๆ ร่างศพเหล็กของข้ายังต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะสมบูรณ์แบบ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว หยางเฉียน เจ้ารอดูนะ! ดูว่าข้าจะลากเจ้าลงมาจากอันดับหนึ่งของศิษย์แกนนำได้อย่างไร” เขาพูดพึมพำกับตัวเอง
เขาเพิ่งจะพูดจบ พื้นดินบริเวณนั้นก็ระเบิดออกมา เงาร่างสีดำพุ่งออกมาจากในนั้น และสาวเท้ายาวๆ ไปยังที่มั่นของนิกายปีศาจด้วยเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ทุกย่างก้าวของเขาทำให้พื้นดินบริเวณนั้นค่อยๆ สั่นไหว ราวกับว่าตัวของเขาหนักเป็นอย่างมาก
……
เวลาสองเดือนผ่านไปภายในพริบตา
วันนี้ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังทำท่ามือด้วยมือทั้งสองและฝึกฝนอยู่ในห้องอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังมาจากยอดเขาหลักของนิกายปีศาจ
เสียงดังชัดเจนมาจากที่ไกลๆ แต่เมื่อมันเจ้ามากระทบโสตประสาทของหลิ่วหมิงแล้ว กลับทำให้เลือดเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ อารมณ์แห่งการต่อสู้ฮึกเหิมขึ้นมา
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้น นับจำนวนครั้งของเสียงระฆังอยู่ในใจ พอนับได้สามสิบหกครั้ง ถึงยืนขึ้นผลักประตูเดินออกไป
ในขณะเดียวกันเสียงระฆังก็หยุดชะงักในทันที
ตอนนี้มีเมฆลอยขึ้นอยู่เต็มท้องฟ้าด้านบนของนิกายปีศาจ และเมฆเหล่านี้ต่างก็ร่อนลงตรงตีนเขาของยอดเขาหลัก พริบตาเดียวก็มีคนมารวมตัวกันได้หลายพันกว่าคนแล้ว
ถึงในนั้นจะมีศิษย์อายุต่ำกว่าสามสิบปีที่เตรียมเข้าร่วมประลองใหญ่ก็ตาม แต่ที่เยอะที่สุดกลับเป็นบรรดาศิษย์เก่าที่มาดูการประลองโดยเฉพาะ
ถึงแม้ศิษย์เก่าเหล่านี้จะไม่สามารถเข้าร่วมประลองได้ และก็ไม่สิทธิ์ที่จะจารึกชื่อไว้บนแผ่นศิลาจันทรา แต่งานยิ่งใหญ่ที่หลายปีถึงจะมีสักครั้งนี้พวกเขาย่อมไม่พลาดอย่างแน่นอน
ประมุขนิกายปีศาจ กุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็มายืนอยู่ด้านหน้าสุดนานแล้ว และกำลังยืนรออะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พลันมีคลื่นพลังงานไร้รูปแผ่ออกมาบนอากาศที่ดูว่างเปล่าตรงหน้ายอดเขาหลัก พร้อมกับเสียงดนตรีอันไพเพราะ จากนั้นทัศนียภาพตรงหน้าก็ฉีกออกจากกันราวกับม้วนภาพวาด ปรากฏดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลที่มีหมอกปกคลุมอยู่ ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง
“เรียนเชิญศิษย์พี่ยินจิ้ว!”
ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ ก็รีบคารวะไอหมอกพวยพุ่งที่อยู่ไกลออกไป
อาจารย์จิตวิญญาณสาขาอื่นๆ ต่างก็รีบทำตาม
“อะไรกัน การประลองใหญ่ที่สี่ปีมีครั้งได้มาถึงอีกแล้วเหรอ? แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเพิ่งจะหลับได้ครู่เดียวเอง หรือว่าพวกเจ้ากำลังหลอกลวงข้า!” น้ำเสียงอันดังสะเทือนเลือนลั่นราวกับฟ้าผ่าดังมาจากไอหมอกนั้น
“ขอศิษย์พี่ยินจิ้วอย่าได้โมโห ถ้าไม่ใช่ถึงเวลาการประลองใหญ่จริงๆ พวกข้าจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ขอศิษย์พี่แสดงพลังอันยิ่งใหญ่เพื่อเปิดแดนมายาจันทราอีกครั้ง!” ประมุขนิกายปีศาจรีบตอบกลับอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีที่นอบน้อม
“ช่างกวนใจข้าเสียจริง! เห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่โกหกข้า รอสักครู่!” น้ำเสียงดังอันดังสะเทือนเลือนลั่นกล่าวอย่างทนรำคาญไม่ได้
จากนั้นดินแดนไอหมอกทั้งหมดก็สั่นไหว ม่านหมอกต่างก็กระจายออกไปทั่วทิศ เขาหินสีเหลืองที่สูงร้อยกว่าจั้ง มีพื้นที่ขนาดพันหมู่ปรากฏขึ้นมาทันที
เขานี้ค่อนข้างแปลกประหลาด ไม่เพียงแต่ไม่มีหญ้าสักต้น บนยอดเขาก็กว้างใหญ่ราบเรียบกว่าปกติ และยังมีลานหินธรรมชาติสูงหลายจั้งหลายแห่งกระจายไปทั่วระแหง
ตรงกลางที่ลานหินเหล่านี้ห้อมล้อมอยู่ มีแผ่นหินสีขาวดำสูงสามสิบกว่าจั้งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
หลิ่วหมิงจ้องมองจากที่ไกลๆ ก็พบว่าบนแผ่นหินนั้นมีอักขระสีเงินอยู่เต็มไปหมด เหมือนกับว่าจารึกชื่อคนจำนวนมากไว้บนนั้น
“แดนมายาจันทราได้เปิดแล้ว ศิษย์ทุกคนสามารถเข้าไปในนั้นได้” ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ก็เปล่งเสียงดังออกไป จากนั้นก็พาอาจารย์จิตวิญญาณของแต่ละสาขาเหาะไปยังเขาหินสีเหลือง
ศิษย์หลายพันคนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ ต่างก็พรั่งพรูกันตามเข้าไป
เมื่อศิษย์ทั้งหมดเข้าไปบนเขาแล้ว ไอหมอกสีขาวสลัวก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง มันปกคลุมเขาหินทั้งลูกไว้แน่นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้
ตอนนี้ประมุขนิกายปีศาจได้ยืนอยู่บนลานหินบางแห่งแล้ว หลังจากที่กวาดตามองไปด้านล่างแล้วก็สะบัดแขนเสื้อ แผ่นหยกแบนๆ ขนาดใหญ่หลายชุ่นก็ลอยออกมา
จากนั้นเขาก็ทำการร่ายคาถา แผ่นหยกก็ลอยขึ้นฟ้าในทันที และขยายขนาดอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นลานหยกขนาดยาวหลายสิบจั้งลอยอยู่กลางอากาศ
อาจารย์จิตวิญญาณแต่ละท่านต่างก็ค่อยๆ เหาะขึ้นไปบนนั้น แล้วมองลงมายังศิษย์ที่อยู่ด้านล่าง
“ศิษย์ทั้งหลายจงฟังให้ดี การประลองใหญ่ที่สี่ปีมีครั้งกำลังจะเริ่มขึ้น กฎการประลองครั้งนี้ก็เหมือนเดิม โดยเริ่มจากศิษย์ทั่วไปเลือกท้าสู้กับศิษย์แกนนำที่มีชื่ออยู่บนแผ่นศิลาจันทรา จนเมื่อได้ผลศิษย์แกนนำร้อยอันดับแรกออกมาแล้ว ค่อยให้เหล่าศิษย์แกนนำผลัดเปลี่ยนกันท้าสู้กันเอง โดยให้ผู้ที่มีชื่ออันดับท้ายๆ เลือกก่อน สุดท้ายจะเป็นการตัดสินสิบอันดับแรก สามอับดับแรก และศิษย์พี่ใหญ่แกนนำอันดับหนึ่ง ส่วนกฎการท้าสู้ศิษย์ทั้งหลายสามารถไปดูรายละเอียดได้ที่ด้านล่างของแผ่นศิลาจันทรา ในระหว่างการประลองจะไม่รับผิดชอบความเป็นความตาย ศิษย์ที่เข้าสู่ลานประลองต้องลงนามความเป็นความตายก่อน แต่ผู้ที่ตั้งใจทำร้ายคู่ต่อสู้ในระหว่างการประลอง หรือสังหารศิษย์ร่วมสำนักตามอำเภอใจ จะถูกลงโทษอย่างหนัก โทษสถานเบาคือฟาดด้วยแส้ร้อยที โทษสถานหนักคือทำลายพลังเวทย์แล้วขับไล่ออกจากนิกาย ตอนนี้ให้ทุกคนไปอ่านกฎการท้าสู้ให้ละเอียดก่อน หลังเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป พิธีการประลองก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวอย่างราบเรียบในขณะที่ยืนอยู่บนลานหิน ถึงแม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ทุกคนก็ได้ยินชัดเป็นพิเศษ
จากนั้นประมุขนิกายปีศาจก็ยกแขนขึ้น ธูปขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือลอยออกมา หลังจากที่มันสั่นไหวแล้วก็ลอยนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา
นิ้วมือหนึ่งชี้ผ่านอากาศไปยังธูปดอกนั้น
พลันปรากฏแสงไฟก็ปรากฏขึ้นตรงปลายธูป กลิ่นหอมของไม้จันทน์กระจายออกมา
ขณะนี้อาจารย์จิตวิญญาณที่ยืนอยู่ใต้แผ่นศิลาจันทรานานแล้ว ต่างก็ใช้มือข้างหนึ่งตบไปบนแผ่นศิลาจันทราเบาๆ
หลังจากมีเสียงหวึ่งๆ ออกมา ชั้นแสงสีดำบนแผ่นศิลาจันทราก็เริ่มหมุนวน อักขระบนพื้นผิวกลายอักขระแสงขนาดใหญ่ลอยออกมา ต่อให้เป็นผู้ที่ยืนอยู่ตรงขอบริมสุดก็สามารถมองเห็นอักขระบนนั้นได้อย่างชัดเจนในทันที
ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมประลองใหญ่ครั้งแรกเขย่งเท้าแหงนหน้าจ้องมองอักขระแสงขนาดใหญ่อยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงยืนอยู่ในมุมที่ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็น และก็จ้องมองไปยังอักขระที่จารึกอยู่บนนั้นเช่นกัน
ด้านบนสุดของอักขระแสงสีเงินทั้งหมดนั้น เป็นชื่อของ ‘หยางเฉียน’ ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าปกติ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หรี่ตาลง
เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘หยางเฉียน’ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของศิษย์ในนิกายทั้งหมด ที่ชนะการประลองใหญ่ในครั้งล่าสุด เขาได้ยินคนพูดถึงมาหลายรอบแล้ว
ว่ากันว่าคนผู้นี้มีเก้าชีพจรจิตวิญญาณ กับร่างจิตวิญญาณหยิน ขณะเดียวกันก็เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาของสาขาหยินทนทรมาณกับสาขาฝึกศพด้วย เขาไม่เพียงแต่จะเคยเข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายเมื่อครั้งก่อนและรอดกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเคยได้รับคะแนนที่ไม่ธรรมดากลับมาด้วย คนในนิกายส่วนมากต่างก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาสามารถกลายอาจารย์จิตวิญญาณได้
แต่หลังจากที่หยางเฉียนได้รับทรัพยากรที่เพียงพอแล้ว ผ่านไปหลายปีก็ยังไม่คิดที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ แต่กลับเก็บตัวฝึกฝนเป็นระยะเวลาหลายปี ไม่รู้ว่าเขากำลังฝึกฝนวิชาอะไรอยู่ หรือว่าคิดที่จะทำพื้นฐานให้แข็งแรงก่อน แล้วค่อยทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้ หยางเฉียนผู้นี้ยิ่งดูลึกลับในบรรดาศิษย์ใหม่ แม้แต่ศิษย์สาขาอื่นที่ไม่ได้สังกัดสาขาหยินทนทรมาณต่างก็มีไม่น้อยที่ยกย่องเขา
หลิ่วหมิงครุ่นคิดเรื่องของหยางเฉียนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เบนสายตามองไปยังด้านล่าง
‘เฟิงฉาน’ ‘หมิ่นโซ่ว’ ‘เฉียนฮุ่ยเหนียง’ และชื่ออื่นๆ ค่อยๆ ปรากฏออกมา
รายชื่อสี่อันดับแรกบนแผ่นศิลาจันทรา ล้วนเป็นศิษย์ที่ชนะในสิบอันดับแรกในการประลองใหญ่ครั้งก่อน และเคยเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายแล้วรอดกลับมา ส่วนอีกหกคนที่เหลือมีแค่สองคนเท่านั้นที่อายุเกินสามสิบปีแล้ว ชื่อของพวกเขาเลยค่อยๆ จางหายไปบนแผ่นศิลาจันทรา อีกคนทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว ส่วนอีกสามคนกลับเสียชีวิตในการทดสอบความเป็นความตาย
รายชื่อศิษย์สิบอันดับแรกที่เสริมขึ้นมานั้นไล่อันดับจากรายชื่อบนแผ่นศิลาจันทรา
หลิ่วหมิงรู้จักผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในสิบอันดับเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นหลังจากดูรายชื่อพวกนี้เสร็จ เขาก็ละสายตามองไปยังกฎการประลองที่อยู่ตรงด้านล่าง
……………………………………….