ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 514 ถ้ำจันทรา

หลิ่วหมิงเข้ามาในนิกายยอดบริสุทธิ์ และกลายเป็นศิษย์สายนอกมาได้หนึ่งปีกว่าแล้ว แต้มคุณูปการที่แจกให้ในแต่ละเดือน เขายังไม่เคยรับเลย นับๆ ดูแล้วคงมีหนึ่งพันกว่าแต้มได้

หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงก็เดินออกจากหอนานัปการด้วยสีหน้าสงบ ป้ายบนเอวมีแต้มคุณูปการเพิ่มขึ้นมาหนึ่งพันห้าร้อยแต้ม ทำให้ตอนนี้เขามีแต้มคุณูปการทั้งหมดสี่พันกว่าแต้มแล้ว

“คงจะเพียงพอแล้ว”

หลิ่วหมิงพูดพึมพำสองสามประโยค จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อหยิบแผนที่เขาหมื่นวิญญาณออกมา หลังจากใช้จิตรับรู้กวาดดูแล้วก็เก็บมันเข้าไป และทำท่ามือด้วยมือเดียวขี่เมฆทะยานไปทางถ้ำจันทรา

ก่อนไปหลิ่วหมิงย่อมสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ถ้ำจันทรา’ ไปหนึ่งรอบแล้ว

ถ้ำจันทราที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นถ้ำที่นิกายใช้รวบรวมปราณหยินใต้พิภพโดยเฉพาะ ภายในถ้ำถูกแบ่งเป็นถ้ำหยินเล็กๆ เพื่อให้ผู้ฝึกฝนพลังธาตุหยินในนิกายใช้

เนื่องจากถ้ำจันทรารองรับคนได้จำกัด ในบรรดาศิษย์ทั้งหมด นอกจากศิษย์สายตรงที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแล้ว ศิษย์สายในก็จ่ายแต้มคุณูปการเพียงเล็กน้อย ศิษย์สายนอกจ่ายมากขึ้นอีกหน่อย ส่วนศิษย์ธรรมดาต้องจ่ายแต้มคุณูปการจำนวนมาก และต้องรอจนมีถ้ำว่างจำนวนมากถึงจะเข้าไปได้

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความหนาแน่นของปราณหยินในถ้ำก็มีความแตกต่างกัน มีถ้ำสองสามแห่งที่มีปราณหยินหนาแน่น ซึ่งหนาแน่นกว่าสถานที่อื่นหนึ่งเท่าขึ้นไป และปราณหยินของสถานที่เหล่านี้ มักจะมีสรรพคุณพิเศษบางอย่าง ที่มีผลดีต่อบางด้านของต่อผู้ฝึกฝน

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่หลิ่วหมิงสามารถคิดได้ในตอนนี้ เพราะโดยทั่วไปสถานเหล่านี้ล้วนให้ศิษย์สายในใช้ฝึกฝน

แต่หากเขาอาศัยสถานที่แห่งนี้ทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายล่ะก็ ย่อมได้ผลเป็นอย่างมาก

ครึ่งวันผ่านไป หน้าหุบเขาเร้นลับแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างยอดเขาสีเขียวสองลูก

หลิ่วหมิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าหุบเขา ชุดคลุมสีเขียวปลิวสะบัดตามแรงลม เขาหรี่ตาทั้งคู่ลงและสังเกตดูด้านหน้า

จะเห็นว่ามีประตูหินสีเทาสูงสองสามจั้ง ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ราบกว้างตรงหน้า หน้าประตูถ้ำมีหินยักษ์สีเทาก้อนหนึ่งที่มีอักขระสีเงินสลักอยู่บนนั้น ‘ถ้ำจันทรา’

หลิ่งหมิงค่อยๆ เดินไปหน้าประตู และนำป้ายบนเอวโบกไปทางประตู พอแสงสีเขียวจมหายไปในประตู ก็เกิดเสียงดังโครมคราม และประตูยักษ์ก็ค่อยๆ เปิดออกมา

เขาเดินเข้าประตูถ้ำด้วยสีหน้าสงบ สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือห้องโถงเล็กๆ ที่มีพื้นที่แค่ยี่สิบถึงสามสิบจั้ง บนเพดานมีหินแสงจันทราขนาดเท่ากำปั้นที่เปล่งแสงทรงกลดสีขาวอยู่ มันส่องแสงจนห้องโถงเล็กๆ สว่างขึ้นมา และนอกจากจะมีโต๊ะเก้าอี้หินสองสามตัวแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นๆ อยู่อีก เห็นได้ชัดว่ามันว่างเปล่ามันเป็นอย่างมาก

ด้านหลังของห้องโถง มีระเบียงทางเดินแคบๆ ที่กว้างครึ่งจั้งอยู่สายหนึ่ง หลิ่วหมิงยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็เดินตรงไประเบียงทางเดินทันที

ระเบียงยาวแค่สิบกว่าจั้ง ปลายสุดของทางเดิน เชื่อมต่อกับห้องหินขนาดสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง

ใจกลางห้องหินเป็นค่ายกลสีฟ้าที่มีขนาดจั้งกว่าๆ รอบด้านค่ายกลมีผลึกหินธาตุหยินสีฟ้าจางๆ เลี่ยมฝังอยู่หลายก้อน มันคงเป็นค่ายกลส่งตัว

ตรงหน้าค่ายกล มีผู้อาวุโสชุดเหลืองกำลังนั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมๆ

“ผู้อาวุโส” หลิ่วหมิงไม่รับรู้ถึงระดับการฝึกฝนของผู้อาวุโสเลยแม้แต่น้อย เขาประสานมือคารวะ และกล่าวด้วยใจที่เย็นสะท้าน

“เจ้าเป็นศิษย์สาขาใด คงรู้กฎแล้วใช่ไหม?” ผู้อาวุโสไม่ลืมตาขึ้นมา เพียงแค่เอ่ยปากออกมาอย่างราบเรียบเท่านั้น

“เรียนผู้อาวุโส ข้าน้อยเป็นศิษย์สาขาห่านฟ้า แต้มคุณูปการได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างนอบน้อม

“ดีมาก! ศิษย์สายนอกที่จะเข้าไปฝึกฝนในถ้ำจันทรา ต้องชำระแต้มคุณูปการวันละหนึ่งร้อยแต้ม เจ้าจะอยู่นานเท่าใด?” ผู้อาวุโสค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่แล้วถามออกมา

“ข้าน้อยต้องการอยู่สี่สิบวัน” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ จากนั้นก็ยื่นป้ายไปให้ผู้อาวุโส

เวลานานเช่นนี้ เพียงพอที่เขาจะทำระดับการฝึกฝนให้มั่นคงในถ้ำจันทราได้ อีกอย่างปราณหยินในถ้ำก็เพียงพอ ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกฝนชั้นยอดสำหรับแมงป่องกระดูกด้วยเช่นกัน

ผู้อาวุโสได้ยิน ก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พู่กันหยกด้ามหนึ่งแตะลงบนป้ายเบาๆ พอแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา แต้มคุณูปการบนป้ายก็เหลือแต่หนึ่งร้อยกว่าแต้มเท่านั้น

ผู้อาวุโสเก็บพู่กันหยกเข้าไป และโยนป้ายคืนให้หลิ่วหมิงเบาๆ

“เอาล่ะ! เจ้าเข้าไปได้แล้ว พอถึงเวลาที่กำหนด เจ้าจะถูกส่งตัวกลับมาที่นี่เอง”

หลิ่วหมิงรับแผ่นป้ายไปไว้บนเอว หลังจากโค้งตัวคารวะแล้ว ก็เดินเข้าไปใจกลางค่ายกล

พอผู้อาวุโสคิ้วเหลืองพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ป้ายสีดำวาวก็ปรากฏออกมา มืออีกข้างก็ปล่อยพลังใส่ค่ายกลตรงกลางห้องหิน จากนั้นก็ร่ายคาถาออกมาเบาๆ

หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่าพื้นดินค่อยๆ สั่นไหว ค่ายกลส่งเสียงดังหวึ่งๆ ทั้งยังมีแสงสีฟ้าจางๆ เปล่งประกายรอบด้าน และกระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ผู้อาวุโสหลับตาลงอีกครั้ง

……

หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามีแสงสีฟ้าเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ตรงหน้า พอหลับตาแล้วลืมขึ้นมาอีกครั้ง ก็ค้นพบว่าตนเองมาอยู่ภายในถ้ำหินที่มีขนาดครึ่งหมู่

ไอเย็นเสียดกระดูกม้วนตัวเข้ามาจากรอบด้าน รู้สึกว่าพลังฟ้าดินบนอากาศบริเวณนี้เบาบางเป็นอย่างมาก ทั้งยังเต็มไปด้วยพลังความเย็นอันหนาแน่น

ปราณหยินในนี้หนาแน่นกว่าถ้ำหยินของนิกายปีศาจหลายเท่า สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก

นิกายยอดบริสุทธิ์สมกับเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ เพียงแค่ถ้ำที่มีปราณหยินโดยทั่วไปของนิกาย ก็ยากที่นิกายทั่วไปจะเทียบได้

หลิ่วหมิงสังเกตดูทุกอย่างภายในถ้ำอย่างไม่รีบร้อน

ในนี้นอกจากจะมีหินราบเรียบขนาดใหญ่ตรงมุมที่มีเบาะกลมๆ สีขาววางอยู่อันหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอีกเลย

มุมหนึ่งของเพดานถ้ำกลับมีลวดลายจิตวิญญาณสีดำปกคลุมอยู่จำนวนมาก และเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด บนลวดลายมีไอหมอกสีเทาลอยวนอยู่ ดูเหมือนจะเป็นชั้นจำกัดบางอย่าง

และผนังรอบด้านก็มีลวดลายจิตวิญญาณสีดำง่ายๆ อยู่จำนวนหนึ่ง คิดว่าคงเป็นชั้นจำกัดป้องกันทั่วไป

พอหลิ่วหมิงตบลงบนเอว ไอดำก็ม้วนตัวออกจากถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ และกลายเป็นแมงป่องเงินขนาดเล็กที่ยาวไม่กี่ชุ่น

“นายท่าน……” พอแมงป่องน้อยสีเงินปรากฏตัวออกมา มันก็โบกก้ามยักษ์ทั้งสองด้วยความดีใจ

ที่นี่ปราณหยินหนาแน่นมาก คงเป็นสถานที่ที่เจ้าชอบ ไปฝึกฝนที่มุมนั้นเถอะ หากข้าไม่ได้สั่ง ก็อย่ามารบกวนข้า” หลิ่วหมิงชี้ไปยังมุมหนึ่งของถ้ำ และสั่งออกมา

“ทราบ…นายท่าน…” แมงป่องกระดูกพร่ามัวไปอยู่อีกมุมของถ้ำ หลังจากโบกหางให้หลิ่วหมิงแล้ว ก็อ้าปากดูดซับปราณหยิน

หลิ่วหมิงก้าวไปยังมุมถ้ำ และนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะ พอเขาหลับตาลงก็นึกถึงภาพตั้งแต่ตอนที่ต่อสู้กับราชาปีศาจสมุทรจนเข้ามาในนิกายยอดบริสุทธิ์

ตอนนี้มีเวลาหนึ่งเดือนกว่าในการทะลวงคอขวด เขาไม่อยากให้จิตใจที่ไม่สงบส่งผลกระทบต่อตัวเขา

หนึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ตอนนี้ในใจเขาไม่มีความคิดฟุ้งซ่านแล้ว พลังเวทก็อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด

“ได้เวลาแล้ว”

หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็หยิบโอสถสีดำกับสีฟ้าออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน และยังนำยันต์ทะลวงเส้นลมปราณออกมาวางไว้ด้านข้าง

เขาใช้นิ้วคีบ ‘โอสถผลึกดำ’ ขึ้นมา หลังจากตรวจสอบดูแล้ว ก็กลืนมันลงไป

พอโอสถนี้เข้าไปในปาก มันก็ลื่นเป็นพิเศษ และกลายเป็นปราณโลหิตสีดำไหลลงลำคอ ครู่ต่อมาก็มีไอเย็นสบายพุ่งขึ้นจากจุดตันเถียน และไหลวนไปตามเส้นลมปรานทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าเส้นลมปราณทั่วร่างทะลุปรุโปร่งไปหมด และรู้สึกสบายตัวมาก

หลังจากเขาปรับลมหายใจเล็กน้อยแล้ว ก็คีบ ‘โอสถวารีสีฟ้า’ ขึ้นมา พอกวาดสายตาดูเล็กน้อยแล้ว ก็กลืนมันลงไป

ไม่นาน ไอเย็นยะเยือกก็แผ่กระจายเต็มปาก จากนั้นมันก็กลายเป็นไอเย็นสะท้านสีฟ้าพวยพุ่งอยู่ในเส้นลมปราณของเขา

มือทั้งสองของหลิ่วหมิงทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ไอเย็นสะท้านสีฟ้ากับปราณโลหิตสีดำปะทะกันอยู่ในเส้นลมปราณอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ผสมผสานกันเป็นไอสีดำฟ้าไหลไปตามเส้นลมปราณอย่างรวดเร็ว

เขาใช้จิตกวาดดูภายในร่าง ของเหลวสีเงินจางๆ ในทะเลจิตวิญญาณหนาแน่นกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย ของเหลวเหล่านี้ดูดซับไอเย็นสะท้านที่พุ่งเข้ามาจากจุดต่างๆ อยู่ไม่หยุด มันพวยพุ่งอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ และปล่อยคลื่นพลังเวทอันน่าตกใจออกมา

หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และหลับตากลั่นพลังของโอสถอย่างเงียบๆ

ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาสองวัน ในระหว่างเวลานี้หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูสถานการณ์ในทะเลจิตวิญญาณอยู่ตลอดเวลา และรอคอยอย่างเงียบๆ ให้คลื่นพลังเวทอยู่ในระดับที่สูงสุด และไอสีฟ้าดำที่ถักทอเข้าด้วยกันนั้น ก็ยังไหลไปตามเส้นลมปราณอย่างรวดเร็ว

วันนี้ หลิ่วหมิงรู้สึกว่าพลังเวทในร่างได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว คลื่นพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณก็ไม่อาจสูงไปได้มากกว่านี้แล้ว ทันใดนั้น เขาก็หยิบยันต์ทะลวงเส้นลมปราณขึ้นมาขยี้ และแปะไว้ที่หน้าอก

ทันใดนั้น แสงสีเขียวก็เปล่งประกาย และม้วนตัวออกมาปกคลุมร่างของเขาไว้ และซึมเข้าไปในร่างอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงรู้สึกถึงปราณจิตวิญญาณอันดุเดือดที่แทรกซึมเข้าไปในเส้นลมปราณทั่วร่าง จากนั้นความรู้สึกชาก็โจมตีเข้ามา เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ! ภายในร่าง เส้นลมปราณทั่วร่างถูกกระตุ้นจนขยายใหญ่ขึ้นมา

ขณะที่รับรู้ถึงพลังเวทอันเต็มเปี่ยมพุ่งชนอยู่ในร่าง ดวงตาของเขาก็เผยแววประหลาดใจออกมา

ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก

ขณะที่ปราณจิตวิญญาณอันดุเดือดทะลวงอยู่ภายในร่างไม่หยุดนั้น ของเหลวสีเงินที่ปล่อยพลังเวทจนถึงจุดสูงสุด ก็เริ่มพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง พลังเวทบริสุทธิ์ทะลักออกจากทะเลจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง และละลายเข้าไปในเส้นลมปราณ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา เขาตะโกนออกมาทันที มือทั้งสองประกบกัน และแยกออกไปทางด้านล่าง บนตัวมีเสียงดังเปรี๊ยะๆ! และร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นมาฉื่อกว่าๆ ขณะเดียวกัน ไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว พริบตาเดียวก็กลายเป็นหมอกดำอันพวยพุ่งปกคลุมเขาไว้

ต่อมา เขาก็เริ่มร่ายเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬออกมา และค่อยๆ หลับตาทั้งคู่ลงอีกครั้ง

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset