ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 484 ความลับของต่างเผ่า

ถึงตอนนี้ ขั้นที่สองของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬก็ได้ฝึกสำเร็จแล้ว พอเขากำมือทั้งสอง ก็รับรู้ได้ถึงกายเนื้อที่แข็งแกร่งกับพลังที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งในสามส่วน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา แววตาของเขาเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความลังเล

แม้ตนเองจะฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองสำเร็จแล้ว แต่ดูเหมือนว่ายังอยู่ห่างจากระดับของเหลวขั้นปลายเล็กน้อย

หลังจากนั้นอีกหลายวัน หลิ่วหมิงก็ไม่ได้รีบร้อนออกไปจากถ้ำ แต่กลับทำเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองให้มั่นคง และถือโอกาสเสาะหาวิธีทะลุคอขวด

แต่ในขณะที่เขากำลังฝึกวิชานั้น ป้ายนิกายที่อยู่ในแขนเสื้อ ก็พลันเปล่งประกายไม่หยุด

พอเขาหยิบมันออกมา และใส่พลังเวทเข้าไปเล็กน้อย แสงสีเขียวก็กระพริบผ่านไป จากนั้นก็มีน้ำเสียงราบเรียบดังออกมา

“ศิษย์สายนอกที่ได้ข้อความนี้ ให้มารวมตัวกันในวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้า”

แม้ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้ถึงเรียกชุมนุมอย่างเร่งด่วน แต่ในเมื่อไม่ได้เรียกเขาแค่คนเดียว คิดว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน

หลิ่วหมิงยกแขนเสื้อขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากเก็บขวดโอสถที่วางอยู่พื้นแล้ว ก็เดินออกจากถ้ำที่พัก และทะยานไปทางวิหารใหญ่

ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาถึงด้านในของวิหารใหญ่ ภายในวิหารขณะนี้ มีศิษย์สายนอกสามสิบคนรวมตัวกันจอแจ

ศิษย์สายนอกเหล่านี้ล้วนอายุยังน้อย อายุน้อยสุดก็สิบห้าสิบหกปี มากสุดก็ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมาแล้ว ดูเหมือนจะมีตั้งแต่ระดับของเหลวขั้นต้นจนถึงขั้นปลาย

บ้างก็กำลังกระซิบกระซาบกัน บ้างก็สังเกตดูรอบด้านอยู่ไม่หยุด และส่วนมากก็นั่งขัดสามาธิหลับตาพักผ่อนอยู่

และรองหัวหน้าสาขา เหลียงจ้านเกอ ที่หลิ่วหมิงเจอในตอนมารายงานตัว ก็ยืนเก็บมืออยู่ข้างเก้าอี้หลักด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชน และหาที่พื้นที่ว่างนั่งขัดสมาธิรอคอยอย่างเงียบๆ

เวลาต่อมา มีศิษย์สายนอกทยอยเข้ามาสิบกว่าคน และแทรกซึมเข้าไปฝูงชนอย่างเงียบๆ

ไม่นาน ภายในวิหารใหญ่ก็มีคนราวๆ สี่สิบกว่าคนแล้ว ด้วยเหตุที่รองหัวหน้าสาขาอย่างเหลียงจ้านเกอยังไม่ได้กล่าวอะไรออกมา พวกเขาจึงได้แต่รอต่อไป

ในนั้นย่อมมีเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นด้วย

พอทั้งสองเห็นหลิ่วหมิง ก็ก้มศีรษะให้จากที่ไกลๆ

ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงหลบหลีกสีเทาลำหนึ่ง ก็พุ่งเข้ามานอกวิหารใหญ่ พอลำแสงดับลง ก็เผยให้เห็นถึงผู้อาวุโสสวมชุดผ้าป่านสีเทาผู้หนึ่ง

“หัวหน้าเจียง” พอรองหัวหน้าสาขาที่เงียบมาโดยตลอดอย่างเหลียงจ้านเกอเห็นผู้อาวุโสเดินเข้ามา เขาก็รีบประสานมือคารวะจากที่ไกลๆ

“หัวหน้าสาขา?”

พอคำพูดนี้ดังออกมา ศิษย์สายนอกที่กระซิบกระซาบกันอยู่ก็เงียบลงทันที และผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็พากันยืนขึ้น พวกเขาต่างก็มองไปที่หัวหน้าสาขาที่มาปรากฏตัวกระทันหันผู้นี้

หลิ่วหมิงเองก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นมา เขามองตามสายตาของคนอื่นๆ และสังเกตดูหัวหน้าสาขาที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

แต่ดูเหมือนคนผู้นี้จะมีอายุหกสิบกว่าปี ใต้คางมีเคราแพะที่ยาวสามสี่ชุ่น แต่ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง ดูฉลาดเฉียบแหลมมาก

ภายใต้การจ้องมองของฝูงชน ผู้อาวุโสก็เดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้หลักอย่างช้าๆ

“ทุกท่าน ข้าเจียงจ้ง เป็นหัวหน้าสาขาห่านฟ้า เนื่องจากหลายปีมานี้มีเรื่องยุ่งเล็กน้อย จึงไม่ค่อยได้ดูแลสาขาห่านฟ้าเท่าไหร่ พวกเจ้าต่างก็เป็นศิษย์ที่เข้ามาในช่วงสามปีนี้ ดังนั้นจึงมีไม่กี่คนที่เคยเห็นข้า” ผู้อาวุโสฟั่นหนวดแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ

หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ย่อมรีบก้าวไปคารวะ หลังจากผู้อาวุโสโบกมือแล้ว ก็บอกเหตุผลที่เรียกมาชุมนุมครั้งนี้

“ที่เรียกทุกท่านมาชุมนุมในครั้งนี้ ก็เพราะเรื่องงานประลองเล็กที่ใกล้จะมาถึง ตามกฎแล้วศิษย์สายนอกที่เข้ามาใหม่ จะต้องเข้าร่วมทดสอบเบื้องต้นที่สาขาทั้งแปดของเราจัดขึ้น หลังจากผ่านแล้วถึงมีคุณสมบัติเข้าร่วมการประลองเล็กที่สามปีจัดขึ้นหนึ่งครั้งกับการประลองใหญ่ที่สิบปีจัดขึ้นหนึ่งครั้งได้ และจะได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากศิษย์สายนอกคนอื่นๆ”

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา เมื่อกวาดสายตามองดูศิษย์สายนอกคนอื่นๆ ก็ค้นพบว่านอกจากมีไม่กี่คนที่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าสงบ ประจักษ์ชัดว่ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นก็มีสีหน้าสงบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้ยินเรื่องการทดสอบเบื้องต้นนี้เป็นครั้งแรก

แต่ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่สูงราวๆ สองจั้ง ดวงตาทั้งคู่เป็นสีม่วงจางๆ ดูไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา กลับดึงดูดความสนใจของหลิ่วหมิงมาก จนต้องมองดูเขาอีกสองสามที

และชายหนุ่มดวงตาสีม่วงผู้นี้ ก็ดูเหมือนจะรู้ตัวเร็วมาก พริบตาเดียวก็หันมามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง แต่หลังจากสบตากันเล็กน้อยแล้ว ก็รีบละสายตากลับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน

“รายละเอียดข้าจะไม่พูดมากแล้ว พอถึงเวลาจะมีคนอธิบายให้ทุกท่านเอง นอกจากนี้ สถานที่ทำการทดสอบเบื้องต้นในครั้งนี้ ถูกจัดขึ้นที่ ‘แดนอบอ้าว’ ผู้ที่คิดว่าตนเองมีระดับการฝึกฝนไม่พอ หรือไม่คิดจะเข้าร่วมการประลองเล็กในปีหน้า ก็สามารถถอนตัวได้ รอเข้าร่วมการทดสอบในอีกสามปีให้หลังก็ได้” ผู้อาวุโสหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา

ในขณะที่ได้ยินผู้อาวุโสพูดถึง ‘แดนอบอ้าว’ ศิษย์ส่วนมากก็ถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นทุกคนก็ดูฮึกเหิมเล็กน้อย

“เอาล่ะ! ตอนนี้พวกเจ้ากลับไปเตรียมตัวได้ อีกสามวันให้หลังมาเจอกันที่นี่ พวกเราจะออกเดินทางไปแดนอบอ้าวพร้อมกับศิษย์ใหม่อีกเจ็ดสาขา”

พอเจียงจ้งกล่าวจบ ก็แสดงท่าทีให้ทุกคนแยกย้ายกันได้ ส่วนตนเองก็หมุนตัวเดินไปด้านหลังวิหาร

เหลียงจ้านเกอที่เป็นรองหัวหน้าสาขาก็รีบเดินตามไปทันที

“น้อมส่งหัวหน้าเจียง!” ศิษย์ทุกคนเห็นเช่นนี้ ก็พากันโค้งคารวะทันที

และผู้อาวุโสก็ไม่หันมาแต่อย่างใด เพียงแค่โบกมือให้กับฝูงชน จากนั้นค่อยๆ หายไปตรงปลายระเบียงทางเดินพร้อมกับเหลียงจ้านเกอ

ขณะที่ผู้คนพากันทยอยออกไปนั้น หลิ่วหมิงก็หาเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นจนพบ

“ศิษย์พี่เยี่ยน แม่นางเสวี่ยอวิ๋น” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะ

“พี่หลิ่วเกรงใจแล้ว ข้าแค่อายุมากกว่าหน่อย พวกเขาถึงเรียกข้าว่าศิษย์พี่ ความจริงข้าเองก็เป็นศิษย์สายนอกที่มาใหม่เช่นกัน” เยี่ยนหมิงรีบคารวะกลับ

หลังจากเห็นหลิ่วหมิงฆ่าทารกเทียนฉานกับตาในวันนั้น ชายหนุ่มสะโอดสะองที่ดูหยิ่งยโส ย่อมไม่กล้าเมินเฉยต่อหลิ่วหมิงอีก

เสวี่ยอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ก็คารวะหลิ่วหมิงทีหนึ่ง

“พี่เยี่ยน ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องการทดสอบเบื้องต้น และแดนอบอ้าวมาก่อน ไม่ทราบว่าพี่เยี่ยนพอจะให้คำชี้แนะได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงถามออกมาตามตรง

“พี่หลิ่วไม่รู้เรื่องการทดสอบ และเรื่องแดนอบอ้าวหรอกหรือ? อ้อ! เรื่องที่ผู้คนในสาขาวิพากษ์วิจารณ์กันในช่วงนี้ว่า มีศิษย์ที่ไม่ต้องผ่านการทดสอบคัดเลือก แต่กลับถูกหอคุมกฎส่งเข้าสาขาของเรา หรือว่าศิษย์ผู้นั้นจะเป็นพี่หลิ่ว?” เยี่ยนหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจในตอนแรก แต่ก็เข้าใจในทันที

“หากในสาขาห่านฟ้าไม่มีคนที่สองที่ถูกหอคุมกฎส่งตัวมาล่ะก็ คนผู้นั้นคงจะเป็นข้าแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบกลับด้วยสีหน้าสงบ

“หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ พี่หลิ่วไม่รู้เรื่องการทดสอบก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร จะว่าไปแล้วการทดสอบเบื้องต้นนี้ มีต้นกำเนิดมาจากหายนะที่นิกายยอดบริสุทธิ์เคยเผชิญมาเมื่อหมื่นกว่าปีมาแล้ว หลังจากนั้นก็ได้สืบทอดประเพณีนี้ไว้ จุดมุ่งหมายหลักก็เพื่อทดสอบดูว่าศิษย์มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการต่อสู้จริงอย่างไรบ้าง แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วการทดสอบจะไม่ค่อยอันตรายมาก แต่ยังคงเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิต ทุกครั้งมักจะมีศิษย์หลายคนเสียชีวิตในการทดสอบอย่างไม่คาดคิด” เยี่ยนหมิงอธิบายออกมา

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ ก็พยักหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

“แดนอบอ้าวเป็นแดนลึกลับขนาดใหญ่ที่ทางนิกายยอดบริสุทธิ์เพิ่งค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีมานี้ ด้านในมีปราณพลังอัคคีแฝงอยู่หนาแน่น และก่อกำเนิดอัคคีจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง พวกสิ่งมีชีวิตและพืชพันธุ์อื่นๆ ล้วนเป็นธาตุไฟ ในนั้นมีวัสดุจิตวิญญาณที่หาได้ยากในโลกภายนอก หลายครั้งก่อนหน้า ศิษย์ที่เข้าทดสอบในดินแดนแห่งนี้ ต่างก็ได้รับประโยชน์มากมายจากในนั้น และผู้ที่ฝึกฝนวิชาเกี่ยวกับธาตุไฟ ยิ่งได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย แน่นอน! แม้ว่าอัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้น จะมีสติปัญญาไม่สูงมาก แต่กลับมีพลังในการควบคุมเปลวไฟได้อย่างน่าตกใจ แก่นบริสุทธิ์ของมันยิ่งเป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมอาวุธ หากสามารถสยบได้สักตัวสองตัวล่ะก็ มันก็มีมูลค่ามหาศาลเช่นกัน” เยี่ยนหมิงเล่าต่อด้วยสีหน้าหนักแน่น

เมื่อเยี่ยนหมิงพูดถึง ‘อัคคีจิตวิญญาณ’ หลิ่วหมิงก็ใจเต้นขึ้นมา เขานึกถึงฉากต่อสู้ของเว่ยจ้งกับเจียหลานที่หุบเขาเปลวเฟลิงอย่างอดไม่ได้ หลังจากเว่ยจ้งใช้วิชารวมวิญญาณแล้ว มันก็กลายเป็นอัคคีจิตวิญญาณสีดำ แม้ในตอนท้ายจะพ่ายแพ้ แต่วิชาของเขาลึกล้ำมาก ทำให้หลิ่วหมิงจดจำมาจนถึงทุกวันนี้

“ขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยนที่บอกให้ทราบ ใช่สิ! วันนี้ข้าเห็นศิษย์รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังพวกท่านทั้งสอง ศิษย์พี่เยี่ยนพอจะรู้ที่มาของคนผู้นี้หรือไม่ ข้าเห็นดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นสีม่วง ดูเหมือนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเรา” พอหลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณเสร็จ ก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

“หากคนเป็นอื่นข้าอาจจะไม่ค่อยรู้มากนัก แต่คนผู้นี้เข้าเป็นศิษย์สายนอกพร้อมกับข้า จึงพอจะรู้เบื้องหลังอยู่บ้าง คนผู้นี้ชื่อจั้งเสวียน แน่นอนว่าไม่ใช่สายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์ บนตัวยังมีสายเลือดเผ่าเนตรอินทนิลอยู่ด้วย ด้วยเหตุนี้เขาไม่เพียงแต่มีพลังไม่ธรรมดา แต่ยังอาศัยดวงตาทั้งคู่แสดงวิชาลี้ลับของเผ่าเนตรอินทนิลออกมาได้” เยี่ยนหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย และกล่าวออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“สายเลือดต่างเผ่า?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย

“พี่หลิ่วไม่ต้องตกใจถึงเพียงนี้ ต่างเผ่าที่พูดถึง แท้จริงแล้วเป็นกิ่งก้านสาขาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เป็นเพราะว่าพื้นที่และสภาพแวดล้อม จนกระทั่งวิชาที่ฝึกฝนแตกต่างกัน จึงทำให้สายเลือดภายในร่างค่อยๆ กลายพันธุ์ ดังนั้นต่างเผ่าที่คนทั่วไปพูดถึง ส่วนมากก็มาจากเผ่ามนุษย์ นิกายยอดบริสุทธิ์ของพวกเรา และนิกายต่างๆ บนแผ่นดินจงเทียน ส่วนมากจะมีศิษย์ที่เป็นสายเลือดกลายพันธุ์อยู่ด้วย และจะไม่ถูกขับไล่ออกไป แต่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในการรับเป็นศิษย์ อีกอย่างศิษย์ประเภทนี้มีพรสวรรค์พิเศษ ดังนั้นจึงเหมาะสมกับการฝึกฝนวิชาบางอย่างมากกว่าคนทั่วไป แม้กระทั่งทางนิกายยังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เนื่องจากคนเหล่านี้มาจากเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ จึงเมตตาและอ่อนโยนกับมนุษย์มาก แม้กระทั่งคิดว่าตนเองเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง แน่นอนว่าพวกเผ่าปีศาจ และเผ่าอื่นๆ ที่ไม่มีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับมนุษย์ ถึงจะเป็นต่างเผ่าที่แท้จริง นิกายใหญ่แต่ละนิกายยังคงต้องระแวดระวัง และไม่รับมนุษย์ที่มีสายเลือดต่างเผ่าเหล่านี้เป็นศิษย์อย่างแน่นอน หรือหากจะรับเป็นกรณีพิเศษ ก็เป็นได้แค่ศิษย์ธรรมดาเท่านั้น จะไม่ได้ฝึกฝนวิชาที่แท้จริงของนิกายอย่างแน่นอน และมนุษย์ปีศาจที่ถูกไอปีศาจครอบงำ กับมนุษย์ที่กลายร่างเป็นปีศาจหลังจากฝึกฝนจนถูกธาตุไฟเข้าแทรก ต่อให้จะมีต้นกำเนิดเป็นมนุษย์ แต่กลับเป็นศัตรูที่ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์เราได้ ไม่ว่ามนุษย์ผู้ใดก็ตาม หากถูกพบว่ามีสายเลือดปีศาจแฝงอยู่ ก็จะถูกสังหารทันที” เสวี่ยอวิ๋นใช้น้ำเสียงอันรื่นหูอธิบายให้กับหลิ่วหมิง

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset