“พลังในแดนอบอ้าวค่อนข้างพิเศษมาก ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปไม่อาจเข้าไปได้ ในนั้นมีแม้กระทั่งมีอัคคีจิตวิญญาณที่มีพลังแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าระดับของเหลวขั้นปลาย แม้นิกายยอดบริสุทธิ์เราจะห้ามไม่ให้ศิษย์ต่อสู้กันเอง แต่หากสะเพร่าเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกปีศาจสังหารจนเสียชีวิต ตรงนี้ทางนิกายไม่สามารถรับผิดชอบได้ ดังนั้นหากเผชิญกับอันตรายที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ล่ะก็ ทางที่ดีที่สุดให้รีบบีบตราหยกให้แตกละเอียดทันที” เจียงจ้งที่อยู่บนแท่นสูงอีกแห่งกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
บรรดาศิษย์สายในได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน ความรู้สึกผ่อนคลายในตอนแรกกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ผู้อาสุโสคิ้วเหลืองกลับปรบมือเบาๆ ทันใดนั้นศิษย์ดำเนินการหลายคน ก็เดินออกมาจากทางเดินสายหนึ่ง และแจกจ่ายตราหยกสีขาวที่กว้างสองชุ่น และยาวสามชุ่นให้กับหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ
บนตราหยกมีอักขระคล้ายไส้เดือนประทับอยู่อย่างง่ายๆ นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก แม้แต่คลื่นสั่นสะเทือนของพลังเวทก็ไม่อาจสัมผัสได้
ส่วนแผนที่ของแดนอบอ้าว หลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ต่างก็ได้เตรียมไว้เองตั้งแต่แรกแล้ว
หลิ่วหมิงตรวจสอบดูตราหยกในมือ พอคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ก็เก็บมันเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วนอย่างระมัดระวัง
พอผู้อาวุโสคิ้วเหลืองเห็นว่าได้แจกจ่ายตราหยกเสร็จสิ้นแล้ว ก็โบกมือให้สัญญาณกับหัวหน้าสาขาทั้งเจ็ด จากนั้นพวกเขาทั้งแปดก็ทำท่ามือและร่ายคาถาออกมา
ป้ายทั้งแปดที่ลอยอยู่กลางอากาศเปล่งแสงสีแดงออกมาทันที
หลังจากที่พวกเขาเปลี่ยนท่ามือ วงแหวนแสงสีแดงก็ปรากฏออกมา และป้ายทั้งแปดก็เรียงตัวติดต่อกัน
จากนั้นอักขระจำนวนมากก็ค่อยๆ กระพริบออกมาจากป้าย และพุ่งไปกลางอากาศเหนือค่ายกล หลังจากทอประสานกันไปมาแล้ว ก็ก่อตัวเป็นค่ายกลอักขระทรงกลมขนาดใหญ่ที่ดูซับซ้อนอย่างหาที่เปรียบมิได้
พอทั้งแปดยื่นมือขวาไปกลางอากาศ ค่ายกลอักขระก็ส่งเสียงดัง “ฟู่!” และร่วงลงไปยังค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา ค่ายกลยักษ์ก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ แสงสีแดงขนาดใหญ่พุ่งออกจากใจกลางค่ายกล และแผ่ขยายปกคลุมพื้นผิวของค่ายกลอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็ทำให้ผิวหนังของคนที่อยู่บริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงจางๆ
ขณะที่แสงสีแดงบนค่ายกลหมุนวนนั้น ศิษย์สายนอกที่อยู่รอบๆ แท่นสูง ต่างก็รับรู้ถึงคลื่นความร้อนที่แผ่เข้ามาได้อย่างลางๆ บวกกับพลังผลักดันบางอย่าง จึงทำให้พวกเขาค่อยๆ ถูกดันออกไป
เจียงจ้งและหัวหน้าสาขาทั้งเจ็ด ปล่อยพลังใส่ป้ายตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง ลำแสงสีแดงขนาดเท่าแขนพุ่งออกจากป้ายอีกครั้ง และค่อยๆ จมหายเข้าไปในค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง
พื้นห้องโถงสั่นสะเทือนเบาๆ แสงสีแดงกลางค่ายกลพวยพุ่งขึ้นมาทันที
“ฟู่!”
แสงสีแดงเข้มพวยพุ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นมือยักษ์สีแดงหนึ่งคู่ และท่ามกลางเสียงฉีกขาด อากาศเหนือค่ายกล ก็ถูกมือยักษ์ค่อยๆ แหวกรูมิติสีดำที่มีขนาดหลายจั้งออกมา
ศิษย์ที่อยู่รอบด้านต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจต่อปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
หลิ่วหมิงก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน
“เอาล่ะ! ทางเข้าแดนอบอ้าวได้เปิดออกแล้ว พวกเจ้าจับกลุ่มสิบคนเดินเข้าไปในค่ายกล พวกข้าจะส่งพวกเจ้าเข้าไป” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองส่งเสียงดังมาจากบนแท่นสูง
ศิษย์สาขาใหญ่ทั้งแปดได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป พวกเขาทยอยเข้าไปในค่ายกลติดต่อกัน
ศิษย์แต่ละกลุ่มพากันเข้าไปในค่ายกลภายใต้แสงสีแดงที่เปล่งประกาย จากนั้นร่างของพวกเขาก็ถูกดูดเข้าไปในช่องสีดำที่อยู่ด้านบน และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่นานหลิ่วหมิงและศิษย์สาขาห่านฟ้าอีกเก้าคน ก็เข้าไปในค่ายกลพร้อมกัน หนึ่งในนั้นเป็นเผ่าเนตรอินทนิลที่มีชื่อว่าจั้งเสวียน
แสงสีแดงเปล่งประกายขึ้นมา!
หลิ่วหมิงรู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน ภาพตรงหน้าพร่ามัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง พอลืมตาทั้งคู่อีกครั้ง ก็ค้นพบว่าตนเองอยู่ในแดนที่มีสีแดงเข้ม
และศิษย์อีกเก้าคนที่ถูกส่งมาพร้อมกับเขาก็อยู่บริเวณใกล้ๆ และกำลังสังเกตดูสภาพแวดล้อมแปลกประหลาดรอบด้านด้วยความประหลาดใจ
แดนอบอ้าวเป็นเสมือนชื่อของมันจริงๆ ซึ่งเป็นดินแดนที่ร้อนแรงไปทั้งแถบ!
หินภูเขาบริเวณรอบๆ เป็นสีแดง พื้นดินสีแดงเข้ม ต้นไม้ใบหน้าที่ปรากฏแก่สายตาก็มีไอร้อนระอุจนดูบิดเบี้ยว และเปล่งแสงสีแดงจางๆ ออกมา พอแหงนหน้ามองขึ้นไป แม้แต่ท้องฟ้าเบื้อง บนก็เป็นสีแดงเข้มและดูพร่ามัว
กลุ่มเมฆที่ลอยอยู่ตรงขอบฟ้า ก็ดูราวกับเปลวไฟที่ลุกโชน
ขณะที่คลื่นความร้อนถาโถมเข้ามา พวกเขาก็รู้สึกร้อนราวกับถูกเผา
มีศิษย์สายนอกสองคนที่ฝึกฝนวิชาควบคุมพอดี พวกเขารีบทำท่ามือปล่อยปราณแกร่งออกมา และควักยันต์มาแปะไว้บนตัว
พอหลิ่วหมิงยืนมั่นคงแล้ว ก็ปล่อยจิตอออกไปสำรวจดูสภาพแวดล้อมบริเวณรอบๆ
แต่ดูเหมือนจะค่อนข้างโชคดีมาก บริเวณนี้นอกจากพวกเขาสิบคนแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แฝงอยู่
หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย จากนั้นก็ปล่อยไอดำอันพวยพุ่งออกมา และก่อตัวเป็นฉากกำบังกั้นไอร้อนไว้ได้ในพริบตา
และในขณะเดียวกัน แสงสีม่วงพร่างพราวก็แผ่ออกจากร่างของจั้งเสวียนชายหนุ่มเนตรอินทนิล และแผ่ปกคลุมร่างของเขาไว้ ขณะเดียวกันแสงสีม่วงก็หมุนวนอยู่ในลูกตา ประจักษ์ว่าเขาก็กำลังสำรวจดูบริเวณรอบๆ เช่นกัน
คนอื่นๆ ย่อมสำรวจดูบริเวณรอบๆ เช่นกัน
“ทุกท่าน ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาถึงแดนอบอ้าวแล้ว ก่อนหน้านั้นหัวหน้าสาขาก็พูดแล้วว่า การทดสอบในครั้งนี้เพียงแค่พวกเราแต่ละคน นำแก่นบริสุทธิ์ของอัคคีจิตวิญญาณออกไปได้สามเม็ด ก็นับว่าผ่านการทดสอบแล้ว ในเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้ พวกเราก็ลงมือด้วยกันเลยดีหรือไม่?” ชายหนุ่มชุดขาวกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“ไม่เลว! ว่ากันว่าอัคคีจิตวิญญาณในแดนอบอ้าวนี้ร้ายกาจจริงๆ หากพวกเราลงมือพร้อมกันล่ะก็ คิดว่าคงจะปลอดภัยกว่ามาก อย่างไรซะการทดสอบในครั้งนี้ ก็ไม่ได้มีกฎให้ล่าแก่นบริสุทธิ์เพียงลำพัง” ข้อเสนอแนะของชายหนุ่มชุดขาว ถูกชายรูปร่างผอมสูงที่อยู่บริเวณนั้นกล่าวสำทับอีกที
คนอื่นๆ ที่เหลือได้ยินเช่นนี้ ก็มองหน้ากันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“ร่วมมือ! ฮ่าๆ ช่างน่าขันสิ้นดี! อยากร่วมมือพวกเจ้าก็ร่วมมือกันเองเถอะ ข้าไม่เข้าร่วมด้วยหรอก!”
จั้งเสวียนได้ยินกลับหัวเราะแล้วกล่าวออกมา จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไป ทุกย่างก้าวทำให้ร่างของเขาเคลื่อนไหวไปไกลถึงสองจั้ง พริบตาเดียวก็หายไปในป่าสีแดงที่อยู่บริเวณนั้น
ชายชุดขาวเห็นเช่นนี้ก็ดูเสียหน้ามาก
พอเห็นว่ามีคนออกไปก่อนแล้ว คนอื่นๆ ก็สบตากันทีหนึ่ง และพากันแยกย้ายออกไป
หลิ่วหมิงเองก็ยิ้มแล้วเดินจากไป
ผู้ที่สามารถเข้ามาเป็นศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ได้ ล้วนเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหนือผู้อื่น มีท่าทีหยิ่งยโส พวกเขาเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองมากกว่าที่จะลงมือด้วยกัน
ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนแค่สามคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม นอกจากชายชุดขาวกับชายรูปร่างผอมสูงแล้ว ยังมีศิษย์หญิงหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง
ชายชุดขาวยิ้มในใจอย่างขมขื่น จากนั้นก็รีบตั้งสติอย่างรวดเร็ว หลังจากพูดคุยแผนการกับทั้งสองคร่าวๆ แล้ว พวกเขาก็ไปจากสถานที่แห่งนี้ทันที
……
ภายในภูเขาลูกเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากจุดออกเดินทางไปหลายลี้ หลิ่วหมิงก็ออกเดินทางคนเดียวเช่นกัน
ในมือของเขากำลังถือแผนที่แดนอบอ้าวอยู่ ขณะที่ค่อยๆ เดินไปนั้น เขาก็สังเกตดูพื้นที่บริเวณนี้กับแผนที่อย่างละเอียด
สถานการณ์ในแดนอบอ้าวแห่งนี้ เลวร้ายกว่าที่หลิ่วหมิงคาดคิดไว้มาก แม้แต่ร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา ก็ถูกไอร้อนระอุทำให้สูญเสียพลังเวทได้ตลอดเวลา
ดีที่ว่าในหลายวันก่อน วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬของเขาได้บรรลุไปอีกขั้นแล้ว พลังเวทก็หนาแน่นขึ้นมาอีกเล็กน้อย สำหรับเขาแล้ว การสูญเสียเช่นนี้จึงนับว่าน้อยมาก
เขาดูเหมือนจะมีสีหน้าผ่อนคลาย แต่ความจริงแล้วกลับระมัดระวังตัวมาตลอดการเดินทาง โดยปล่อยพลังจิตสำรวจดูพื้นที่ภายในระยะหลายสิบลี้อยู่ตลอดเวลา
หลังจากเปรียบเทียบพื้นที่กับแผนที่ราวๆ ครึ่งชั่วยามแล้ว เขาก็ค่อยๆ มองออกว่าสถานที่แห่งนี้ก็คือ เขตภูเขาเล็กๆ ที่ทำเครื่องหมายไว้บนซ้ายล่างของแผนที่
และดูจากการชี้นำบนแผนที่แล้ว โอกาสการพบเจออัคคีจิตวิญญาณในบริเวณนี้มีไม่ค่อยมาก และตลอดการเดินทางที่ผ่านมาก็ยังไม่พบเจอเลย
และหลังจากเดินทางจากจุดนี้ไปทางเหนือราวๆ หนึ่งชั่วยาม ก็จะไปถึงตีนภูเขาไฟแห่งหนึ่ง และที่นั่นถึงจะมีอัคคีจิตวิญญาณปรากฏตัวบ่อยครั้ง
หลิ่วหมิงวางแผนไว้ในใจ และเก็บแผนที่เข้าไป ขณะที่กำลังจะทะยานขึ้นฟ้านั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปในทันที และร่างของเขาก็พร่ามัวไปหลบอยู่หลังต้นไม้สีแดงยักษ์ต้นหนึ่ง
จากนั้นก็มีเสียงแปลกประหลาดดังมาจากขอบฟ้าตรงหน้า “กากา!” เมฆสีแดงปรากฏออกมา และมีจุดแสงสีแดงปรากฏอยู่ในนั้นอย่างรำไร
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ใจเต้นขึ้นมา เขาส่งพลังเวทไปที่ดวงตา และเขม้นมองออกไปทันที
ขณะที่เมฆสีแดงเคลื่อนตัวผ่าน จุดแสงที่อยู่ในนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อีกาสีแดงขนาดฉื่อกว่าๆ สิบกว่าตัวปรากฏออกมา พอวิหคเหล่านี้กระพือปีก เปลวไฟสีแดงสดก็พวยพุ่งออกมาไม่หยุด ขณะเดียวกัน ไอร้อนแผดเผาก็แผ่โจมตีจากอากาศ ทำให้อากาศบริเวณรอบๆ ดูบิดเบี้ยวขึ้นมา
“อีกาเพลิง!”
สีหน้าหลิ่วหมิงยังคงไม่เปลี่ยนไป แต่กลับพูดพึมพำออกมา
หลายวันนี้ เขาใช้เวลาไปรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแดนอบอ้าวไปไม่น้อย แม้กระทั่งยังตั้งใจไปหอเก็บคัมภีร์หนึ่งครั้งโดยใช้แต้มคุณูปการเข้าแลก
อีกาเพลิงชนิดนี้ เป็นวิหคธาตุไฟที่พบเจอได้บ่อยที่สุดในแดนอบอ้าว โดยทั่วไปจะถือกำเนิดในสถานที่ที่มีพลังธาตุไฟหนาแน่น
พวกมันมีพลังไม่ค่อยมาก สูงสุดก็แค่ระกับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น แต่หากเผชิญกับฝูงอีกาเพลิงจำนวนหลายร้อยหลายพันตัวล่ะก็ ภายใต้การม้วนตัวของทะเลเพลิง ต่อให้จะเป็นระดับของเหลวขั้นปลาย ก็ยากที่จะรอดไปได้อย่างปลอดภัย
แต่สำหรับอีกาเพลิงสิบกว่าตัวตรงหน้าแล้ว หลิ่วหมิงย่อมนำกระบี่ยาวสีฟ้าครามมาตั้งขวางไว้บริเวณหน้าอกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เพื่อการทดสอบในครั้งนี้ เขาตั้งใจซื้อกระบี่จิตวิญญาณธาตุน้ำระดับกลางจากตลาดในนิกายมาเล่มหนึ่ง
“กา!” มีเสียงร้องดังเข้ามา
อีกาเพลิงตัวที่อยู่หน้าสุดมีสายตาแหลมคมเป็นพิเศษ ประจักษ์ชัดว่ามันค้นพบหลิ่วหมิงเข้าแล้ว และยังกระโจนเข้าหาพร้อมกับเสียงร้องแปลกๆ
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย พอทำท่ามือ แสงกระบี่สีฟ้าครามก็พุ่งขึ้นฟ้า และพริบตาเดียวก็ขยายใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า จากนั้นก็กลายเป็นปราณกระบี่ยักษ์ขนาดหลายจั้ง และฟันไปยังอีกาเพลิงตัวนั้น
อีกาเพลิงส่งเสียงร้องออกมา ทันใดนั้น มันก็อ้าปากพ่นเปลวไฟออกมาสายหนึ่ง เพื่อพยายามต้านทานปราณกระบี่ของหลิ่วหมิงไว้
…………………………………