ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 497 แอบจู่โจม

อัคคีจิตวิญญาณสามตัวที่เหลือต่างก็กระโดดขึ้นมาด้วยความตกใจ และพุ่งเข้าใส่พวกเขา

“พี่จั้ง อัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้มอบให้ข้า ส่วนพวกท่านไปทำลายเสาผลึกเถอะ!” หลิ่วหมิงเรียกกระบี่บินกลับมา และส่งเสียงออกไป พอยกแขนทั้งสองขึ้น สายรุ้งสีฟ้ากับจุดแสงสีทองก็พุ่งออกมาทันที พริบตาเดียว ก็กลายเป็นเงากระบี่จำนวนมากกับหมอกทรายสีทองขนาดใหญ่ และม้วนอัคคีจิตวิญญาณทั้งสามไว้ด้านใน

จั้งเสวียนพยักหน้า และพาศิษย์สายนอกทั้งสองตรงไปที่เสาผลึกยักษ์

มีเสียงคำรามดังออกมา!

ลวดลายมีเหลืองเปล่งประกายอยู่บนแขนทั้งสองของจั้งเสวียน พริบตาเดียวมันก็ขยายใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า จากนั้นก็ตบลงพื้นอย่างรุนแรง

พื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมา หลังจากมีเศษหินกระเด็นออกไป มือยักษ์สีเหลืองสูงสิบกว่าจั้งที่ก่อตัวจากหินทรายก็ปรากฏออกมา และกำหมัดอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ทุบใส่เสาผลึกอย่างบ้าคลั่ง

มีเสียงฟ้าถล่มดินทลายดังเข้ามา

เสาผลึกถูกดินสีเหลืองปกคลุมไว้รอบด้าน ทำให้หลุมยักษ์สั่นสะเทือน

ศิษย์สองคนที่อยู่ข้างๆ จั้งเสวียน คนหนึ่งโยนแท่งเหล็กสีดำออกไป อีกคนก็ปล่อยดาบบินสีเขียวออกมา อันหนึ่งกลายเป็นแสงสีดำ อีกอันกลายเป็นแสงสีเขียว และพุ่งเข้าไปโจมตี

แสงสีแดงเปล่งประกายบนเสาผลึกยักษ์อย่างบ้าคลั่ง ไม่นานก็มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นมาจากโคนเสาท่ามกลางการโจมตีราวกับสายฝนกระหน่ำ

เสาผลึกขนาดใหญ่โงนเงนสองสามที ก็ล้มลงบนพื้นด้านหนึ่งอย่างรุนแรง และแตกกระจายเป็นชิ้นๆ

แสงสีแดงจำนวนมากพุ่งออกมาจากรอยขาด และจมหายไปในเมฆอัคคีอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นจั้งเสวียนและคนอีกสองคน ก็โจมตีอัคคีจิตวิญญาณที่ถูกหลิ่วหมิงปิดล้อมอยู่อย่างไม่ลังเล

ทางด้านหลิ่วหมิงก็กระตุ้นทรายทองคำร่วงกับวิชาขี่กระบี่อย่างบ้าคลั่ง

ไม่นาน พวกเขาทั้งสี่ก็รวมพลังกันสังหารอัคคีจิตวิญญาณทั้งสามจนสำเร็จ

“หากที่เฉินเติงคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ไม่นานอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ตัวนั้นก็จะกลับมาถึงหลุม พวกเราไปซ่อนตัวกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงเก็บอาวุธจิตวิญญาณ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

จั้งเสวียนและคนอีกสองคนก็พยักหน้า และหาสถานที่เร้นลับท่ามกลางหมอกอัคคี จากนั้นก็ใช้ผ้าดิ้นสีม่วงปิดบังกลิ่นไอของพวกเขาไว้อีกครั้ง

……

ห่างจากนอกหุบเขาไปไม่ไกล ภายใต้การควบคุมฝูงอสูรเพลิงหลายร้อยตัวของอัคคีจิตวิญญาณสิบกว่าตัว พวกมันกำลังล้อมรอบค่ายกลผลึกน้ำแข็งแวววาวคล้ายกับชามยักษ์ที่คว่ำอยู่อย่างแน่นหนา และโจมตีอย่างบ้าระห่ำ

ขณะที่มีการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงบนผลึกน้ำแข็ง ลูกไฟแต่ลูกก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ทำให้อากาศบริเวณนั้นเสียงเสียงดังตูมตาม

และหลังจากที่ค่ายกลถูกโจมตีติดต่อกันหลายรอบ มันก็ค่อยๆ เกิดรอยร้าวขึ้นมา เป็นสัญญาณว่าเริ่มไม่มั่นคงแล้ว

เฉินเติงที่อยู่ในค่ายกลมีเหงื่อท่วมตัว เขากำลังอ้าปากค้างเพื่อหายใจ ด้านหนึ่งก็กำหินจิตวิญญาณระดับสูงเพื่อฟื้นฟูพลังเวทอย่างรวดเร็ว อีกด้านหนึ่งก็กระตุ้นแผ่นค่ายกลหยกเขียวรักษาเสถียรภาพของค่ายกลไว้

ขณะนี้ หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ เข้าไปในหลุมยักษ์ได้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น

ขณะเดียวกัน แสงไฟสี่ลำก็พุ่งออกจากหลุมยักษ์อย่างรวดเร็ว เมื่อมันพุ่งผ่านเหนือค่ายกลแล้ว ก็พุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง

หลังจากเฉินเติงขบคิดเล็กน้อย ก็รู้ว่าหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงหลุมใหญ่คงจะลงมือสำเร็จแล้ว เขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

ทันนั้นมีเสียง “สวบสาบ!” ดังเข้ามาจากรอบด้าน

จากนั้นผลึกน้ำแข็งที่อยู่รอบด้านก็แตกกระจุยออกมา และค่อยๆ กลายเป็นผลึกน้ำแข็งสีขาวขนาดต่างๆ ก่อนที่จะร่วงลงมาราวกับฝนตก

ต่อมาก็มีแสงไฟเปล่งประกายรอบด้านและอสูรเพลิงจำนวนมากก็ทะลักเข้ามา

ในที่สุดค่ายกลนี้ก็ยืนหยัดได้แค่ครึ่งชั่วยามกว่าๆ เท่านั้น หลังจากนั้นก็พังทลายลง

ดูเหมือนเฉินเติงจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว เขารีบเก็บแผ่นค่ายกลเข้าไป และกระโดดขึ้นบนรถเหาะที่เปล่งแสงแวววาว ก่อนที่ฝูงอสูรเพลิงจะปิดล้อมอย่างสมบูรณ์นั้น เขาก็พุ่งไปยังทิศทางที่กำหนดไว้ทันที

มีเสียงร้องแหลมดังขึ้นมาหลายครั้ง ฝูงอสูรเพลิงที่อยู่ด้านล่างส่งเสียงคำราม และทะยานไล่ตามรถเหาะไป

…..

เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา มีเสียงแผดร้องดังขึ้นตรงปากทางเข้าหุบเขา อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่มีเปลวไฟสีแดงเข้มเต็มตัว พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งตรงไปยังเสาผลึกที่พังทลายลงมาทันที

ด้านหลังของมันยังมีอัคคีจิตวิญญาณห้าหกตัวที่กลายเป็นแสงหลบหลีกสีแดงตามเข้ามา แต่เห็นได้ชัดว่าทิ้งระยะห่างจากอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ไปมาก

ท่ามกลางเมฆอัคคีที่อยู่บริเวณหลุมยักษ์ หลังจากหลิ่วหมิงมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปแล้ว เขาก็ขยับปากสองสามที

จั้งเสวียนและคนอีกสองคนก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

ในขณะนั้นเอง แสงสีแดงเข้มลำหนึ่งก็ปรากฏกลางอากาศพร้อมเสียงอันดัง

หลุมยักษ์สั่นไหวขึ้นมา อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่มีขนาดสองจั้งปรากฏตัวตรงหน้าเสาผลึกที่แตกเป็นชิ้นๆ หลังจากกวาดสายตามองดูแล้ว เปลวไฟบนตัวก็ลุกไหม้อย่างรุนแรง จากนั้นก็แหงนหน้าตะโกนออกมาด้วยความโมโหอย่างถึงขีดสุด

“นิกายยอดบริสุทธิ์ ฆ่า ฆ่า……”

หลังจากมีเสียงแปลกประหลาดดังออกมา อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ก็ตัวกระโดดขึ้น ลูกตาสีขาวทั้งคู่หมุนติ้วๆ และกวาดดูรอบด้าน

“ลงมือ!”

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็คำรามออกมาในทันที ร่างของเขาพร่ามัวออกจากม่านแสงสีม่วง ขณะเดียวกันก็สะบัดกระบี่จิตวิญญาณในมือ ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าม้วนตัวออกไป

จั้งเสวียนก็เตรียมทำท่ามือด้วยมือเดียวตั้งแต่แรกแล้ว ม่านแสงสีม่วงบนตัวพุ่งขึ้นด้านบนทันที และกลับมาเป็นผ้าดิ้นสีม่วงอีกครั้ง แต่หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์อีกสองคนก็กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณเช่นกัน และต่างก็ปล่อยแท่งเหล็กสีดำกับดาบบินสีเขียวออกมา พอทำท่ามือกระตุ้น มันก็กลายเป็นพายุบ้าระห่ำสีดำกับแสงดาบขนาดใหญ่

เห็นได้ชัดว่าอัคคีจิตวิญญาณยักษ์คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแอบจู่โจม จึงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย

ทันใดนั้น มันก็คำรามด้วยความโมโห พอโบกมือข้างหนึ่ง ลูกไฟสีแดงอันคุโชนก็พุ่งไปรับมือสายรุ้งสีฟ้าที่เข้ามาใกล้ ขณะเดียวกันก็มันหันตัวกลับมา เปลวไฟบนตัวลุกพรึ่บกลายเป็นกำแพงอัคคี และผลักดันไปทางพายุบ้าระห่ำสีดำกับแสงดาบสีเขียว

“ตู๊ม!” ลูกไฟปะทะเข้ากับสายรุ้งสีเงิน และระเบิดออกมาเป็นแสงทรงกลดสีแดงฟ้าในทันที คลื่นอากาศอันน่าตกใจม้วนตัวไปทั่วทิศ

และพายุบ้าระห่ำสีดำกับแสงดาบสีเขียว ก็ถูกกำแพงไฟสีแดงเข้มกดดันจนเกิดเสียงดังแปลกประหลาด ทันใดนั้น ลำแสงก็มืดลงไปมาก และมีสภาพใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้ว

ขณะนั้นเอง มีคลื่นสั่นสะเทือนเหนือศีรษะอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ หัวปีศาจสีม่วงปรากฏออกมา จากนั้นก็พุ่งลงมาพร้อมเสียงหัวเราะแปลกประหลาด และพร่ามัวกลายเป็นเถาวัลย์สีม่วงพันตัวอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ไว้หลายรอบ

อัคคีจิตวิญญาณยักษ์โบกแขนเพื่อที่จะดึงเถาวัลย์สีม่วงให้หลุดออกมา แต่มันกลับขาดๆ หายๆ บนตัวของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ราวกับว่าเป็นสิ่งของไร้รูป จึงไม่สามารถทำอะไรมันได้

และในขณะเดียวกัน มีจุดแสงสีทองปรากฏขึ้นมาตรงเอวของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ จากนั้นก็พร่ามัวรวมตัวเป็นวงแหวนทองคำขนาดใหญ่ และบีบรัดเข้าไปอย่างรวดเร็ว

มันคือทรายทองคำร่วงที่หลิ่วหมิงปล่อยออกมา และกำลังทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งพลังเวทใส่ของล้ำค่าชิ้นนี้

อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาทันที

ภายใต้การถูกรัดพันถึงสองชั้น มันจึงดิ้นรนอยู่ไม่หยุด ใบหน้าพร่ามัวของมันแสดงความเจ็บปวดออกมา

ทรายทองคำร่วงสมกับเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด อานุภาพของมันแข็งแกร่งมาก ต่อให้ราชาอัคคีจิตวิญญาณตัวนี้จะมีพลังแข็งแกร่ง ก็ไม่สามารถแบกรับได้ชั่วขณะหนึ่ง

และเถาวัลย์สีม่วงก็หดขยายอย่างรวดเร็ว ประจักษ์ชัดว่าการแสดงวิชานี้ออกมา ก็ทำให้สูญเสียพลังไปไม่น้อย

กำแพงอัคคีสีแดงเข้มที่ปะทะกับพายุบ้าระห่ำสีดำและดาบยักษ์อยู่ ก็พังทลายลงมา

ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งสองเห็นเช่นนี้ ก็มองมาด้วยความดีใจ ทันใดนั้นพวกเขาก็คิดจะกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณ เพื่อโจมตีอัคคีจิตวิญญาณยักษ์เช่นกัน

แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงดังก้องมาจากที่ไกลๆ เปลวไฟหลายกลุ่มปรากฏออกมา พวกมันก็คืออัคคีจิตวิญญาณทั่วไปที่ตามหลังอัคคีจิตวิญญาณยักษ์มานั่นเอง

“พวกเจ้าทั้งสองไปหน่วงเหนี่ยวอัคคีจิตวิญญาณสองตัวนั้นไว้! ข้ากับพี่จั้งจะรับมือกับอัคคีจิตวิญญาณยักษ์เอง” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ตะโกนบอกศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งสองอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ใช้ความสามารถหนึ่งจิตสองพลัง พอกระบี่สีฟ้าที่กระเด็นกลับมากระพริบผ่านไป มันก็กลายเป็นแสงสีฟ้าฟันไปทางหัวอัคคีจิตวิญญาณยักษ์

ขณะที่พลังเวทส่วนใหญ่กระตุ้นทรายทองคำร่วงนั้น ย่อมไม่สามารถแสดงวิชาขี่กระบี่ออกมาได้

แต่พอแสงกระบี่สีฟ้าฟันลงบนหัวอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ กลับเกิดเสียงดัง “เต๊ง!” และแสงกระบี่ก็หยุดชะงักลง กระบี่เล็กสีฟ้ากระเด็นออกไปในทันที

ศิษย์สายนอกสองคนเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา หลังจากสบตาทันทีหนึ่งแล้ว ก็พุ่งไปหาอัคคีจิตวิญญาณอย่างว่านอนสอนง่าย

เกิดเสียงดังตูมตามขึ้นมาทันที

ศิษย์สายนอกสองคนกำลังต่อสู้กับอัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้

พอหลิ่วหมิงเห็นว่ากระบี่บินไม่ได้ผล สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมา จากนั้นก็กระตุ้นวงแหวนทองคำอย่างบ้าคลั่ง

จั้งเสวียนเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน

ขณะที่อัคคีจิตวิญญาณยักษ์เจ็บปวดจนสุดที่จะทนได้ มันกลับตะโกนออกมาในฉับพลัน และอ้าปากพ่นเปลวไฟสีแดงเลือดออกมาเป็นสายๆ โจมตีเถาวัลย์สีม่วง

ไม่รู้ว่าเปลวไฟสีแดงเลือดนี้มีที่มาอย่างไรกัน พอเถาวัลย์สีม่วงถูกเผาไหม้ มันก็สลายไปทันที

แม้ว่าวงแหวนทองคำจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานการดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ได้

เปลวไฟสีแดงเข้มลุกโชนขึ้นมาบนตัวอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ แขนทั้งคู่โบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งไม่กี่ที วงแหวนสีทองก็ถูกมันกางออกมา

จากนั้นมือเกรียมดำข้างหนึ่ง ก็เกือบจะคว้าวงแหวนทองคำไว้ได้

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง มือข้างหนึ่งชี้ไปกลางอากาศอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และตะโกนคำว่า “สลาย” ออกมา

“ตู๊ม!”

วงแหวนทองคำระเบิดตัวออกมาก่อน และสลายตัวเป็นจุดแสงสีทองพุ่งกลับไปหาหลิ่วหมิง

อัคคีจิตวิญญาณยักษ์เห็นเช่นนี้ก็อึ้งไปทันที จากนั้นเปลวไฟสีเลือดก็ลุกไหม้ในลูกตาสีขาวทั้งสอง มือทั้งคู่กำหมัดไว้แน่น และแหงนหน้าแผดเสียงแหลมและเศร้ากำสรดออกมา จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปหาหลิ่วหมิงท่ามกลางเสียงดังโครมคราม

แต่ขณะนั้นเอง แสงสีม่วงก็เปล่งประกายในดวงตาของจั้งเสวียน หลังจากเขาทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว ก็มีคลื่นสั่นเหนือศีรษะอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ หัวปีศาจสีม่วงปรากฏออกมาอีกครั้ง และกลายเป็นเถาวัลย์หมอกสีม่วงพันอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ไว้ ทำให้ร่างขนาดมหึมาของมันหยุดชะงักลงทันที

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้ว่าไม่อาจพลาดโอกาสนี้ได้ พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ กระบี่เล็กสีฟ้าก็ปรากฏออกมาจากนั้นก็สะบัดข้อมือ ปล่อยพลังเวททั้งหมดเข้าไปในกระบี่อย่างบ้าคลั่ง

เกิดเสียงดังก้องฟ้า!

เงากระบี่จำนวนมากทอประสานกันไปและพุ่งออกไปทันที พริบตาเดียวก็รวมตัวตัวกลางอากาศจนกลายเป็นเงาเขากระบี่ที่สูงเจ็ดแปดจั้ง จากนั้นก็พุ่งไปทางอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ด้วยอานุภาพอันน่ากลัว

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset