“ศิษย์น้องเกาชงคิดว่าตำแหน่งของตนเองสูงกว่าข้างั้นหรือ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็หันตัวกลับมากล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม
“หรือว่าข้าพูดผิดไป ข้าเป็นศิษย์ติดตามของท่านประมุข เจ้าเป็นแค่ศิษย์สาขาทั่วไป ไม่ว่ายังไงตำแหน่งข้าในนิกายก็สูงกว่าศิษย์น้องไป๋ถูกต้องไหม?” เกาชงถามด้วยสีหน้าสงบ
“เช่นนั้นหรือ? ข้าไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เท่าไหร่ แต่เคยได้ยินคนพูดกันว่าในระหว่างการประลองใหญ่ ศิษย์ที่เข้าการประลองทุกคนล้วนมีตำแหน่งเสมอกัน ไม่สามารถแบ่งชนชั้นได้ คงเป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์น้องเกาจะไม่รู้เรื่องนี้หรอกนะ” หลิ่วหมิงถอนหายใจราวกับว่ากำลังรู้สึกผิดหวัง
“ฮึ! คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องไป๋จะฝีปากดีเช่นนี้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าขี้เกียจเอามันมากวนใจ ข้ามาหาเจ้าด้วยตนเองก็เพราะว่าอยากจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากตอนนี้เจ้ายอมเขียนหนังสือถอนหมั้น เรื่องราวก่อนหน้านี้ทั้งหมดข้าจะทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าจะยังคงอยู่ในนิกายปีศาจได้อย่างอิสระ มิเช่นนั้นล่ะก็พอเจ้าขึ้นลานประลองก็อย่าหวังว่าจะเดินลงไปเองได้” เกาชงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“หนังสือถอนหมั้น แน่นอนว่าข้าสามารถเขียนได้ ขอแค่ศิษย์น้องหมิงจูให้ตระกูลมู่เป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ข้าก็จะไม่โต้แย้งใดๆ” หลิ่วหมิงหัวเราะแล้วตอบกลับไป
“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้บิดาข้าเป็นคนพูดเรื่องถอนหมั้นก่อน!” มู่หมิงจูกัดฟันกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็จนปัญญา ถึงแม้ข้าไม่ได้สนใจที่จะแต่งกับเจ้า แต่ในฐานะลูกหลานตระกูลไป๋ก็ไม่อาจขัดคำสั่งของนายท่านประจำตระกูลได้” หลิ่วหมิงส่ายศีรษะกล่าวออกมา
“เจ้า…” มู่หมิงจูรู้สึกโมโหและกำลังคิดที่จะพูดอะไรออกมา แต่เกาชงก็โบกมือห้ามคำพูดของนางไว้ เขาแค่จ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ดูเหมือนเจ้าจะโง่กว่าที่ข้าคิดไว้มาก ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าเองก็จะไม่พูดอะไรมาก ข้าจะเตือนด้วยความหวังดี อย่าคิดว่าทำให้ซือหม่าเทียนกลัวได้แล้วมาเบ่งกับข้าได้ หมิงจู ไปกันเถอะ! อีกประเดี๋ยวข้าสร้างความยุ่งยากให้เขา จนเขาต้องยอมเอ่ยปากคำว่า ‘ถอนหมั้น’ ออกมาเอง”
พอพูดจบเกาชงก็ลากมู่หมิงจู และพาคนคนอื่นๆ หมุนตัวเดินจากไป
หลิ่วหมิงแค่ยืนเงียบๆ จ้องมองดูแผ่นหลังของพวกเขาอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดอะไร และแววตาของเขาก็เปล่งประกายอันเยือกเย็นออกมา
สำหรับผู้ที่ผ่านการต่อสู้เฉียดความตายมานับไม่ถ้วนอย่างเขา ถึงแม้เกาชงจะดูแข็งแกร่งกว่าหลายปีก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่ในเมื่อยังไม่ได้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ทำไมเขาจะต้องกลัวด้วยเล่า
ตอนนั้นที่หลิ่วหมิงอยู่บนเกาะมฤตยู เขาฆ่าคนสารเลวไปจำนวนมากตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังเอาชีวิตรอดจากการตะลุมฆ่าฟันมาได้หลายครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ ตอนนี้เขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากกว่าที่คนธรรมดาจะคาดคิดได้
ถ้าหากว่าเกาชงลงมือกับเขาในการประลองใหญ่ครั้งนี้จริงๆ เขาจะต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามตื่นตระหนกตกใจอย่างแน่นอน และในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเผยความคิดที่จะฆ่าเขาออกมา เขาก็จะไม่ออมมือให้อย่างแน่นอน
ถ้าหากการประลองรุนแรงจนเขาพลั้งมือฆ่าคู่ต่อสู้หรือทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บ มันก็ใช่ว่าจะอภัยให้ไม่ได้
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ จากนั้นก็หันหน้าไปดูการประลองอันดุเดือดบนลานประลองอีกครั้ง
บนลานหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศ กุยหรูฉวนมองเห็นฉากที่เกาชงพาคนไปหาเรื่องหลิ่วหมิง เขาลังเลเล็กน้อยแล้วก็หันมากล่าวกับประมุขนิกายปีศาจ
“ศิษย์พี่ท่านประมุข ดูเหมือนว่าเกาชงกับศิษย์สาขาข้าจะมีเรื่องขัดแย้งกัน ผู้อาวุโสอย่างเราต้องไปช่วยขจัดความขัดแย้งนี้สักหน่อยไหม?
“อ้อ! ดูเหมือนว่าศิษย์ผู้นั้นจะไม่ใช่เซียวเฟิงใช่ไหม พวกเขาต่างก็เป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ร้อน ถ้าหากมีเรื่องขัดแย้งกันบ้างย่อมเป็นเรื่องปกติ ให้พวกเขาจัดการกันเองก็พอแล้ว ผู้อาวุโสอย่างพวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งจะดีกว่า!” ประมุขนิกายปีศาจมองไกลๆ ไปยังที่ที่หลิ่วหมิงยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
ประจักษ์ชัดว่าเขาไม่เห็นฉากความขัดแย้งของเกาชงกับหลิ่วหมิงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“ในเมื่อท่านประมุขกล่าวเช่นนี้ก็ยึดตามนี้เถอะ แต่เจ้าเด็กชงเทียนผู้นี้ยังนับว่ามีศักยภาพอยู่บ้าง ที่ศิษย์น้องจูชื่อได้เหล็กแสงเย็นทะเลลึกมาจากตลาดเผ่าเจ้าสมุทรได้ ล้วนมาจากความสามารถของเขา” กุยหรูฉวนขมวดคิ้วกล่าวออกมา
เรื่องนี้ทำให้ประมุขนิกายปีศาจรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นได้ในทันที
“ชงเทียน? อ๋อ! ทีแท้ก็เด็กคนนี้นี่เอง ข้าก็คิดอยู่ว่าทำไมชงเอ๋อร์ถึงได้ไปขัดแย้งกับเขาได้ อืม! ข้าจำได้แล้ว ศิษย์ผู้นี้ถึงแม้จะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ แต่พลังจิตแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขานับว่าเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง เอาอย่างนี้เถอะ! อีกสักครู่ข้าจะกำชับศิษย์น้องหวังไว้ ถ้าหากว่าพวกเขาทั้งสองได้เจอกันในการประลองใหญ่จริงๆ ก็ให้เพิ่มความสนใจดูอย่างละเอียดอีกสักหน่อย และพยายามอย่าให้มีเรื่องการทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บเกิดขึ้น”
“ขอบคุณศิษย์พี่ท่านประมุข แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” กุยหรูฉวนกล่าวขอบคุณอย่างโล่งอก
สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว ในใจของกุยหรูฉวนนั้นกลับรู้สึกเสียใจมาโดยตลอด
ด้วยความสามารถที่หลิ่วหมิงแสดงออกมาหลายครั้งในก่อนหน้านี้ มันเพียงพอที่จะให้เขาเป็นศิษย์ติดตามได้แล้ว แม้กระทั่งถ้าหากเขาย้ายไปสาขาอื่นคงจะถูกอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นรับเป็นศิษย์ติดตามแล้ว
แต่เสียดายที่ทรัพยากรของเขาเก้าทารกค่อนข้างจะขาดแคลนไปหน่อย! สำหรับศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณที่แทบจะไม่มีความหวังกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้นั้น พวกเขาไม่มีทรัพยากรเหลือพอที่จะแบ่งไปให้ ดังนั้นจึงไม่สามารถรับเป็นศิษย์ติดตามได้
“เฮ้อ! คำพูดเมื่อครู่นี้นับว่าได้ช่วยตอบแทนเจ้าเด็กคนนี้ไปแล้ว!” กุยหรูฉวนคิดใคร่ครวญแล้วแอบถอนหายใจ
ในเมื่อข่าวมงคลระหว่างตระกูลไป๋กับตระกูลมู่พัวพันกับศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาอย่างเกาชง มันก็ย่อมมีข่าวแพร่งพรายมาถึงหูกุยหรูฉวนบ้าง
ชื่อเสียงและตำแหน่งในนิกายปีศาจของเกาชงและหลิ่วหมิงนั้น ย่อมไม่อาจเทียบกันได้
อีกอย่างเรื่องนี้ยังพัวพันถึงเรื่องเตาหลอมพลังที่เกาชงจำเป็นต้องใช้ในการทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ เขาเลยพูดอะไรมากไม่ได้
เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว การประลองบนลานประลองอื่นๆ ยังคงดุเดือดเช่นเดิม ศิษย์แต่ละคนต่างก็ทยอยขึ้นไปท้าสู้บนลานประลองไม่หยุด
ผู้ที่ถูกท้าสู้สิบคนบนเวที ก็เปลี่ยนหน้าถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าดูเหมือนว่าตำแหน่งของศิษย์แกนนำเกือบครึ่งหนึ่งก็ถูกแทนที่ด้วยศิษย์คนใหม่ๆ
แน่นอนเป็นเพราะว่าศิษย์ทุกคนต่างก็ใช้สิทธิ์การท้าสู้สามครั้ง และเมื่อศิษย์แกนนำพ่ายแพ้แล้วก็ยังสามารถท้าสู้ได้อีกครั้ง
บนลานประลองแรก หลังจากผู้ท้าสู้อีกแปดเก้าคนพ่ายแพ้ติดต่อกัน พลันมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ประกายสายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งแลบออกมา ชายหนุ่มรูปหล่อสวมชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนลานประลอง
เขาคือเหลยเจิ้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูบริเวณตำแหน่งที่เหลยเจิ้นเพิ่งกระโดดออกไป
ดรุณีน้อยรูปร่างอรชรที่นามว่าโอวหยางเฟยยืนอยู่ที่นั่น นางจ้องมองเหลยเจิ้นบนลานประลองด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ตอนนี้สายฟ้าขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือแต่ละเส้นพันวนรอบตัวเด็กหนุ่มอยู่ด้วยเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ! และเปล่งประกายแสงจ้าออกมา
นั่นคือ “วิชาอาภรณ์อัสนี’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
ถึงแม้วิชานี้จะลือชื่อมาก แต่น่าเสียดายที่มีแค่ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณอัสนีเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ และพลังของมันก็น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
“ข้าขอท้าสู้กับศิษย์พี่เย่ที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับสิบ!” เหลยเจิ้นมองดูชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะ แล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
ชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมา
ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ฝึกร่างที่มีน้อยมากในนิกาย แต่กับวิชาโจมตีทำลายอันแข็งแกร่งที่สังกัดธาตุอัสนีนี้ เขากลับหวาดกลัวมันมาโดยตลอด
อีกอย่างฝ่ายตรงข้ามยังเป็นผู้ที่มีเก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีด้วย สิ่งนี้เป็นคุณสมบัติขั้นสุดยอดในนิกายปีศาจที่เป็นรองแค่ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาเท่านั้น
แต่เมื่อเผชิญกับการท้าสู้ของศิษย์ใหม่อย่างเหลยเจิ้นผู้นี้ เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้
อีกอย่างนอกจากศิษย์แกนนำห้าอันดับแรกแล้ว ศิษย์แกนห้าอันดับหลังที่อยู่บนลานประลองก็ถูกท้าสู้กันไปแล้วหนึ่งรอบ
“ดี! งั้นก็ข้าขอลองดูเก้าชีพจรจิตวิญญาณที่ร่ำลือกันสักหน่อยว่าจะร้ายกาจสักแค่ไหน!” ชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะกล่าวและเดินออกมาจากใต้ธงที่เขาอยู่
จากนั้นทั้งสองก็ลงนามความเป็นความตายกันต่อหน้าอาจารย์จิตวิญญาณ แล้วม่านแสงคุ้มกันก็เปล่งประกายออกมาอีกครั้ง
“ฟังให้ดีนะ ข้าโจมตีแค่สามครั้งก็ชนะเจ้าได้แล้ว” สายฟ้าบนตัวเหลยเจิ้นเปล่งประกายแสงแสบตามากขึ้นกว่าเดิม เขาจ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยท่าทีหยิ่งยโส
“โจมตีสามครั้ง? ดี! ข้าเองก็ไม่รู้ว่าได้ยินคำพูดโอ้อวดของเด็กหนุ่มมามากเท่าไหร่แล้ว ข้าจะดูว่าเจ้าเอาชนะข้าด้วยการโจมตีสามครั้งได้อย่างไร?” ถึงแม้ชายสวมห่วงรัดสีศีรษะจะหวาดกลัวเหลยเจิ้น แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
“ศิษย์พี่เหลย หลานของเจ้าคนนี้มีมาดในการพูดจาไม่เบา! ใช้การโจมตีแค่สามครั้งก็สามารถทำให้ผู้ฝึกร่างที่แข็งแกร่งพ่ายแพ้ได้ ในบรรดาศิษย์ทั้งหมดเกรงว่าคงมีแค่หยางเฉียนเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้”
หญิงแซ่หลินแห่งสาขาระบำปีศาจที่อยู่บนลานหยกเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้
“ถ้าหากเป็นคู่ต่อสู้คนอื่นล่ะก็ เจิ้นเอ๋อร์อาจจะพูดเลยขอบเขตไปหน่อย แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกร่าง มันก็มีส่วนที่เป็นไปได้” อาจารย์อาเหลยลูบคางไปมา และกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูแปลกประหลาด
“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่เหลยจะเชื่อมั่นได้ถึงเพียงนี้! ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องคงต้องดูอย่างละเอียดแล้ว” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
พอประมุขนิกายปีศาจและอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกสึกสนใจขึ้นมาเช่นกัน พวกเขาต่างก็เขม้นตามองออกไป
บนลานประลองแรก ชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะแผดเสียงคำรามออกมา จากนั้นร่างของเขาก็ขยายขนาดจนกลายเป็นร่างยักษ์สูงสองจั้งอีกครั้ง หลังจากที่เท้าทั้งสองก็กระทืบลงพื้น พายุโหมกระหน่ำก็พุ่งตรงไปหาเหลยเจิ้น
และเหลยเจิ้นกลับยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน แต่ปากของเขาก็ร่ายคาถาอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกันนิ้วทั้งสิบก็เคลื่อนไหวราวกับล้อรถ ท่ามกลางเสียงสายฟ้าแลบที่ดังขึ้นร่างของเขาก็บิดเบี้ยวขึ้นมา
ตอนนี้พายุโหมกระหน่ำพุ่งมาห่างจากตรงหน้าเขาไม่ไกลแล้ว มือข้างหนึ่งพลันชี้ผ่านอากาศไปยังชายร่างยักษ์
เสียงดัง “เปรี้ยงๆ!”
สายฟ้าเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ หลังจากที่มันเปล่งประกายก็โจมตีไปยังร่างยักษ์ที่อยู่ด้านล่าง และกลายเป็นสายฟ้าเล็กๆ กระเด็นออกไปทั่วทิศ
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
ปรากฏชั้นอักขระสีเขียวขึ้นบนร่างเขา ไม่คาดคิดว่าเขาจะทนต่ออานุภาพการโจมตีของสายฟ้าจนเกิดอาการชาได้ ต่อมาเขาก็ออกมาจากสายฟ้าที่ปกคลุมได้ แต่ระดับความเร็วกลับลดลงไปกว่าครึ่งหนึ่ง
“โจมตีครั้งที่สอง”
เหลยเจิ้นเห็นเช่นนี้กลับตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเล มืออีกข้างก็ชี้ออกไป
สายฟ้าเส้นที่สองบนอากาศก็ผ่าลงมาภายในพริบตา
……………………………………….