ครู่ต่อมา หลังจากที่เขาอ่านจนเข้าใจ และจดจำไว้ในใจแล้ว ถึงได้ละสายตาไปมองศิษย์คนอื่นๆ ที่รวมตัวอยู่บนเขาหินอย่างคร่าวๆ
ศิษย์เก่าที่อายุสามสิบปีขึ้นไปเหล่านั้นต่างก็ยืนอยู่ห่างจากแผ่นศิลาจันทราค่อนข้างไกล โดยจับกลุ่มกันสองสามคนชี้ไปยังกลุ่มคนต่างๆ และวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่หยุด
ศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองใหญ่ต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม มีศิษย์อายุยังน้อยบางคนมีสีหน้าตื่นเต้น และมีอารมณ์คึกคักอยากจะลองดู
หลังจากหลิ่วหมิงมองออกไปเพียงรอบเดียว ก็ค้นพบว่าในนั้นมีคนจำนวนหนึ่งที่คุ้นหน้าอยู่มาก เช่นมู่อวิ๋นเซียนที่ยืนอยู่ข้างตู้ไห่ เจียหลาน เหลยเจิ้น สือชวน และคนอื่นๆ
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน เขารีบหันหน้ากลับไปมองทันที
ท่ามกลางวงล้อมของศิษย์จำนวนหนึ่ง ซือหม่าเทียนจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเยือกเย็น พอเห็นเขามองกลับมาถึงได้ละสายตากลับโดยที่สีหน้าไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้เขาก็ค่อยๆ คิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมา
“ศิษย์พี่ไป๋ ที่แท้ท่านก็อยู่นี่เอง ครั้งนี้คิดจะขึ้นไปประลองดูไหม?” เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับน้ำเสียงอันตื่นเต้นของหญิงสาว
หลิ่วหมิงหันหน้ามาด้วยความแปลกใจ เขาเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามา พวกเขาก็คือเซวียซานกับวั่นเสี่ยวเชี่ยนนั่นเอง
ตอนนี้รูปร่างของเซวียซานสูงใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย ใบหน้าของวั่นเสี่ยวเชี่ยนมีความเขินอายเล็กน้อย
ทั้งสองดูสนิทสนมกันมาก เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองแตกต่างกับตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องเซวียกับศิษย์น้องวั่น! ถ้ามีโอกาสล่ะก็ข้าก็คิดที่จะขึ้นไปลองดูอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“หนึ่งปีก่อนศิษย์พี่ไป๋ได้ก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว ตอนนี้พลังเวทย์คงจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถ้าเข้าร่วมการประลองล่ะก็ ใช่ว่าจะไม่มีหวังที่จะจารึกชื่อบนแผ่นศิลาจันทรา ยังไงซะศิษย์ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายของนิกายเราก็มีไม่ถึงร้อยคน” วั่นเสี่ยวเชี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
การประลองเล็กครั้งก่อน หญิงนางนี้ก็ก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว แต่เนื่องจากเวลาสั้นเกินไปทำให้ยังไม่สามารถเข้าแย่งชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำได้
“ฮึ! เป็นแค่ศิษย์ที่เพิ่งเข้านิกายก็คิดที่จะชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำ พวกเจ้าฝึกฝนอยู่ในนิกายอีกสามสี่ปีแล้วค่อยว่ากันเถอะ” ชายหนุ่มผู้มีกระบี่ยาวสีเงินเสียบอยู่ตรงเอวเดินเข้ามาแล้วกล่าวกับทั้งสามอย่างเย็นชา
“เอ๋! ที่แท้ก็คือศิษย์พี่สีนี่เอง ครั้งก่อนศิษย์พี่ชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำมาได้ คิดว่าครั้งนี้ก็คงจะยังมีชื่ออยู่แผ่นศิลาจันทราต่อไป” ตอนแรกที่เซวียซานได้ยินคำพูดก็รู้สึกโมโห แต่พอเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของชายหนุ่มก็ฝืนยิ้มกล่าวออกไป
การประลองสองครั้งก่อน ศิษย์พี่สีผู้นี้ก็ปรากฏตัวในฐานะหนึ่งในศิษย์เก่า แสดงพลังได้แข็งแกร่งมาก ในบรรดาศิษย์เก่าของสาขาเก้าทารกเขาเป็นรองแค่ศิษย์พี่สือชวนเท่านั้น เขามีท่าท่าทีสบประมาทต่อศิษย์ใหม่อย่าเซวียนซานและคนอื่นๆ มาโดยตลอด!
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว กำลังคิดที่จะพูดอะไรออกมา แต่ก็มีเสียงอันเย็นชาดังมาจากอีกทิศทางหนึ่ง
“ฮึ! ใครบอกว่าศิษย์ใหม่อย่างพวกเรา ไม่สามารถจารึกชื่อไว้บนแผ่นศิลาจันทราได้”
เซวียนซานกับวั่นเสี่ยวเชี่ยนมองไปด้วยความตกตะลึง เจ้าของเสียงนั้นคือเซียวเฟิงที่ไม่รู้ว่าเข้ามาบริเวณนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และจ้องมอง ‘ศิษย์พี่สี’ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“เซียวเฟิง ถ้าไม่ใช่ว่าอาจารย์กุยให้ความสำคัญกับเจ้า ให้พื้นที่การฝึกฝนแก่เจ้า และยังชี้แนะด้วยตนเอง เจ้าจะก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้เร็วถึงเพียงนี้หรือ?” พอศิษย์พี่สีเห็นเซียวเฟิง ก็กล่าวออกมาโดยไม่สามารถปิดบังความรู้สึกอิจฉาที่ซ่อนไว้ในใจได้
สำหรับเขาแล้ว พอศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณอย่างเซียวเฟิงผู้นี้เข้ามาในสาขา ก็ครอบครองทรัพยากรบนเขาไปจำนวนมาก คนผู้นี้ย่อมน่ารังเกียจยิ่งกว่าหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ
“ฮึ! ข้าไม่สนใจวิธีการหรอก ท่านคิดว่าใครก็สามารถใช้เวลาสามถึงสี่ปีในการบรรลุเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้เหรอ? ไม่ทราบว่าตอนนั้นศิษย์พี่สีใช้เวลานานแค่ไหนถึงฝึกฝนมาถึงขึ้นนี้ได้?” เชียวเฟิงยิ้มอย่างเยือกเย็น เขาไม่ไว้หน้าฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย
“เจ้า…”
ศิษย์พี่สีได้ยินก็โมโหเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับฝ่ายตรงข้ามไปอย่างไรดี
“ศิษย์น้องทั้งหลาย ใยต้องใช้อารมณ์ชั่ววูบถกเถียงกันด้วยล่ะ!”หลังจากมีเสียงถอนหายใจเบาๆ ก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนบริเวณนั้น
หลิ่วหมิงมองดูอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คนผู้นั้นก็คือศิษย์พี่ใหญ่แห่งสาขาเก้าทารกที่ชื่อสือชวนผู้นั้นนั่นเอง
เขาไม่ได้แปลกใจที่สือชวนมาอยู่ที่นี่ แต่จากพลังจิตที่แข็งแกร่งของเขารับรู้ได้ลางๆ ว่ากลิ่นไอพลังของฝ่ายตรงข้ามแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่ามีกลิ่นไอเย็นยะเยือกบางอย่างบนร่างเขา
หลิ่วหมิงมองไปที่เอวของเขาด้วยตาที่เป็นประกาย ตรงนั้นมีถุงหนังยันต์อักขระสีแดงเขียวอยู่ใบหนึ่ง เหมือนกับว่ามันเป็นที่มาของกลิ่นไออันเยือกเย็นนี้
“ศิษย์พี่สือ”
พอเห็นการปรากฏตัวของสือชวน ไม่ว่าจะเป็นเซวียซาน วั่นเสี่ยวเชี่ยน ศิษย์พี่สี หรือว่าเซียวเฟิง ต่างก็รีบทักทายเขาทันที
หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ทำการคารวะศิษย์พี่สือ
“ศิษย์น้องทั้งหลาย การประลองใหญ่ครั้งนี้สำคัญกับสาขาของพวกเรามาก ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ใหม่หรือศิษย์เก่าที่สามารถจารึกชื่อไว้บนแผ่นศิลาจันทราได้ อาจารย์กุย และอาจารย์ท่านอื่นๆ ต่างก็จะให้รางวัลอย่างงาม ถ้าหากว่าทำให้สาขาเก้าทารกหลุดออกจากตำแหน่งรั้งท้ายได้ ต่อไปสาขาของเราก็จะได้รับทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น และมันก็จะเป็นผลดีต่อศิษย์น้องทุกท่านด้วย ดังนั้นอาจารย์กุยจึงได้สั่งห้ามไม่ให้ศิษย์สาขาเดียวท้าชิงศิษย์ในสาขาที่มีชื่อเป็นศิษย์แกนนำอยู่บนแผ่นศิลาจันทราอยู่แล้ว เพื่อจะได้รับประกันการดึงตำแหน่งอันดับสาขาของเราให้สูงขึ้น” สือชวนค่อยๆ กล่าวออกมา
“ในเมื่ออาจารย์กุยได้สั่งไว้ ศิษย์ย่อมไม่กล้าฝ่าฝืน!” เซียวเฟิงตอบกลับด้วยสีหน้าหนักแน่น
คนอื่นๆ ก็พยักหน้าขานรับกลับไป
ในขณะเดียวกัน บนลานหินที่อยู่ห่างจากพวกหลิ่วหมิงค่อนข้างไกล มีคนผู้หนึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ และกล่าวขึ้นกับคนข้างๆ อย่างราบเรียบ
“ตอนนี้ไป๋ชงเทียนแตกต่างจากที่ข้าคิดไว้มาก ไม่แปลกใจเลยที่เขาสร้างชื่อเสียงเล็กน้อยได้ และยังทำให้ซือหม่าเทียนก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยแล้ว”
เจ้าของเสียงสวมชุดคลุมสีขาว คาดสายคาดเอวหยก สะพายกระบี่ยาวสีทองอ่อนๆ เล่มหนึ่งอยู่บนหลัง เขาก็คือเกาชงศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาแห่งสาขาพลังโลหิตนั่นเอง
และดรุณีน้อยใบหน้างดงามด้านข้างก็คือมู่หมิงจูนั่นเอง
ว่ากันตามหลักการแล้ว งานประลองใหญ่ซึ่งเป็นงานใหญ่ของนิกายปีศาจนี้ ศิษย์นิกายสายนอกไม่มีสิทธิเข้าร่วมได้ แต่ไม่รู้ว่าเกาชงใช้วิธีการอะไรถึงพานางเข้ามาได้
ด้านหลังของพวกเขา มีชายหนุ่มสวมห่วงที่แขน ศิษย์พี่อู๋ สือเจียนและคู่รักของเขาก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วย
“เจ้าคิดจะทำอย่างไร? ถ้าหากเขาไม่เข้าร่วมการประลองครั้งนี้ล่ะก็ ก็จะไม่วิธีเจอเขาได้” มู่หมิงจูจ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ไกลๆ ด้วยความโกรธแค้น แล้วกล่าวอย่างกังวล
“ไม่เข้าร่วมการประลอง? มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเขาทำให้ศิษย์แกนนำยี่สิบอันดับแรกอย่างซือหม่าเทียนกลัวจนหัวหดได้ ทำไมจะไม่ชิงตำแหน่งในนิกายที่ตนเองควรจะได้ล่ะ ขอแค่เขามีชื่ออยู่บนแผ่นศิลาจันทรา ข้าย่อมจะท้าสู้กับเขาอย่างแน่นอน” เกาชงดูเหมือนจะคิดเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วจึงกล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด
มู่หมิงจูได้ยินเช่นนี้แล้วถึงได้รู้สึกวางใจขึ้นใจ และมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนาง
“แต่ศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริงของข้าในครั้งนี้ไม่ใช่ไป๋ชงเทียน แต่เป็นคนผู้นั้น!” เกาชงมองไปยังชายชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากสีเงิน ยืนอยู่บนลานหินที่รายล้อมไปด้วยศิษย์สาขาหยินทนทรมาณ สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมมากกว่าเดิม
“ไม่คาดคิดว่าเจ้าหนูน้อยจะไม่สนใจคำพูดของข้า ในสถานนี้แบบนี้ก็ยังมาอยู่กับเกาชงได้ ช่างไม่รู้สึกเกรงกลัวอะไรเลย” มู่อวิ๋นเซียนกับตู้ไห่ยืนอยู่ด้วยกัน พอเห็นมู่หมิงจูและเกาชงที่ยืนเคียงคู่กันบนลานหิน สีหน้าของพวกเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมา
“เจ้าบอกเรื่องเตาหลอมพลังไปแล้ว แต่หมิงจูก็ไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังทำการคัดค้านอีก มันช่างเป็นเรื่องที่แก้ได้ยากยิ่งนัก” ตู้ไห่ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“เจ้าหนูน้อยก็ไม่ใช่คนโง่ แต่ทำไมถูกเด็กนั่นหลอกได้ขนาดนี้ พี่ใหญ่ข้าเอ็นดูหมิงจูมาโดยตลอด ทั้งยังฝากให้ข้าดูแลเมื่อนางมาอยู่ในนิกายแล้ว ถ้าหากมีเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดจริง ข้าก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปอธิบายอย่างไรดี” มู่อวิ๋นเซียนรู้สึกโกรธแต่ก็อดที่จะสงสารนางไม่ได้
“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าศิษย์น้องไป๋จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีแล้ว เจ้าคงไม่คิดว่าเกาชงพามู่หมิงจูมาถึงนี่ โดยที่ไม่สนใจกับศิษย์น้องไป๋ที่เป็นคู่หมั้นของมู่หมิงจูหรอกนะ” ตู้ไห่ถอนหายใจยิ้มขมขื่นออกมา
“เจ้าหมายความว่าเกาชงจะใช้การประลองใหญ่นี้จัดการกับศิษย์น้องไป๋ด้วยตนเองหรือ?” มู่อวิ๋นเซียนรู้สึกตกใจขึ้นมา
“ใยจะต้องลงมือเองเล่า เกรงว่าแค่ผู้ที่เกาะติดเขาก็เพียงพอที่จะลงมือได้แล้ว” ตู้ไห่จ้องมองชายสวมห่วงที่แขนตรงหลังเกาชงด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“ถ้างั้นคงต้องให้ศิษย์น้องไป๋ถอนตัวจากการประลองใหญ่ในครั้งนี้ ถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้” มู่อวิ๋นเซียนกล่าว
“การประลองใหญ่นี้สี่ปีถึงจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง อวิ๋นเซียนคิดว่าเขาจะยอมถอนตัวหรือ? ตอนนี้ได้แต่หวังว่าศิษย์น้องไป๋จะไม่สามารถจารึกชื่อไว้บนแผ่นศิลาจันทราได้ เช่นนี้แล้วพวกของเกาชงก็จะไม่มีโอกาสลงมืออีก” ตู้ไห่ส่ายศีรษะกล่าวออกมา
“คงได้แต่หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น จะว่าไปแล้วข้าเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ที่เป็นคนนำศิษย์น้องไป๋ให้มาถึงจุดนี้” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้! เจ้าก็แค่คิดที่จะช่วยหมิงจูให้ออกมาจากทะเลเพลิงเท่านั้น” ตู้ไห่ปลอบด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
และในขณะนั้นเอง ธูปบนลานหยกก็เผาไหม้จนหมดสิ้น ประมุขนิกายปีศาจก้าวมาหนึ่งก้าว แล้วประกาศออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ได้เวลาแล้ว การประลองใหญ่เริ่มต้น ณ บัดนี้”
และในขณะเดียวกัน อาจารย์จิตวิญญาณอีกท่านหนึ่งก็รีบสั่งออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ศิษย์ที่มีชื่ออยู่บนแผ่นศิลาจันทรา ให้แบ่งออกเป็นสิบกลุ่มตามอันดับรายชื่อ แล้วไปอยู่บนลานประลองสิบแห่ง ศิษย์ทั่วไปท้าสู้กับศิษย์แกนนำเหล่านี้ ผู้ชนะให้อยู่บนนั้นส่วนผู้แพ้ให้ออกไปจากลานประลอง ศิษย์ทั่วไปมีโอกาสท้าสู้แค่สามครั้ง พอครบสามครั้งก็ไม่มีสิทธิ์ท้าสู้อีก และในศิษย์แกนนำด้วยกันจะสามารถท้าสู้ได้แค่คนละหนึ่งครั้งเท่านั้น และไม่สามารถถูกคนอื่นท้าสู้ติดต่อกันได้ บนลานการประลองแต่ละแห่งจะมีอาจารย์จิตวิญญาณหนึ่งท่านคอยดำเนินการท้าสู้ ห้ามศิษย์คนใดฝ่าฝืนการตัดสินของพวกเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เหล่าศิษย์ที่อยู่บนเขาหินก็เริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้น
และอาจารย์จิตวิญญาณสิบท่านก็กระโดดลอยตัวลงมากลางลานหินสิบแห่งอย่างมั่นคง
จากนั้นธงเล็กๆ แต่ละผืนก็พุ่งบินออกจากตัวของพวกเขา แล้วค่อยๆ กลายเป็นธงผ้าปักลงตรงด้านหนึ่งของลานหินอย่างเป็นระเบียบ
ธงเหล่านี้มีสีแดงดำ มีเครื่องหมายสีทองอร่ามประทับอยู่ เป็นเครื่องหมายของการจัดอันดับที่แตกต่างกัน ตั้งแต่อันดับร้อยถึงอันดับหนึ่ง
……………………………………….