ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 496 ย้อนกลับ

พอหลิ่วหมิงทำท่ามือ หมอกทรายก็พวยพุ่งรวมตัวเป็นลูกทรายยักษ์ลูกหนึ่ง ขณะเดียวกัน ด้านในก็มีแท่งแหลมๆ พุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก และหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง

วิหคเพลิงที่อยู่ด้านในส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา และถูกแท่งแหลมคมเหล่านี้ปั่นจนเละ

จากนั้นลูกทรายสีทองก็ระเบิดตัวเป็นหมอกทราย และม้วนตัวไปทางอัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่อยู่กลางอากาศ

และพออัคคีจิตวิญญาณสองตัวกลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมา มันพลิ้วไหวรวมตัวเข้าด้วยกัน จากนั้นก็กลายเป็นลูกไฟยักษ์พุ่งยิงออกไป และกระพริบแค่ไม่กี่ที ก็หนีออกไปไกลหลายสิบจั้ง

พอหมาป่าเพลิงที่เหลืออยู่ได้ล่างได้ยินเสียงร้องแหลมของอัคคีจิตวิญญาณ ก็พุ่งถอยออกไปไกลๆ ท่ามกลางเมฆอัคคีที่พวยพุ่ง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง และโบกมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ทันใดนั้นทรายทองคำร่วงกับกระบี่บินก็พุ่งกลับเข้ามา และไม่ได้ตามไล่ล่าพวกมันอีก

พอเฉินเติงและคนอื่นๆ เห็นหลิ่วหมิงโผล่มาโดยไม่คาดคิด ทั้งยังแสดงวิธีการอันร้ายกาจเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น และตะลึงพรึงเพริดกันเป็นอย่างมาก

“ขอบคุณพี่หลิ่วที่ยื่นมือเข้าช่วย น้ำใจนี้ข้าจดจำไว้แล้ว ภายหลังจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” จั้งเสวียนถอนหายใจยาวๆ และกล่าวขอบคุณหลิ่วหมิง

ศิษย์สายนอกอีกสองคนก็พากันกุมมือคารวะขอบคุณหลิ่วหมิง

เฉินเติงก็ทำท่ามือเก็บค่ายกล จากนั้นม่านแสงสีฟ้าก็กระพริบหายไป สีหน้าเขาดูซึ้งในน้ำใจของหลิ่วหมิงมาก และพูดอะไรบางอย่างกับหลิ่วหมิง

แต่ทว่าในขณะนี้ พลันมีเสียงสั่นสะเทือนดังโครมครามมาจากด้านหลังของหุบเขา จากนั้นเสาเพลิงก็พุ่งขึ้นจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ เมฆรูปดอกเห็ดสีแดงขนาดเท่าศีรษะปรากฏขึ้นมา พวกมันคือฝูงอสูรเพลิงที่ตามล่าหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น และกำลังพุ่งมาทางหุบเขา!

“ที่นี่อยู่นานไม่ได้ พวกเราเดินทางไปด้วยพูดไปด้วยดีกว่า” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำก็ก่อตัวตรงใต้เท้า จากนั้นก็พุ่งไปตรงปากทางเข้าหุบเขา

เฉินเติงและคนอื่นๆ ย่อมมองเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงขอบฟ้า จึงพากันทะยานขึ้นฟ้าด้วยความตกใจ

ภายในแสงหลบหลีก คนกลุ่มนี้ต่างก็กุมหินจิตวิญญาณไว้ เพื่อฟื้นฟูพลังเวทโดยเร็ว

“พี่เฉิน หากยังคงพัวพันกับอสูรเพลิงและอัคคีจิตวิญญาณจำนวนมากอยู่เช่นนี้ พวกเราจะสูญเสียพลังเวทไปมาก ไม่สามารถฟื้นฟูได้ทัน เกรงว่าคงไม่อาจยืนหยัดได้นาน ไม่ทราบว่าท่านมีวิธีการรับมือหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามเฉินเติงอย่างราบเรียบในฉับพลัน

เฉินเติงไม่เพียงแต่มีระดับการฝึกฝนสูงสุดในที่นี้ ทั้งยังเชี่ยวชาญค่ายกลมากมาย อาวุธจิตวิญญาณในมือก็ไม่ได้อ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่

“ไม่ทราบว่าตลอดการหลบหนี พี่หลิ่วค้นพบอะไรแปลกๆ บ้างหรือไม่?” เฉินเติงไม่ได้ตอบคำถามหลิ่วหมิงโดยตรง แต่กลับถามออกมาเช่นนี้

“หรือว่า……พี่เฉินจะหมายถึงอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ตัวนั้น?” หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา แต่ยังคงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ

“ไม่ผิด! ศึกในตอนนั้น พวกเขาทั้งสองเคยบุกเข้าไปถึงหลุมใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขา และเห็นกับตาว่าอัคคีจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมเสาผลึกยักษ์ต้นหนึ่งอยู่ และที่นั่งอยู่บนเสาผลึกก็คืออัคคีจิตวิญญาณที่มีขนาดสองจั้ง คิดว่ามันคงเป็นอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่พี่หลิ่วเห็นตัวนั้นแล้วล่ะ และดูเหมือนว่าการฝึกฝนของมันเข้าใกล้ระดับผลึกแล้ว คงจะเป็นราชาของแดนอบอ้าวแห่งนี้ และไม่แน่ว่าเสาผลึกต้นนั้น อาจจะเป็นของล้ำค่าชิ้นนั้นที่ทำให้ปราณพลังฟ้าดินเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็ได้” เฉินเติงเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งสองแล้วกล่าวออกมา

“หรือว่าความหมายของพี่เฉินก็คือ……” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“พวกเราหลบหนีมันอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ ไม่สู้หันหลังชนฝาสู้กันสักตั้ง ถือโอกาสที่อัคคีจิตวิญญาณส่วนมากอยู่ภายนอก เข้าไปทำลายเสาผลึกยักษ์ต้นนั้น หากเสาผลึกล้มลง อัคคีจิตวิญญาณยักษ์คงจะรับรู้ได้และรีบกลับมาตรวจสอบในทันที พอพวกเรารวมพลังจัดการมันได้ ฝูงอสูรเพลิงและอัคคีจิตวิญญาณก็จะเหมือนกับมังกรที่ไม่มีจ่าฝูง และเกิดความวุ่นวายขึ้นมา” เฉินเติงหัวเราะเฮ่อๆ! แล้วบอกความคิดของตนเองให้กับหลิ่วหมิง

“วิธีการนี้น่าลองดู แต่ดูเหมือนว่าอัคคีจิตวิญญาณในแดนลึกลับ จะเป็นร่างแฝงของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ไปหมดแล้ว พลังจิตของมันแข็งแกร่งมาก สามารถจับตำแหน่งและร่องรอยของพวกเราได้ตลอดเวลา เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแฝงตัวเข้าไปในหุบเขาได้อย่างสมบูรณ์” หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดความกังวลของตนเองออกมา

“สำหรับเรื่องนี้ พี่หลิ่วไม่ต้องกังวลเกินไป ข้ามีอาวุธจิตวิญญาณที่สามารถหลบหลีกพลังจิตของราชาอัคคีจิตวิญญาณได้ชั่วคราว ถึงแม้ไม่อาจยืนหยัดได้นาน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเราเข้าไปในหุบเขาได้ ส่วนอัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงที่อยู่นอกหุบเขา ด้วยความสามารถของพี่เฉิน คงจะมีวิธีการหน่วงเหนี่ยวมันไว้” จั้งเสวียนที่อยู่บริเวณนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เหมือนกับจะรู้เรื่องที่จิตรับรู้ของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์แฝงอยู่ในตัวของอัคคีจิตวิญญาณทั่วไป

แต่ศิษย์อีกสองคนที่ตามอยู่ด้านหลัง กลับฟังจนปากอ้าตาค้าง

“ไม่ผิด! ข้ามีค่ายกลวิญญาณน้ำแข็งแสงลี้ลับอยู่ชุดหนึ่ง สามารถล่ออสูรเพลิงกับอัคคีจิตวิญญาณได้ชั่วคราว เดิมทีข้ากับพี่จั้งก็มีแผนเช่นนี้ แต่รู้ดีว่ามีพลังไม่พอถึงไม่ได้ลงมือจริงๆ ตอนนี้มีพี่หลิ่วเข้าร่วมด้วย ก็ลงมือทำได้เต็มที่แล้ว” เฉินเติงหัวเราะแล้วกล่าวออกมา

“ดี! ถ้าอย่างนั้นพวกเราค่อยๆ ปรึกษากันให้ดีเสียก่อน”  หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หลังจากคิดว่าหากร่วมมือกับจั้งเสวียนจัดการกับอัคคียักษ์ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

หลายชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวในป่าดงดิบสีแดงที่ห่างจากหุบเขาใหญ่ไม่ไกล

หลังจากพวกเขาหารือแผนการใหญ่กันแล้ว ก็อาศัยดวงตาทั้งคู่ของจั้งเสวียนแสดงวิชา ทำให้พวกเขาหลบเลี่ยงฝูงอสูรเพลิงส่วนใหญ่ได้ และโจมตีอสูรหลายกลุ่มที่ตามล่า ในที่สุดอัคคีจิตวิญญาณที่ไล่ตามมา ก็ถูกทิ้งห่างไว้ไกลๆ และพวกเขาก็อ้อมกลับมาตรงจุดที่อยู่ห่างจากที่อยู่ของอัคคีจิตวิญญาณไม่ไกล

ขณะนี้จั้งเสวียนมีสีหน้าขาวซีด ประจักษ์ชัดว่าการกระตุ้นเคล็ดวิชาติดต่อกัน ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทไปมาก

“ข้ามีโอสถระดับสูงสำหรับผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ทุกท่านฟื้นฟูพลังเวทก่อน หลังจากวางค่ายกลใหญ่เสร็จแล้ว พวกเจ้าก็รีบเข้าไปในหุบเขาโดยเร็ว และดำเนินการตามแผนที่วางไว้” เฉินเติงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าปวดใจเล็กน้อย และหยิบขวดสีเขียวมรกตออกมาใบหนึ่ง จากนั้นก็เทโอสถสีเขียวที่แผ่ปราณจิตวิญญาณอันหนาแน่นออกมาห้าเม็ด เขาแบ่งให้จั้งเสวียนและคนอื่นๆ ส่วนตนเองก็กลืนลงไปเม็ดหนึ่งเช่นกัน

หลิ่วหมิงรับโอสถมาแล้วก็ส่งพลังจิตกวาดดูก่อนที่จะกลืนลงไป

พอโอสถเข้าปากก็รู้สึกขมเล็กน้อย แต่กลับกลืนลงคอได้อย่างง่ายดาย

ผ่านไปซักพัก ก็รู้สึกอบอุ่นในจุดตันเถียนอย่างน่าประหลาดใจ ต่อมาพลังเวทบริสุทธิ์มากมายก็ทะลักออกมาไม่หยุด และซึมเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ เขารู้สึกได้ทันทีว่าโอสถนี้ไม่ใช่สิ่งที่โอสถระดับสูงทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้

เขานั่งขัดสมาธิลงไปทันที และหยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงออกมาก่อนที่จะหลับตาฟื้นฟูพลังเวท

คนอื่นๆ ย่อมทำเช่นเดียวกับเขา

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หลังจากหลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาแล้ว พลังเวทของเขาก็ฟื้นมามากแล้ว

ขณะนี้ จั้งเสวียน เฉินเติง และคนอื่นๆ ก็ลืมตาขึ้นมาเช่นกัน สีหน้าดูเบิกบานใจมาก

ประจักษ์ชัดว่าโอสถระดับสูงมีผลในการฟื้นฟูพลังเวทได้เหนือความคาดหมายของพวกเขา

หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

โอสถฟื้นฟูระดับสูงมีผลลัพธ์มหัศจรรย์เช่นนี้ หากมีเวลาล่ะก็ คงต้องฝึกฝนวิชาปรุงโอสถให้ดีๆ แล้ว หากในช่วงวิกฤตได้ทานเพิ่มอีกสองสามเม็ด ไม่แน่อาจจะช่วยชีวิตน้อยๆ ของตนเองได้

เขามีฟองอากาศลึกลับที่ทำให้เวลาเชื่องช้าลง และไม่ต้องกลัวว่าจะสิ้นเปลืองวัตถุดิบแต่อย่างใด เป็นไปได้โดยสิ้นเชิงที่จะฝึกฝนโอสถระดับสูงบางประเภท

“อีกไม่นานอัคคีจิตวิญญาณพวกนั้นก็จะค้นพบพวกเราแล้ว ข้าจะไปวางค่ายกลให้เสร็จก่อน รอข้ากระตุ้นค่ายกล พวกเจ้าก็เข้าไปผลักเสาผลึกที่อยู่ในหลุมให้ล้มลง” เฉินเติงลุกขึ้นมา หลังจากนำแผ่นกลมๆ มาดูทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็พากันพยักหน้า

เฉินเติงก็ควักธงค่ายกลกึ่งโปร่งแสงออกมา และโยนออกไปรอบด้าน ภายใต้การร่ายคาถา ธงค่ายกลก็เริ่มเปล่งแสงสีขาวสลัวๆ ออกมา และค่อยๆ หมุนวนรอบตัวเขา ไอเย็นสะท้านแผ่นออกมารอบด้าน

เขาสะบัดแขนเสื้อหยิบแผ่นค่ายกลหยกเขียวออกมา จากนั้นก็เปลี่ยนท่ามือและชี้ลงบนแผ่นค่ายกล

แสงสีเงินจำนวนมากพุ่งออกจากแผ่นค่ายกล และจมหายไปในธงค่ายกลที่อยู่รอบๆ

ธงค่ายกลหลายสิบอันสั่นสะท้านเบาๆ จากนั้นก็พุ่งไปรอบด้าน และกระพริบหายไป

ไม่นาน ค่ายกลสีขาวโพลนที่ปกคลุมพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของป่า ก็ปรากฏออกมา

ภายในค่ายกลมีไอหมอกผสมปนเปกับพายุเย็นสะท้าน ชั้นน้ำแข็งหนา ๆ ก่อตัวขึ้นบนพื้นผิวของต้นไม้ในทันใด

“เอาล่ะ! ข้าจะควบคุมค่ายกลล่ออัคคีจิตวิญญาณอยู่ที่นี่ ทุกท่านรีบลงมือโดยเร็ว แม้ว่าค่ายกลนี้จะมีอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง แต่ฝูงอสูรเพลิงในสถานที่แห่งนี้มีเป็นจำนวนมาก ข้าเองก็ไม่อาจประเมินการได้ว่ามันจะยืนหยัดได้นานเพียงใด” พอเฉินเติงได้ยินเสียงคำรามดังมาจากที่ไกลๆ ก็มองคนเหล่านี้แล้วกล่าวออกมาทันที

“ได้! พวกเราไปกันเถอะ!”

จั้งเสวียนตะคอกออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ ผ้าดิ้นสีม่วงผืนหนึ่งก็ลอยออกมา

มีหัวปีศาจแปลกประหลาดประทับอยู่บนผ้าดิ้น ดวงตาทั้งคู่มีแสงสีม่วงเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ซึ่งเหมือนกับแสงสีม่วงที่หมุนวนอยู่ในดวงตาของจั้งเสวียนไม่มีผิด

พอปล่อยพลังลงบนผ้าดิ้น มันก็หมุนติ้วๆ กลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นจุดแสงสีม่วง และก่อตัวเป็นม่านแสงสีม่วงจางๆ ปกคลุมคนทั้งสี่ไว้

หลิวหมิงรู้สึกแค่ว่าอากาศโดยรอบแข็งตัวในม่านแสงสีม่วง พอปล่อยพลังจิตออกไปสัมผัส มันก็กระเด็นกลับมาราวกับถูกชั้นกำจัดกั้นไว้

ดูท่านี่คงเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่สามารถหลบเลี่ยงพลังจิตของราชาอัคคีจิตวิญญาณได้ชั่วคราวตามที่จั้งเสวียนกล่าวถึง

ภายใต้การปกคลุมของแสงสีม่วง ทั้งสี่ก็ทะยานฟ้าพุ่งไปทางหุบเขาทันที

บริเวณหลุมยักษ์ที่อยู่ส่วนลึกของรังอัคคีจิตวิญญาณ มีเมฆอัคคีพวยพุ่งอยู่รอบด้านอย่างหนาแน่น

พอมองออกไปภายในหลุมยักษ์ จะเห็นอัคคีจิตวิญญาณห้าหกตัวกำลังดูดซับแสงสีแดง ที่แผ่ออกมาจากเสาผลึกโปร่งแสงอย่างตามอำเภอใจ ดูเหมือนว่าเปลวไฟบนตัวจะเข้มขึ้นมาเล็กน้อย ขณะเดียวกัน ยังส่งเสียงร้องแหลมออกมาตลอดเวลา ดูเหมือนจะชอบเป็นพิเศษ

“ลงมือ!”

เสียงตะโกนดังขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากมีเสียงดังกังวาน แสงกระบี่สีเหลืองกับสีฟ้าที่ยาวหลายจั้ง ก็พุ่งออกจากเมฆอัคคีบริเวณนั้น

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง อัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ถูกแสงกระบี่สองลำเจาะทะลุศีรษะ

มีเงาร่างเคลื่อนไหวหลังเมฆอัคคี จากนั้นหลิ่วหมิง จั้งเสวียน และคนอื่นๆ ก็ปรากฏออกมา

พอหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนยกแขนขึ้น กระบี่บินของตนเองก็พุ่งกลับมา

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset