หนึ่งปีผ่านไป
บนเนินเขาสีดำราวกับหมึกลูกหนึ่ง
หลิ่วหมิงจ้องมองปีศาจหลานสี่ที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งแขนของเขาได้ขาดไปข้างหนึ่ง และมีโลหิตไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา
และตัวหลิ่วหมิงเองก็มีใบหน้าซีดขาว ดูเหมือนจะสูญเสียพลังเวทไปมาก มีรูเลือดขนาดเท่ากำปั้นอยู่บริเวณหน้าท้อง แต่กลับมีจุดแสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว และไม่มีโลหิตไหลออกมาสักหยด
สองสามอึดใจในก่อนหน้านั้น หลิ่วหมิวใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อให้หลานสี่ที่ตามมาทำการโจมตี
ขณะที่มือข้างหนึ่งของปีศาจหลานสี่เสียบไปที่ท้องของเขานั้น เขากลับใช้พลังป้องกันของเกล็ดสีแดงกับเคล็ดวิชาหดกระดูก พยายามบิดตัวจนพ้นจุดสำคัญไปได้ และใช้กระบี่จิตวิญญาณฟันออกไปในพริบตา
ระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ บวกกับใช้กายเนื้ออันแข็งแกร่งดึงดูดแขนของฝ่ายตรงข้ามไว้ ต่อให้หลานสี่จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงกระบี่นี้ได้ สุดท้ายแขนข้างหนึ่งก็ของเขาก็ถูกฟันจนขาด
แต่หากหลิ่วหมิงไม่รีบพุ่งถอยออกไป และนำยันต์ที่เตรียมไว้มาแปะรูเลือดบนท้องล่ะก็ เกรงว่าคงยืนหยัดไม่ไหวตั้งแต่แรกแล้ว
วิธีการโจมตีด้วยหลังชนฝาในขณะที่ไร้ทางหนีนี้ เป็นวิธีที่เขาเพิ่งคิดขึ้นมาได้เมื่อไม่นาน และหลังผ่านการต่อสู้จริงมาหลายครั้ง ถึงประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านั้นเขาใช้วิธีการเดียวกันหลายครั้ง เป็นเพราะหลบหลีกไม่ทัน ฉากถูกแทงหน้าอกจึงยังคงปรากฏอย่างชัดแจ้ง
และจากประสบการณ์แลกมือในก่อนหน้านั้น เขารู้ดีว่าหลังจากหลานสี่กลายร่างเป็นปีศาจแล้ว เพียงแค่ไม่ถูกแทงทะลุผ่านศีรษะและจุดสำคัญของร่างกาย เขาก็สามารถใช้ไอปีศาจในการซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่สูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง หากจะสร้างไอปีศาจจำนวนมากขึ้นมาใหม่ภายในระนะเวลาสั้นๆ นั้น กลับไม่ใช่เรื่องง่าย
ขณะนี้ ปีศาจหลานสี่ไม่ยอมสูญเสียไอปีศาจจำนวนมากเพื่อฟื้นฟูแขนขาอีก มันส่งเสียงคำรามแปลกประหลาดออกมา และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างอันโหดเหี้ยม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็โบกแขนเสื้อทันที ทรายสีทองจำนวนหนึ่งม้วนตัวออกมา มันหมุนติ้วๆ กลางอากาศ และกลายเป็นม่านแสงสีทองจำนวนมากบังอยู่ตรงหน้า ส่วนตัวเองก็เหาะไปยังเนินเขาสูงสิบกว่าจั้งที่อยู่ไม่ไกล พอร่างของเขาพร่ามัวแค่ทีเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้หลานสี่จะสูญเสียแขนไปข้างหนึ่งจนพลังลดลงไปมาก แต่ม่านทรายสีทองแต่ละชั้นก็ยืนหยัดได้เพียงชั่วครู่ จากนั้นก็กลายเป็นม่านทรายปกคลุมเต็มฟ้าก่อนที่จะสลายไป
ขณะเดียวกัน ร่างของหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงตีนเขา มุกพลังวารีทั้งสองถูกนำมาถูเข้าด้วยกัน จากนั้นก็รวมเป็นหนึ่งและหมุนวนอย่างต่อเนื่อง
หลังจากหลานสี่ทำลายม่านทรายได้แล้ว ก็เพียงแค่ใช้จิตกวาดลงมาเล็กน้อย จากนั้นก็เร่งความเร็วมาปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิงอีกครั้ง
ดูเหมือนจะช้าแต่กลับรวดเร็วมาก ขณะที่ร่างของหลานสี่ปรากฏออกมา หลิ่วหมิงก็โยนมือข้างหนึ่งไปด้านหน้า
“ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังก้องฟ้า!
มุกพลังวารีกลายเป็นเงาสีดำที่มีสภาพไม่สมบูรณ์และพุ่งยิงออกไป หลังจากหมุนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นเงาภูเขาสีดำลูกเล็กๆ ที่สูงเจ็ดแปดจั้งก่อนที่จะร่วงลงมา
ปีศาจหลานสี่เห็นเช่นนี้ เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อย ก็หลบภูเขาลูกเล็กๆ ไปได้อย่างง่ายดาย
หลังจากเกิดเสียงดังโครมคราม ก็มีหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกหลายจั้งปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
ขณะที่หลานสี่หัวเราะอย่างเยือกเย็น และคิดจะกระโดดข้ามเขาลูกเล็กๆ เพื่อพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงนั้น
ดวงตาหลิ่วหมิงก็ดูเยือกเย็นขึ้นมา มือทั้งสองเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว แสงสีแดงเปล่งประกายออกจากเขาลูกเล็กในฉับพลัน มันกระพริบแค่ทีเดียวก็มาถึงบริเวณใต้ร่างของหลานสี่ และระเบิดออกมาในพริบตา ก่อให้เกิดคลื่นอัคคีขนาดใหญ่ปกคลุมร่างหลานสี่ไว้
ที่แท้ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงก็เสียบกระบี่บินสีแดงไว้ใต้พื้นดินบริเวณนั้นอย่างเงียบๆ ขณะนี้ถึงได้อาศัยมุกพลังวารีกำบังไว้ และกระตุ้นให้มันระเบิดออกมาโดยไม่คาดคิด
ภายใต้สถานการณ์ที่หลานสี่ไม่ทันได้ระวัง จึงทำได้เพียงแต่กระตุ้นไอปีศาจบนตัวออกไปต้านทานไว้ ทันใดนั้น แสงสีแดงกับไอปีศาจสีดำก็ผสมปนเปกันกลางอากาศ และกลายเป็นเสาเพลิงสีแดงดำอันน่าตกใจ ทั้งยังมีเสียงคำรามด้วยความโมโหดังออกมาจากในนั้น
หลิ่วหมิงกลับไม่คิดจะยั้งมือเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ร่ายคาถาอยู่นั้น มือข้างหนึ่งก็ชี้ไปทางอากาศ ทันใดนั้น เม็ดทรายสีทองที่เปล่งประกายระยิบระยับ ก็ปรากฏออกมาบริเวณรอบๆ เสาเพลิง ครู่เดียวก็กลายเป็นหมอกทราย และม้วนตัวออกไป
“ตู้ม!”
หลานสี่พุ่งออกจากเสาเพลิงในฉับพลัน และชกกำปั้นใส่หมอกทรายที่ม้วนตัวเข้ามาจนแตกกระจาย
แต่พอมีเสียงดัง “ฟู่!”
เงาร่างมนุษย์สีทองก็พลันปรากฏตัวด้านหลังของเขา และกอดเขาไว้แน่น มันคือนักรบเกราะทองคำที่กลายร่างมาจากยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองนั่นเอง!
ขณะนี้มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!”
หมอกทรายที่ถูกเขาโจมตีจนแตกกระจาย พลันพร่ามัวกลายเป็นสายโซ่สีทอง และพริบตาเดียวเดียวก็พันหลานสี่ไว้อย่างแน่นหนา
แม้หลานสี่จะพยายามดิ้นรนด้วยความตกใจ แต่ตอนนี้เขามีแขนเพียงข้างเดียวเท่านั้น และถูกนักรบเกราะทองคำกับสายโซ่ที่กลายมาจากทรายทองคำผูกมัดไว้สองชั้น จึงไม่สามารถดิ้นหลุดออกไปได้ชั่วขณะหนึ่ง
และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาโบกมือข้างหนึ่งเรียกมุกพลังวารีกลับมา หลังจากจับมันไว้แน่นแล้ว ไอดำก็พวยพุ่งออกมารอบตัว และกลายเป็นมังกรพยัคฆ์หมอกดำ พอกำปั้นทั้งสองเคลื่อนไหว เงากำปั้นจำนวนมากก็โจมตีใส่หลานสี่ทันที
หลังจากเกิดเสียงดังติดต่อกัน ร่างของปีศาจหลานสี่ก็กระเด็นออกไปราวกับว่าวที่เชือกขาด
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ตะโกนเสียงต่ำออกมา ร่างของเขาเคลื่อนไหวอีกครั้ง และมาปรากฏตัวตรงหน้าหลานสี่อย่างรวดเร็ว พอแขนข้างหนึ่งพร่ามัว กำปั้นที่จับมุกพลังวารีอยู่ ก็ทุบลงบนตัวของฝ่ายตรงข้ามจนกระเด็นออกไปในพริบตา และทิ้งมุกพลังวารีไว้ในร่างของฝ่ายตรงข้าม
ปีศาจหลานสี่แผดเสียงร้องแหลมออกมา แต่ขณะที่คิดจะตั้งหลักให้มั่นคงนั้น มุกพลังวารีที่อยู่ในร่างเขาก็ส่งเสียงดัง “ตู้ม!” และระเบิดออกมาเป็นกลุ่มแสงสีดำ
แม้กายเนื้อของปีศาจหลานสี่จะแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่พอเผชิญหน้ากับการโจมตีทั้งด้านนอกและด้านในเช่นนี้ ก็ต้องระเบิดตัวกลายเป็นสายฝนโลหิต และเสียชีวิตในพริบตา ส่วนไอปีศาจบริเวณนั้นก็สลายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ และเผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก
ถึงแม้เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับเป็นครั้งแรกที่เขามีชีวิตรอดหลังจากต่อสู้กับปีศาจหลานสี่มาร้อยกว่าครั้ง
แม้ว่าการต่อสู้อย่างดุเดือดในครั้งนี้ จะมีความโชคดีแฝงอยู่ไม่น้อย แต่ยังคงแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่า พลังของเขารุดหน้ากว่าก่อนหน้านั้นอย่างน่าตกใจ
หลังจากเขาหลับตาทั้งคู่ลง ก็มีเสียงดัง “หวึ่ง!” ในจิตรับรู้
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสองปีแล้ว
สองปีมานี้ หลิ่วหมิงอาศัยดวงตามายาปีศาจในการต่อสู้กับหลานสี่ไปสองร้อยกว่าครั้ง
จวบจนการต่อสู้ในสิบครั้งให้หลัง หลิ่วหมิงที่มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นมามากมาย ก็สามารถเอาชนะได้หนึ่งในสิบครั้ง และตายตกไปพร้อมกันสองครั้ง
ส่วนอีกเจ็ดครั้งที่เหลือ ก็ใช้วิธีการต่างๆ ต่อสู้กับปีศาจหลานสี่
วันนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ในสมองของเขาหวนนึกถึงจุดอ่อนและช่องโหว่ของการต่อสู้กับปีศาจหลานสี่ในก่อนหน้า
ทันใดนั้น พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนในห้องว่างเปล่าลึกลับ พอมีเสียง “หวึ่ง!” ดังขึ้นข้างหูทั้งสอง ดวงตาทั้งคู่ก็ดับมืดลง หลังจากรู้สึกเหมือนฟ้าดินหมุนเคว้งคว้างอยู่ครู่หนึ่ง ร่างของเขาก็มาปรากฏตัวภายในห้องลับของถ้ำที่พัก
แมงป่องกระดูกกับหัวบินก็ออกมาพร้อมกับเขา
ขณะนี้ ฟองอากาศลึกลับในทะเลจิตวิญญาณได้หายไปแล้ว และนาฬิกาทรายบนศิลาหุนเทียนก็กลับด้านอีกครั้ง เม็ดทรายในนั้นก็ค่อยๆ ไหลลงอย่างช้าๆ
เขารับรู้ได้ถึงพลังเวทอันบริสุทธิ์ทะลักออกจากทะเลจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น เขาก็หลับตาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และทำการกำหนดลมหายใจ
แมงป่องกระดูกกับหัวบินที่อยู่ด้านข้าง ไม่ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงรอคอยอย่างเงียบๆ
หลังผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยาม สีหน้าของหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไป และค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาในที่สุด
“นายท่าน!”
แมงป่องกระดูกกับหิวบินเห็นหลิ่วหมิงตื่นขึ้นมา ก็ร้องเรียกด้วยความดีใจ
“ไม่มีอะไรแล้ว ครั้งนี้พวกเขาทั้งสองก็คงได้รับอะไรดีๆ ไม่น้อย เอาล่ะ! เข้ามาก่อนเถอะ!”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ตบถุงหนังบนเอว และปล่อยแสงสีดำม้วนเอาแมงป่องกระดูกกับหัวบินเข้าไปในนั้น
หลังจากเขากำชับให้ทั้งสองฝึกฝนอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว ก็ใช้จิตกวาดดูภายในร่าง และรับรู้ถึงพลังเวทที่เหลืออยู่ครู่หนึ่ง แม้มันจะบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้านั้นมาก แต่ระดับการฝึกฝนก็ร่วงไปอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลางอีกครั้ง
สิ่งนี้ทำให้ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ดูท่าเวลาต่อจากนี้ เขาต้องหาวิธีฟื้นฟูพลังเวทโดยเร็วถึงจะได้
ดีที่ว่าการปรุงโอสถผลึกเย็นของเขาได้เข้าสู่ระดับที่สูงมากแล้ว และเพียงแค่ทานโอสถนี้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะสามารถฟื้นฟูระดับการฝึกฝนได้ในเร็ววัน
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็สงบจิตสงบใจและพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นยันต์เก็บของสองผืนก็มาปรากฏอยู่บนฝ่ามือ
เมื่อใช้จิตกวาดดูจะพบว่าหนึ่งในนั้นว่างเปล่า ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาได้ใส่โอสถที่ปรุงขึ้นมาในห้องว่างเปล่าลึกลับ พอออกมาโลกภายนอกย่อมหายไปเป็นธรรมดา
ส่วนยันต์เก็บของอีกผืนใส่วัตถุดิบปรุงโอสถผลึกเย็นกับโอสถจินหยวนสองสามชุด ที่เขาได้เตรียมไว้ในก่อนหน้า และยังไม่ได้แตะต้องมันเลย
หลิ่วหมิงรีบลุกขึ้น และเดินไปยังห้องหินที่ใช้ปรุงโอสถในทันที
……
ภายในห้องหิน หลิ่วหมิงเทของเหลวสีเงินจางๆ ลงในเตาหลอมด้วยสีหน้าสงบ จากนั้นก็พลิกมือโยนวัตถุดิบลงไปส่วนหนึ่ง และโบกแขนเสื้อปิดฝาเตาหลอม
เห็นได้ชัดว่าทุกการกระทำของเขาดูเยือกเย็นเป็นอย่างมาก เขากระทำเช่นนี้ในห้องว่างเปล่าลึกลับมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ดังนั้นย่อมช่ำชองเป็นธรรมดา
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ชี้นิ้วผ่านอากาศไปทางเตาหลอม ภายใต้แสงสีเงินที่เปล่งประกาย เปลวไปสีแดงก็ลุกไหม้ขึ้นมา และห่อหุ้มเตาหลอมไว้
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิดๆ กลิ่นโอสถจางๆ เริ่มโชยออกมา
หลิ่วหมิงสูดดมสองสามที ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา ดวงตาของเขาดูดีใจเป็นอย่างมาก
ผ่านไปราวๆ หนึ่งวัน กลิ่นโอสถก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อโอสถส่งกลิ่นหอมได้ที่แล้ว หลิ่วหมิงก็ตาเป็นประกาย และเปลี่ยนท่ามือในทันที จากนั้นเปลวไฟด้านล่างเตาหลอมก็ค่อยๆ ดับลง
“เปิด!”
เขาตะคอกเบาๆ และปล่อยพลังใส่เตาหลอม
พอเตาหลอมสีเงินสั่นสะเทือนสองสามที ฝาเตาหลอมก็ลอยขึ้นมาเอง จากนั้นควันสีขาวก็ลอยขึ้นเป็นเกลียว กลิ่นหอมจรุงใจลอยเข้ามาเตะจมูก
จะเห็นว่ามีโอสถผลึกเย็นกับโอสถจินหยวนที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือวางอยู่ในนั้นอย่างเงียบๆ
…………………………………