หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจมาก หลังจากแยกทางกับจั้งเสวียนแล้ว ถึงได้กลับมาตรงหลุมใหญ่อีกครั้ง
แมงป่องกระดูกเคลื่อนไหวไปมาอยู่บนไหล่ข้างหนึ่งของเขา
หลิ่วหมิงแสดงวิชาดำดินตามที่แมงป่องกระดูกบอก และมุดลงไปร้อยกว่าจั้งในตำแหน่งที่เคยมีเตาหลอมวางอยู่
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที ครู่เดียวร่างของเขาก็เบาลง และมาอยู่ภายในห้องทรงกลมขนาดจั้งกว่าๆ ที่ดูเหมือนถูกคนขุดออกมา ผนังมันวาวเป็นอย่างมาก
และใจกลางห้องมีกลุ่มแสงสีแดงเข้มขนาดเท่ากำปั้นลอยอยู่ มันเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนกับว่าจะมีอะไรแฝงอยู่ในนั้น
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง และมองไปยังกลุ่มแสง
“นี่……นี่ก็คือ……มัน……” แมงป่องกระดูกบนไหล่ส่งเสียงเด็กสาวที่ฟังดูไม่ชัดเจนออกมา
เขาทำท่ามือในทันที พอปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไป ก็ถูกกลุ่มแสงกีดกั้นไว้ ทำให้ไม่อาจสำรวจดูสิ่งของที่อยู่ด้านในได้ แต่ดูเหมือนว่าพลังที่แฝงอยู่ในกลุ่มแสงค่อนข้างอบอุ่นมาก มันคงไม่ใช่สิ่งของอันตรายแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วและคว้ามือข้างหนึ่งไปในอากาศ ทันใดนั้นกลุ่มแสงก็ถูกดูดเข้ามาในมือ หลังจากเอามือทั้งสองถูกันแล้ว แสงสีแดงก็สลายไปจนหมดสิ้น เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน
“นี่คือ……”
พอเขามองเห็นสิ่งของในนั้นอย่างชัดเจน ก็มีแสงสว่างขึ้นตรงหน้า
ในระหว่างมือทั้งสองของเขา มีเปลวไฟสามสีกลุ่มหนึ่งลอยอยู่ ท่ามกลางเปลวไฟมีโอสถสีเงินอยู่เม็ดหนึ่ง
โอสถค่อยๆ หมุนวนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ การหมุนวนในแต่ละรอบ ทำให้เปลวไฟสามสีหดและกระพริบราวกับหัวใจที่กำลังเต้นอยู่
พอเขามองอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่าพื้นผิวของโอสถสีเงินยังมีลวดลายสีทองบิดเบี้ยวอยู่สามเส้น มันเลื้อยขยุกขยิกไปมาราวกับมีชีวิต
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก แม้จะไม่รู้ว่าโอสถนี่คือสิ่งใด แต่มองดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของธรรมดา ในเมื่อได้มันมาก็ถือว่าโชคดีเป็นอย่างมาก
เขาส่งเสียงชมเชยแมงป่องกระดูกไปสองประโยค จากนั้นก็หยิบกล่องหยกออกมาใบหนึ่ง และเก็บโอสถสีเงินพร้อมกับเปลวไฟสามสีเข้าไปพร้อมกันอย่างระมัดระวัง
โอสถเม็ดนี้สั่นไหวอยู่ในกล่องราวกับมีชีวิต เปลวไฟสามสีบนพื้นผิวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ราวกับว่าจะพุ่งออกมาได้ตลอดเวลา
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ ทันทีที่ปิดฝากล่องออกมา เขาก็หยิบยันต์สีเหลืองมาแปะไว้บนกล่องหยก จากนั้นถึงเก็บเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วนอย่างวางใจ
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ค้นดูบริเวณนั้นอีกรอบ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นแล้ว เขาก็พุ่งขึ้นไปท่ามกลางแสงสีเหลืองที่เปล่งประกาย และพอเงาร่างของเขาเคลื่อนไหว ก็จมหายไปในเมฆอัคคีบริเวณนั้น
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป
ภายในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งที่อยู่ใต้หุบเขา สถานที่แห่งนี้ลึกลงไปมาก รอบด้านเต็มไปด้วยไอหมอกสีแดงจางๆ
ตรงส่วนลึกสุดของถ้ำ มีแม่น้ำหินหนืดสายหนึ่งค่อยๆ ไหลอย่างช้าๆ
พื้นหินสีแดงบริเวณแม่น้ำ มีแสงสีเขียวมรกตเปล่งประกายแวววาว มันคือสถานที่ที่มีพืชจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง
พืชจิตวิญญาณนี้สูงแค่ครึ่งฉื่อ รูปร่างคล้ายกับเห็นหลินจือ แต่ผิวภายนอกกลับเป็นสีเขียวละมุน
สามารถขึ้นในสถานที่แห่งนี้ได้ ย่อมไม่ใช่สิ่งของธรรมดา
“หลินจือทองคำ!” หลิ่วหมิงจำเจ้าสิ่งนี้ได้ในทันที ก่อนออกเดินทาง เขาตั้งใจอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับวัตถุดิบโอสถจากในนิกายยอดบริสุทธิ์ ในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับพืชจิตวิญญาณชนิดนี้ มันเป็นวัตถุดิบปรุงโอสถธาตุไฟระดับสูง ซึ่งมีมูลค่าไม่เบา
หลิ่วหมิงเก็บพืชจิตวิญญาณเหล่านี้ด้วยความดีใจ หลังจากเอาใส่ไว้ในกล่องหยกแล้ว ก็ค้นหาภายในถ้ำอีกรอบ แต่น่าเสียดายที่ไม่ค้นพบพืชจิตวิญญาณอื่นๆ อีก
……
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป
บนหน้าผาภายในหุบเขาแห่งหนึ่งที่มีไอหมอกสีแดงปกคลุมอยู่ พอแสงสีเขียวเปล่งประกาย ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง
ขณะนี้เขากำลังอุ้มหินแร่สีแดงเข้มที่มีขนาดเท่าศีรษะก้อนหนึ่ง มีลวดลายสีม่วงที่ดูคล้ายกับใยแมงมุมอยู่บนพื้นผิว มันเปล่งประกายระยิบระยับ และดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
“หินจื่อหยาง คิดไม่ถึงว่าจะพบเจอก้อนใหญ่ขนาดนี้” หลิ่วหมิงพูดพึมพำเบาๆ ความดีใจบนใบหน้ายากที่จะปิดได้มิด
“หินจื่อหยาง เป็นวัสดุหลอมอาวุธที่พบเจอได้น้อยมาก ในนั้นมีพลังของหยินและหยาง เป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมเตาหลอมระดับสูง
และสาเหตุที่ทำให้เขาดีใจเช่นนี้ ก็เป็นเพราะใน ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ บันทึกไว้ว่า หากจะหลอมชั้นจำกัดที่สามสิบหกของโล่เก้ากะโหลก สิ่งนี้จะเป็นหนึ่งในวัสดุเสริม
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บของสิ่งนี้เข้าไปอย่างระมัดระวังแล้ว เขาก็เคลื่อนไหวออกไปไกลๆ ทันที
……
ภายในถ้ำใต้ดินเร้นลับแห่งหนึ่ง ท่ามกลางหลุมยักษ์สีแดงที่มีหินแร่สีแดงปกคลุมไปทั่ว
หลิ่วหมิงถูกปกคลุมด้วยเกราะป้องกันธาตุน้ำสีฟ้าจางๆ ในมือถือเสียมสีทองอร่าม และขุดอะไรบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ
ผนังภายในหลุมยักษ์ มีแท่งกระบอกกลมๆ นูนออกมา มันมีขนาดราวๆ กำปั้น มีแสงสีเหลืองทองแวววาว มองเห็นลวดลายที่มีลักษณะคล้ายวงปีของต้นไม้อยู่ลางๆ ดูคล้ายกับไม้ผุๆ ท่อนหนึ่ง ปลายด้านหนึ่งโผล่ออกมาด้านนอก อีกด้านหนึ่งฝังอยู่ในผนัง
สิ่งนี้เรียกว่าไม้ตะวันยักษ์ ฟังจากชื่อของมันแล้วดูคล้ายกับไม้จิตวิญญาณชนิดหนึ่ง แต่ความจริงแล้วมันเกิดจากศพของหนอนตะวันยักษ์ชนิดหนึ่ง
หนอนตะวันยักษ์เป็นหนอนจิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในหินหนืด ภายนอกดูคล้ายกับหนอนแมลงวัน หลังจากตายแล้วศพของมันก็ปะปนอยู่ในหินหนืด ผ่านไปหลายร้อยปีถึงค่อยๆ แข็งตัวขึ้นมา และดูดซับปราณของหินหนืดภูเขาเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็กลายเป็นไม้ตะวันยักษ์
ไม้ตะวันยักษ์คือผลผลิตจิตวิญญาณที่ผสมปนเปกับเปลวไฟอันโชติช่วง และเป็นวัสดุจิตวิญญาณที่หาได้ยาก เมื่อก่อตัวขึ้นมาแล้ว มันจะแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หลิ่วหมิงขยับเสียมไปมาราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าว ในที่สุดก็ขุดไม้ตะวันยักษ์ที่มีขนาดเท่าแขนออกมาได้ทั้งหมด
……
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ วัสดุภายในหุบเขา ก็ถูกหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนเก็บไปเกือบหมด
ไม่นานก็มีเสียงดังก้องตรงขอบฟ้า และแสงหลบหลีกสองสามลำก็ปรากฏออกมารำไร
……
หนึ่งเดือนต่อมา ภายในวิหารไร้ชื่อ!
ค่ายกลที่อยู่กลางห้องโถงเปล่งประกายระยิบระยับ มีเงาร่างคนเจ็ดแปดคนปรากฏอยู่ในนั้น ซึ่งก็คือหลิ่วหมิง จั้งเสวียน และศิษย์สายนอกคนอื่นๆ ที่ออกแดนอบอ้าวเป็นกลุ่มสุดท้ายนั่นเอง
“เอาล่ะ! นี่เป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วสินะ! การทดสอบในแดนอบอ้าว สิ้นสุดเพียงเท่านี้เถอะ!” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองหัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้าหยิบกระจกทองแดงออกมาตรวจสอบดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงและจั้งเสวียนเดินออกจากค่ายกลในทันที หลังจากคารวะหัวหน้าสาขาทั้งแปดแล้ว ก็รีบเดินไปยังแท่นสูงที่เจียงจ้งยืนอยู่ และเก็บมืออย่างเรียบร้อย
คนอื่นๆ ก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน
“พี่เจียง ตามที่หอคุมกฎบอก ดูเหมือนว่าศิษย์สองคนในสาขาท่านจะร่วมมือกันสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณตัวนั้น พลังระดับนี้ เกรงว่าการประลองใหญ่ในสองปีให้หลัง คงจะไม่ไร้ชื่ออย่างเงียบๆ หรอกนะ?” ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยกวาดสายตามองดูหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนทีหนึ่ง และหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“สหายชมเกินไปแล้ว สาขาท่านก็มีผู้มากความสามารถไม่น้อย พวกเขาทั้งสองยังเร็วเกินไปที่จะเข้าร่วมการประลองใหญ่ ยังต้องฝึกฝนเล็กน้อย” เจียงจ้งได้ยินก็หาวแล้วกล่าวออกมา
“ด้วยอายุของพวกเขา ต่อให้ครั้งนี้จะเข้าร่วมไม่ได้ แต่สองครั้งถัดไปจะต้องมีโอกาสเป็นอย่างมาก ไม่แน่สาขาของท่านอาจจะมีศิษย์สายในเพิ่มขึ้นมาสองคนก็เป็นไปได้” ชายร่างอ้วนเตี้ยหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
ครั้งนี้เจียงจ้งได้แต่ยิ้มและไม่กล่าวอะไร
“จะว่าไปแล้วการทดสอบในครั้งนี้ หลานเฉินเติงก็แสดงความสามารถได้อย่างโดดเด่น ในช่วงวิกฤตยังสามารถเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ ซึ่งหลักแหลมเหมือนกับพี่เฉินไม่มีผิด” ชายร่างอ้วนเตี้ยเห็นเช่นนี้ ก็หันไปกล่าวกับหัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้า
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแดนอบอ้าว พวกเขาย่อมรู้จากปากศิษย์คนอื่นๆ ที่ออกมาก่อน และพอจะเข้าใจเรื่องราวบ้างแล้ว
ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองได้ยินเช่นนี้ แม้จะเอ่ยปากออกมาอย่างนอบน้อม แต่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! การทดสอบในครั้งนี้เป็นแค่การทดสอบเล็กๆ ของศิษย์ใหม่เท่านั้น จะมองเห็นการประลองใหญ่ในอีกสองปีให้หลังได้อย่างไร ยังต้องดูการประลองของศิษย์เก่าเหล่านั้นก่อน” หญิงงดงามชุดสีแดงกลับทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“พูดเช่นนี้แสดงว่าศิษย์น้องเสามีความมั่นใจในการประลองใหญ่ครั้งหน้ามาก” ชายอ้วนเตี้ยดวงตาเป็นประกาย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! พอถึงเวลาพวกท่านก็จะรู้เอง” หญิงใบหน้างดงามขมวดคิ้ว และกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
หัวหน้าสาขาทั้งแปดพูดคุยเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พาศิษย์กลุ่มสุดท้ายออกไปจากห้องโถง
หนึ่งชั่วยามต่อมา เจียงจ้งก็พาหลิ่วหมิงและบรรดาศิษย์กลับไปยังวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้า
ศิษย์ใหม่ที่เข้าร่วมทดสอบเสร็จต่างก็รออยู่ที่นั่น แต่เทียบกับตอนที่เข้าไปแล้ว ศิษย์เหล่านั้นเหลือเพียงแค่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น ซึ่งเสียชีวิตไปสิบกว่าคน
และเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นก็ยืนอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัย
เจียงจ้งกวาดสายตามองดูบรรดาศิษย์เหล่านี้ และถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“เอาล่ะ! การทดสอบในครั้งนี้ได้มีภัยพิบัติเกิดขึ้นไม่น้อย พวกเจ้าเองก็ลำบากกันแล้ว แต่ตามกฎในครั้งนี้ ทุกคนจะต้องมอบแก่นบริสุทธิ์ของอัคคีจิตวิญญาณออกมาสามเม็ด ถึงจะผ่านการทดสอบ นอกจากนี้ เนื่องจากความยากของการทดสอบที่เพิ่มขึ้น ทุกคนจะได้แต้มคุณูปการหนึ่งพันแต้มเป็นรางวัลต่างหาก”
ศิษย์ที่โชคดีรอดชีวิตจากการเปลี่ยนแปลงของแดนอบอ้าวในครั้งนี้ได้ ย่อมไม่ใช่ผู้อ่อนแอแต่อย่างใด แค่แก่นบริสุทธิ์ของอัคคีจิตวิญญาณสามเม็ด พวกเขาย่อมล่ามาได้ หลังจากได้ยินว่ายังมีแต้มคุณูปการมอบให้อีกต่างหาก พวกเขาย่อมรู้สึกดีใจมาก
พวกเขาทยอยกันนำแก่นบริสุทธิ์ของอัคคีจิตวิญญาณไปให้เจียงจ้งสามเม็ด และฟังคำพูดให้กำลังใจของเขา จากนั้นก็แยกย้ายกันออกไปจากวิหาร
หลังจากหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนมอบแก่นบริสุทธิ์เสร็จแล้ว ก็กำลังจะหมุนตัวกลับไป แต่กลับถูกเรียกตัวไว้โดยไม่คาดคิด
……
ห้องโถงข้างวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้า เจียงจ้งนั่งอยู่บนเก้าอี้หลักอย่างไม่ใส่ใจ ส่วนหลิ่วหมิงทั้งสองก็ยืนอยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม
“ข้าได้ยินทางด้านหอคุมกฎพูดกันว่า พวกเจ้าทั้งสองแสดงความสามารถในแดนอบอ้าวได้โดดเด่นมาก สามารถร่วมมือกันสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณได้ ทำให้สาขาห่านฟ้าเรามีหน้ามีตาไม่น้อย” เจียงจ้งยกชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านหัวหน้าชมเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์สมควรทำ” จั้งเสวียนกล่าวอย่างนอบน้อม
“คนหอคุมกฎพูดกันว่า ราชาอัคคีจิตวิญญาณตัวนั้นดูเหมือนจะทะลวงเข้าสู่ระดับผลึกในตอนท้าย พวกเจ้าทั้งสองกลับร่วมมือกันสังหารมันได้ ดูท่าคงจะมีความสามารถอยู่บ้าง พวกเจ้าเล่าเรื่องในระหว่างสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณให้ข้าฟังอย่างละเอียดอีกรอบเถอะ!” เจียงจ้งพูดด้วยความสนใจ
…………………………………