ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 485 แดนอบอ้าว

พอหลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็เข้าใจขึ้นมาในฉับพลัน

ที่แท้เผ่าเจ้าสมุทรกับเผ่าอื่นๆ ที่พบเจอในเขตทะเลชังไห่ในก่อนหน้านั้น แม้ดูๆ แล้วจะเป็นต่างเผ่า แต่ก็นับว่าเป็นกิ่งก้านสาขาของมนุษย์ ส่วนราชาปีศาจสมุทรและเผ่าปีศาจอื่นๆ ถึงนับว่าเป็นต่างเผ่าที่แท้จริง

ส่วนเจียหลานมีสายเลือดเผ่าเจ้าสมุทรครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงกลายเป็นศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ได้อย่างราบรื่น คิดว่าคงเป็นเพราะสาเหตุนี้

เวลาต่อมา หลิ่วหมิงก็ไม่ได้พูดอะไรกับทั้งสองมาก เพียงแค่พูดจาอย่างสุภาพไม่กี่ประโยคแล้ว ก็กล่าวคำอำลาก่อนจากไป

เนื่องจากก่อนหน้านั้น เขาเก็บตัวฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาโดยตลอด โอสถกับยันต์จึงหมดไปพอประมาณ เพื่อการทดสอบเบื้องต้นในอีกสามวันให้หลัง เขายังคงต้องไปตลาดในนิกายสักครั้ง

……

สามวันต่อมา ภายในวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้า ศิษย์ที่ยินยอมเข้าร่วมการทดสอบต่างก็มารวมตัวกันที่นี่

กลุ่มคนเหล่านี้ บ้างก็มีอาการคันไม้คันมืออยากจะลองดู ราวกับมีความมั่นใจต่อการทดสอบที่จะมาถึงเป็นอย่างมาก บ้างก็พูดคุยเล่นกับคนที่อยู่ด้านข้าง บ้างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างตื่นเต้นมาก

หลิ่วหมิงก็มาถึงวิหารใหญ่ตั้งนานแล้ว ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน และกำลังพูดคุยกับเยี่ยนหมิงและเสวี่ยอวิ๋น เพื่อสอบถามสถานการณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแดนอบอ้าว

ขณะนั้นเอง มีเสียงมีเท้าที่ดูมั่นคงดังออกมาจากด้านใน เจียงจ้ง หัวหน้าสาขาเดินออกมา และกวาดสายตามองดูผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น

“คารวะหัวหน้าสาขา” ศิษย์สายนอกที่เข้ามาใหม่เหล่านี้ย่อมไม่กล้าชักช้าแต่อย่างใด พวกเขาพากันทำความเคารพร้อมกัน

“เอาล่ะ! ได้เวลาพอประมาณแล้ว คนที่ไม่มาถือว่าสละสิทธิ์ ไปกันเถอะ!” เว่ยจ้งไม่พูดจาไร้สาระอีก พอโบกแขนเสื้อ หมอกควันสีเหลืองจางๆ ก็ทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง และปกคลุมศิษย์เหล่านี้ไว้

พริบตาเดียว กลุ่มเมฆสีเหลืองก็เหาะออกไปจากสาขาห่านฟ้า ผ่านยอดเขาสองสามลูก และพุ่งไปยังส่วนลึกของเขาหมื่นวิญญาณ

หนึ่งชั่วยามผ่านไป เจียงจ้งก็พาฝูงชนมาถึงเหนือยอดเขาเร้นลับแห่งหนึ่ง อากาศตรงหน้ามีชั้นจำกัดสีม่วงจางๆ ปกคลุมอยู่

เจียงจ้งปล่อยพลังแหวกมุมหนึ่งของชั้นจำกัดออก จากนั้นเมฆยักษ์ก็กระพริบเข้าไปด้านใน

หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามีแสงสีม่วงกระพริบตรงหน้า จากนั้นอากาศตรงหน้าก็พร่ามัวขึ้นมา และสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็เป็นยอดเขาที่ดูธรรมดาๆ ลูกหนึ่ง

ผ่านไปไม่นาน ก้อนเมฆสีเหลืองก็ร่อนลงบนลานราบเรียบที่อยู่บนยอดเขา ขณะนี้เขาถึงเห็นว่ามีวิหารสีดำหลังหนึ่งตั้งอยู่บนพื้นกว้างโล่ง

ดูจากภายนอกวิหารมีกลิ่นอายโบราณ ไม่มีแผ่นป้ายเลยสักแผ่น เห็นได้ชัดว่าลึกลับมาก และประตูวิหารก็ปิดสนิท ไม่มีคนยืนตรงประตูแม้แต่คนเดียว

ผู้อาวุโสชุดเทารอจนทุกคนลงไปหมดแล้ว เขาถึงยกแขนเก็บเมฆสีเหลืองเข้าไป จากนั้นก็เดินไปหน้าประตูไม้ และหยิบแผ่นหยกโบกไปยังประตู

ประตูวิหารสีดำเปิดออกมาท่ามกลางเสียงดังโครมคราม

ผู้อาวุโสเดินเข้าไปด้านใน

ฝูงชนสบตากันทีหนึ่ง และเดินตามผู้อาวุโสเข้าไป

หลังจากเดินตามระเบียงทางเดินไปได้ไม่นาน ตรงหน้าก็ดูโล่งขึ้นมาในฉับพลัน ห้องโถงขนาดกว้างยาวหลายสิบจั้งปรากฏขึ้นมา

ใจกลางห้องโถงเป็นค่ายกลขนาดมหึมา และมีอักขระซับซ้อนหลากสีประทับอยู่บนนั้นเป็นจำนวนมาก มันปกคลุมพื้นที่สิบกว่าจั้ง

รอบด้านค่ายกลยังมีแท่นสูงที่ดูคล้ายกันแปดแท่นล้อมรอบไว้แปดทิศทาง

และรอบๆ แท่นสูงทั้งเจ็ดแท่น ก็มีศิษย์สายนอกหลายสิบคนรวมตัวกันอยู่ ประจักษ์ชัดว่าเป็นศิษย์ใหม่ของทั้งเจ็ดสาขา

ภายใต้การใช้จิตกวาดดูของหลิ่วหมิง เขาค้นพบว่าศิษย์เหล่านี้ ดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลางเป็นส่วนมาก ขั้นปลายนั้นมีอยู่น้อย ส่วนศิษย์ใหม่ที่อยู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณ คิดว่าคงเป็นเพราะระดับการฝึกฝนค่อนข้างต่ำ บวกกับไม่เข้าร่วมประลองเล็กที่สามปีมีครั้ง จึงละทิ้งการทดสอบในครั้งนี้

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงยังคงค้นพบศิษย์จิตวิญญาณเจ็ดแปดคนอยู่ในฝูงชน สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เขากวาดสายตามองศิษย์สาขาต่างๆ อยู่รอบหนึ่ง ไม่นานก็ถูกคนเจ็ดคนที่ยืนอยู่บริเวณค่ายกลดึงดูดความสนใจของเขาในทันที

คนเหล่านี้คงเป็นหัวหน้าสาขาของสาขาทั้งเจ็ดแล้ว

หลิ่วหมิงเดินตามศิษย์สาขาห่านฟ้าไปยังแท่นสูงแท่นสุดท้ายที่ว่างอยู่ ขณะเดียวกันก็สังเกตคนทั้งเจ็ดไปด้วย

สามในเจ็ดคนนี้ คนที่อยู่ใกล้ค่ายกลที่สุดเป็นผู้อาวุโสคิ้วเหลืองที่มีใบหน้าซีดเชียว และเบ้าตาลึก อีกคนเป็นหญิงงดงาม สวมชุดสีแดง รูปร่างค่อนข้างดี และอีกคนเป็นชายวัยกลางคน คิ้วงอนเป็นรูปดาบ สวมชุดนักปราชญ์สีเขียว มีสีหน้าเมินเฉย

อีกสี่คนยืนอยู่ห่างจากค่ายกลค่อนข้างไกล พวกเขากำลังก้มหน้าพูดคุยอะไรกันอยู่ สองคนแต่งกายชุดนักพรต อีกสองคนแต่งกายธรรมดา

ชายสองคนที่สวมชุดนักพรต คนหนึ่งดูเหมือนจะมีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี สวมชุดนักพรตสีดำ สะพายกระบี่ไม้อยู่บนหลัง อีกคนกลับสวมชุดสีม่วงทอง หนวดทั้งสามปอยยาวถึงหน้าอก ดวงตารูปสามเหลี่ยมทั้งคู่มีตาดำน้อยกว่าตาขาว แลดูเหี้ยมไปหน่อย

อีกสองคนที่แต่งชุดธรรมดาเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายรูปร่างค่อนข้างเตี้ยและท้วม อายุราวๆ สี่สิบกว่าปี สวมหมวกกลมๆ ใบหนึ่ง แต่งตัวราวกับพ่อค้าในโลกมนุษย์ มีลูกคิดแขวนอยู่บนเอว

ส่วนผู้หญิงกลับดูมีอายุน้อยสุด อายุพอๆ กับหลิ่วหมิง สวมชุดสีเขียวอ่อน ใบหน้างดงามเป็นอย่างมาก

คนทั้งเจ็ดและเจียงจ้งต่างก็มีกลิ่นไอที่ไม่อาจคาดเดาได้ ดูคล้ายกับราชาปีศาจสมุทรที่หลิ่วหมิงพบในตอนแรก ประจักษ์ชัดว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งหมด

“พี่เจียง วันนี้ท่านมาช้าไปนะ” พอเห็นเจียงจ้งเอ้อระเหยลอยชายพาศิษย์สาขาห่านฟ้าค่อยๆ เดินมาตรงแท่นสูง หญิงใบหน้างดงามก็เผยสีหน้าเหนื่อยหน่าย และกล่าวออกมา

พอคนทั้งสี่ที่อยู่ห่างจากค่ายกลค่อนข้างไกลเห็นเช่นนี้ ก็หยุดพูดคุยในทันที จากนั้นก็เดินเข้ามาใกล้ค่ายกล

“ข้ามีเรื่องสำคัญจึงมาช้าไปหน่อย ขอทุกท่านโปรดอภัย!” เจียงจ้งได้ยินก็แสดงท่าทีให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ยืนรออยู่ที่เดิม จากนั้นตนเองก็เดินไปทางค่ายกล และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“เรื่องสำคัญ? เรื่องอันใดสำคัญกว่าการทดสอบเบื้องต้นเล่า? ท่านประมุขได้จัดการทดสอบนี้ที่แดนอบอ้าว เพื่อการทดสอบนี้ศิษย์ของสาขาทั้งเจ็ด ได้เตรียมการอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว มีเพียงแค่สาขาห่านฟ้าเท่านั้นที่ยังเอ้อระเหยลอยชายอยู่ อันนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้พี่เจียงยังมาสายอีก มันดูไม่มีเหตุผลไปหน่อยไหม” ดูเหมือนหญิงงดงามจะไม่พอใจที่เจียงจ้งมาสายเป็นอย่างมาก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น

“วันนี้ผู้อาวุโสซือถูออกคำสั่งเรียกให้ไปรวมตัวกัน ข้าไม่อาจฝืนคำสั่งได้” เมื่อถูกหญิงชุดแดงว่าให้ฉอดๆ เจียงจ้งก็ไม่ได้โมโหแต่อย่างใด ยังคงตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน

“ผู้อาวุโสซือถู?” หญิงงดงามได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และลดท่าทีจองหองลงไปมาก

“เอาล่ะ! เอาล่ะ! ทั้งสองอย่าได้ทะเลาะกันเลย ในเมื่อผู้อาวุโสซือถูเรียกพี่เจียงเข้าพบ ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญ พวกเราอย่าได้ปล่อยไก่ต่อหน้าบรรดาศิษย์เลย” พอชายร่างท้วมที่กำลังเดินเข้ามา เห็นว่าทั้งสองพูดจาไม่ปรองดองกัน เขาจึงรีบเกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้มขัน

“ในเมื่อพี่เจียงมาแล้ว ก็อย่าพูดจาไร้สาระอีกเลย รีบเริ่มการทดสอบเถอะ” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองที่ยืนอยู่ข้างหญิงงดงามกล่าวออกมา

เดิมทีสาขาใหญ่ทั้งแปดของนิกายยอดบริสุทธิ์ ต่างก็มีการแข่งขันกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะผลการประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก จะเป็นตัวตัดสินชื่อเสียงของสาขาในสายตาของนิกาย และทางนิกายจะแบ่งทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนให้แต่ละสาขาตามลำดับที่จัดไว้

ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสาขาจึงบอบบางมาโดยตลอด

ระหว่างนั้น จะเห็นว่ามีเงาร่างสีเขียวเคลื่อนไหว  ชายคิ้วรูปดาบได้เหาะขึ้นบนแท่นสูงแห่งหนึ่ง และยืนเอามือไขว้หลังไว้

“พวกเราก็เริ่มกันเถอะ!” ชายร่างท้วมเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะแห้งๆ ออกมา จากนั้นก็กระโดดขึ้นบนแท่นสูงแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะเร็วกว่าชายคิ้วรูปดาบในก่อนหน้าเล็กน้อย

คนที่เหลือย่อมพยักหน้า และพากันกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นสูงแต่ละแท่น ขณะเดียวกัน พวกเขาต่างก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา เผยให้เห็นป้ายสีแดงที่เปล่งแสงสีแสงอยู่ จากนั้นมันก็ลอยอยู่อากาศตรงหน้า

พอป้ายทั้งแปดปรากฏออกมา มันก็กระพริบระยิบระยับ ราวกับกำลังขานรับกันไปมา และดูเหมือนจะมีชีวิต

หลิ่วหมิงแอบสังเกตดูหัวหน้าสาขาทั้งแปดอยู่ตลอด เขาเห็นว่าทั้งแปดรวมตัวเข้าด้วยกัน และขยับริมฝีปากเบาๆ แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ประจักษ์ชัดว่าได้กระตุ้นเคล็ดวิชาบางอย่างเพื่อปิดกั้นเสียงไว้

หลิ่วหมิงตาเป็นประกายขึ้นมา เขาปล่อยพลังจิตกวาดดูป้ายตรงหน้าผู้อาวุโสคิ้วเหลืองเล็กน้อย แต่พอจิตสัมผัสกับป้าย ก็ถูกชั้นจำกัดไร้รูปบางอย่างดีดกระเด็นออกมา

ดูเหมือนผู้อาวุโสจะรับรู้ได้ จึงมองด้วยสายตาเมินเฉย หลิ่วหมิงรีบก้มหน้าลงด้วยความตกใจ

ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองละสายตากลับมาอย่างไม่ใส่ใจ ทันใดนั้นก็แอมไอเบาๆ และกล่าวออกมา

“ศิษย์สายนอกทุกท่านฟังไว้ให้ดี ข้าคือหัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้า ตอนนี้ข้าจะอธิบายเนื้อหาการทดสอบโดยคร่าวๆ การทดสอบนี้ดำเนินการในแดนอบอ้าวตามที่พวกเจ้าได้ยินมาในก่อนหน้านั้น หลังจากศิษย์ทุกคนเข้าไปในแดนอบอ้าวแล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม เพียงแค่ได้แก่นบริสุทธิ์ของอัคคีจิตวิญญาณมาสามเม็ด ก็นับว่าผ่านการทดสอบแล้ว และการทดสอบในครั้งนี้มีเวลาจำกัดคือหนึ่งเดือน ในระหว่างเวลานี้ ทุกอย่างที่ได้มาจากแดนอบอ้าวจะเป็นของตนเองทั้งหมด ซึ่งนับว่าเป็นการดูแลพิเศษต่อศิษย์ใหม่อย่างพวกเจ้า การทดสอบต่อไปในอนาคต จะไม่มีผลประโยชน์เช่นนี้อีก นอกจากนี้ในระหว่างการทดสอบเบื้องต้น จะไม่มีข้อห้ามไม่ให้ศิษย์แข่งขันกันเอง แต่หากถูกค้นพบว่าเจตนาฆ่าศิษย์คนอื่นๆ ล่ะก็ จะถูกทำลายการฝึกฝน และขับไล่ออกจากนิกายยอดบริสุทธิ์ทันที!”

พอผู้อาวุโสคิ้วเหลืองกล่าวมาถึงจุดนี้ ก็มีพลังกดดันไร้รูปอันมหาศาลทะลักออกมา

หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลที่กดดันเข้ามา ศิษย์ที่มีระดับการฝึกฝนค่อนข้างอ่อนแอต้องร่นถอยออกไปหลายก้าว และต่างก็มีสีหน้าหวาดผวาเป็นอย่างมาก

“อีกประเดี๋ยว พวกข้าจะรวมพลังกันเปิดทางเข้าแดนอบอ้าว แต่ว่าปราณพลังฟ้าดินในแดนอบอ้าวค่อนข้างบ้าระห่ำมาก ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งที่ถูกส่งเข้าไปล้วนแล้วแต่โอกาส และตอนกลับมามันก็ง่ายมาก อีกสักครู่ จะมีการแจกจ่ายตราหยกให้กับพวกเจ้าคนละอัน เพียงแค่บีบตราหยกให้ละเอียด พวกข้าก็จะรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว และกระตุ้นพลังของชั้นจำกัดรับพวกเจ้ากลับมา” พอผู้อาวุโสคิ้วเหลืองเห็นว่าศิษย์ที่อยู่ด้านล่างมีท่าทีนอบน้อมเป็นอย่างมาก เขาก็ลดน้ำเสียงลง และดึงพลังกดดันมหาศาลกลับมา

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset