ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 524 ป้อมตระกูลสวี่

ไม่กี่อึดใจก้อนเมฆสีเหลืองก็มาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง

ผู้อาวุโสรูร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่บนก้อนเมฆ ใบหน้าดูน่าเกรงขามมาก ประจักษ์ชัดว่าเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการออกคำสั่ง หลังจากจ้องมองทั้งสองทีหนึ่งแล้ว ก็คารวะหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“ท่านทูต ผู้น้อยเหล่านี้มีความรู้ตื้นเขิน หากล่วงเกินอันใดต้องขออภัยด้วย”

“ไม่เป็นไร ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ขอถามหน่อยว่า ท่านใช่ไคหยางที่เป็นหัวหน้าตระกูลสวี่หรือไม่?” เรื่องเล็กน้อยแค่นี้หลิ่วหมิงย่อมไม่ใส่ใจแต่อย่างใด

“ท่านทูตมีสายหลักแหลมยิ่งนัก ข้าก็คือหัวหน้าตระกูลสวี่” ผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่มีใบหน้าแข็งทื่อขึ้นมา และรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เขาคิดไม่ออกว่าคนตรงหน้าดูสถานะเขาออกได้อย่างไร

หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวกับน้ำเสียงตำหนิศิษย์ตระกูลสวี่ทั้งสอง ไหนเลยเขาจะคาดเดาสถานะของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้

ส่วนสถานะศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ของเขา ฝ่ายตรงข้ามคงได้รับข่าวที่มีคนรับภารกิจที่ตระกูลสวี่ประกาศไป แม้กระทั่งอาจจะรู้รูปร่างของเขามาบ้างแล้ว มิเช่นนั้นไหนเลยจะออกหน้ามารับอย่างรวดเร็ว และง่ายดายเช่นนี้

ขณะนี้ ชายหนุ่มบนหลังอินทรีทั้งสองก็รีบทำการคารวะด้วยสีหน้าตื่นตระหนก และภายใต้การออกคำสั่งของผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งสองก็ไปรายงานข่าวบนยอดเขาตรงด้านหลัง

ไม่นาน ชั้นจำกัดนอกยอดเขาก็สั่นสะเทือน และค่อยๆ เปิดทางออกมา

“เชิญท่านฑูตเข้าไปพูดคุยกันในป้อมก่อนเถอะ!” ซวี่ไคหยางเห็นเช่นนี้ ก็หยุดคำพูดทักทายปราศรัยทันที และผายมือเป็นการเชื้อเชิญอย่างนอบน้อม

หลิ่วหมิงเองก็ไม่เกรงใจ หลังจากพยักหน้าแล้วก็เหาะตามไปทันที

หลังจากเหาะไปได้หลายสิบจั้ง แสงสีเหลืองก็เปล่งประกายตรงหน้า เผยให้เห็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นป้อมโบราณสูงใหญ่แห่งหนึ่ง

พอมองออกไป ป้อมโบราณมีความสูงมากกว่าสามสิบจั้ง รอบด้านมีกลุ่มสิ่งก่อสร้างเป็นชั้นๆ ชั้นนอกสุดเป็นกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบยอดเขาส่วนใหญ่ไว้

“สถานที่ของตระกูลเราโกโรโกโสมาก ขอท่านทูตอย่าได้ถือสา” สวี่ไคหยางนำหลิ่วหมิงเหาะไปยังห้องด้านในของป้อมโบราณ ขณะเดียวกันก็กล่าวออกมา

“หัวหน้าตระกูลสวี่เกรงใจไปแล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างราบเรียบ

ไม่นาน พอทั้งสองร่อนลงบนพื้น ก็มีผู้อาวุโสชุดเหลืองหลายท่านยืนรอต้อนรับแล้ว

“ท่านนี้คงเป็นท่านทูตจากนิกายยอดบริสุทธิ์สินะ ข้าน้อยสวี่อวิ๋นเจิน เป็นผู้อาวุโสใหญ่ในตระกูล ครั้งนี้ไม่ได้ออกไปรับ ต้องขออภัยด้วย” คนที่พูดออกมานี้ เป็นผู้อาวุโสผอมแห้งที่มีหนวดและผมเป็นสีเหลือง ดูเหมือนว่าผู้คนที่อยู่ด้านหลัง จะให้เขาเป็นผู้นำ

“ทุกท่านเกรงใจไปแล้ว ข้าน้อยหลิ่วหมิง ได้รับคำสั่งจากนิกายให้มาทำภารกิจที่ตระกูลสวี่ไหว้วานให้สำเร็จ” หลิ่วหมิงมองดูรอบๆ ทีหนึ่ง และกุมมือคารวะกลับด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็โยนป้ายประจำตัวออกไป

”ที่แท้ท่านทูตหลิ่วก็เป็นศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ อนาคตภายหน้าจะต้องกว้างไกล การบรรลุระดับผลึกก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว มาๆ ข้าน้อยจะแนะนำให้ท่านฑูตรู้จักสักหน่อย ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นผู้อาวุโสของตระกูลสวี่เรา” ผู้อาวุโสผอมแห้งรับป้ายมาสำรวจดูเล็กน้อย ทันใดนั้น ดวงตาเหลืองซีดก็เป็นประกายออกมา และหัวเราะฮ่าๆ ก่อนกล่าว

จากนั้นเขากับสวี่ไคหยางก็เริ่มแนะนำผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น

ผู้อาวุโสตระกูลสวี่เหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ผู้อาวุโสผอมแห้งมีระดับการฝึกฝนสูงสุด ซึ่งอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง ส่วนคนอื่นๆ รวมถึงสวี่ไคหยางล้วนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้น

แม้คนเหล่านี้จะมีท่าทีอ่อนโยน แต่พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูเล็กน้อย ก็ค้นพบว่า นอกจากหัวหน้าตระกูลสวี่แล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีเลือดลมไม่คงที่ ทั้งยังมีไอดำโผล่ออกมาบนใบหน้าอย่างรำไร เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส

หลังจากพูดจากันเป็นพิธีรีตองแล้ว หลิ่วหมิงก็เดินเข้าไปในป้อมโบราณท่ามกลางการห้อมล้อมของผู้อาวุโสเหล่านี้

หลังจากคนเหล่านี้แยกไปนั่งตามตำแหน่งแล้ว หญิงรับใช้ก็รีบยกชามาทันที

“นี่คือ ‘ชาน้ำค้างเหลือง’ เป็นผลิตผลพิเศษของเขาชังหมาน แม้จะไม่ใช่ชาระดับสูงอะไร แต่ก็ยังนับว่าหวานสดชื่นละมุนละไมยิ่งนัก รสอร่อยติดลิ้นนาน ท่านทูตลองจิบดู” หัวหน้าตระกูลสวี่นั่งอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ชา ค่อยๆ ดื่มก็ได้ แต่ในภารกิจนิกายบอกว่ามีปีศาจร้ายปรากฏตัวบริเวณนี้สองตัว ไม่ทราบว่ารายละเอียดเป็นเช่นไร?” หลิ่วหมิงยกชาขึ้นจิบไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยปากออกมา

พอคนตระกูลสวี่ที่อยู่ในที่นั้นได้ยินคำถามเช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันด้วยความอึดอัดใจ

“นึกไม่ถึงว่าท่านฑูตก็เป็นคนใจร้อนเช่นกัน ความจริงท่านไม่ถาม ข้าน้อยก็ต้องพูดอยู่ดี” ผู้อาวุโสผอมแห้งเห็นเช่นนี้ ก็กระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวออกมา

”เรื่องมันเป็นเช่นนี้ เดิมทีตระกูลสวี่เรามีสายแร่แห่งหนึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของเขาชังหมาน ร้อยกว่าปีมานี้ก็ขุดหินแร่ทั่วไปตามปกติ และไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น แต่สองเดือนก่อน ขณะที่ศิษย์ในตระกูลสองคนรับคำสั่งไปตรวจตรานั้น กลับหายตัวไปในแหล่งแร่ พวกเราส่งคนไปหาอยู่หลายวันก็หาไม่พบ ตอนแรกก็คิดว่าพวกเขาคงไปสถานที่อื่น จึงไม่ได้ระมัดระวังมากนัก”

“แต่ว่าหลายวันต่อมา มีศิษย์รุ่นหลังในตระกูลหายตัวไปในเขตแร่อีกสองคน หนึ่งในนั้นยังเป็นถึงผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย เรื่องนี้จึงสะเทือนใจพวกเรามาก หลังจากตรวจหาไปหนึ่งรอบ ก็ค้นพบปีศาจระดับของเหลวขั้นกลางสองตัวที่อยู่ในส่วนลึกของหลุมแร่ มันฉวยโอกาสดูดพลังชีวิตของศิษย์เหล่านั้น ตระกูลสวี่ย่อมไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก จึงรวบรวมพลังคนจำนวนมากไปปราบปราม ตอนนั้นข้าก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย น่าเสียดายที่ปีศาจสองตัวนี้ร้ายกาจเกินไป พอแลกมือกับมัน พวกข้าต่างก็ถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้ พวกข้าได้รวมพลังกระตุ้นของล้ำค่าชิ้นหนึ่งของตระกูล จึงสามารถหนีออกมาได้อย่างยากลำบาก” พอผู้อาวุโสผอมแห้งกล่าวถึงจุดนี้ คนตระกูลสวี่ต่างก็เผยสีหน้าจนปัญญาออกมา

หลิ่วหมิงยังคงมีสีหน้าปกติ และไม่เอ่ยปากแทรกแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าจะรอให้ผู้อาวุโสเล่าต่อ

“ปีศาจสองตัวยังคงครอบครองเขตแร่มาจนถึงวันนี้ พวกเราก็ได้แต่ปิดสายแร่ไว้ชั่วคราว เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ลำพังแค่พลังของพวกเราไม่อาจจัดการได้ จึงต้องเชิญท่านฑูตจากนิกายยอดบริสุทธิ์มาช่วย” ผู้อาวุโสผอมแห้งหัวเราะเยาะตนเองเล็กน้อย ในที่สุดก็ค่อยๆ พูดเรื่องที่ไหว้วานออกมา

“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า ทุกท่านเจอปีศาจแค่สองตัวเท่านั้น เป็นได้หรือไม่ที่จะมีตัวที่สามด้วย?” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง และเอ่ยปากถามในฉับพลัน

“คงเป็นไปไม่ได้ วันที่พวกเราแลกมือกับปีศาจสองตัวนั้น ก็หนีออกมาได้อย่างทุลักทุเล หากมันยังมีสหายอีกล่ะก็ พวกเราคงไม่อาจหลบหนีมาได้ถึงจะถูก” ผู้อาวุโสผอมแห้งนึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา

สวี่ไคหยางก็พยักหน้าอยู่ข้างๆ

หลิ่วหมิงเองก็คิดว่าที่พูดมามันก็มีเหตุผล

ตามที่เขาทราบมา ปีศาจโดยทั่วไปชอบดูดพลังชีวิตของมนุษย์ไปหล่อเลี้ยงตนเอง และศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่งเทียบเท่ากับมนุษย์ธรรมดาหลายสิบคน หากปีศาจสองตัวนั้นยังมีสหายตัวอื่นๆ มันคงไม่ยอมปล่อยผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเหล่านี้ไปถึงจะถูก

“ไม่ทราบว่าปีศาจสองตัวนั้นมีรูปร่างเป็นอย่างไร? ข้าเองก็พอจะนับว่ารู้จักปีศาจอยู่บ้าง ไม่แน่อาจจะคาดเดาที่มาของปีศาจนั้นได้” หลิ่วหมิงลูบคางแล้วกล่าวราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

ถ้าจะพูดถึงความเข้าใจเกี่ยวกับปีศาจ นับว่าเขารู้จักไม่น้อยจริงๆ นิกายปีศาจในแต่ก่อน ก็เป็นนิกายที่ศึกษาหัวปีศาจเหล่านี้

ในคัมภีร์ ‘ภาพร้อยปีศาจย่ำราตรี’ ที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ ได้จัดรวมปีศาจไว้ร้อยแปดชนิด

“ขณะที่ปีศาจสองตัวทำการต่อสู้ สามารถขับหมอกปีศาจขนาดใหญ่ออกมาได้ มันเชี่ยวชาญการซ่อนร่องรอย และลอบโจมตีในภายหลัง พวกเราจึงมองเห็นรูปร่างของมันไม่ชัด” ผู้อาวุโสผอมแห้งได้ยิน ก็กล่าวด้วยสีหน้าที่แดงเล็กน้อย

พอได้ยินเช่นนี้หลิ่วหมิงก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง

ผู้อาวุโสตระกูลสวี่เหล่านี้ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ต่อสู้กับปีศาจไม่ได้ไม่ว่า ยังไม่ทันมองเห็นรูปร่างของมัน ก็ถูกโจมตีจนต้องหนีเอาชีวิตรอดแล้ว ดูท่าคงมีประสบการณ์การต่อสู้ไม่มาก

“แม้ปีศาจมันจะร้ายกาจ แต่หากมีท่านฑูตลงมือพร้อมกับผู้อาวุโสเหล่านี้ จะต้องโจมตีพวกมันจนพ่ายแพ้ในคราเดียวอย่างแน่นอน ท่านฑูตวางใจเถอะ! แม้ตระกูลสวี่เราจะไม่สามารถเทียบกับตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้ แต่ในคลังเก็บของยังมีแร่ธาตุหายากจำนวนหนึ่งที่ตกทอดมาจากสมัยก่อน หากท่านไม่รังเกียจล่ะก็ รอจัดการปีศาจร้ายสองตัวนี้ได้ ก็สามารถเลือกไปได้อย่างสองอย่าง” หัวหน้าตระกูลสวี่เห็นหลิ่วหมิงมีสีหน้าครุ่นคิดเช่นนี้ เขาจึงรีบกล่าวออกมา

หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย และเข้าใจในทันที

ผู้อาวุโสตระกูลสวี่เหล่านี้ คงกลัวว่าเขาจะถอนตัวออกกลางคันหลังจากรู้ว่าคู่ต่อสู้มีฝีมือร้ายกาจ

และสวี่ไคหยางในตอนนี้ก็ดูร้อนอกร้อนใจมาก

แม้ตระกูลสวี่จะอยู่ภายใต้ของนิกายยอดบริสุทธิ์ แต่ตระกูลก็ได้ตกต่ำมานานแล้ว ทรัพยากรก็มีจำกัดมาก พอเกิดเรื่องในครั้งนี้ขึ้น แม้จะขอความช่วยเหลือจากนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว แต่เนื่องจากจำเป็นต้องรักษาผู้บาดเจ็บในตระกูล จึงใช้จ่ายหินจิตวิญญาณในตระกูลไปไม่น้อย

ในเวลานั้นนำแปดหมื่นหินจิตวิญญาณออกมาเป็นค่าตอบแทนภารกิจ ช่างดูขัดสนเป็นอย่างมาก

หากว่าหลิ่วหมิงวางมือไม่ยอมยุ่งด้วย เกรงว่าคงไม่มีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์คนอื่นมาอีก

พอตอนนี้เห็นหลิ่วหมิงดูเหมือนจะมีท่าทีลังเล แม้หัวหน้าตระกูลสวี่ผู้นี้จะรู้สึกเจ็บปวดต่อวัสดุหลอมอาวุธที่มีอยู่ไม่มาก แต่ก็ได้แต่กัดฟันให้สัญญาไว้

“ทุกท่านวางใจเถอะ! ในเมื่อข้ารับภารกิจมาแล้ว ย่อมทำมันให้สำเร็จอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่อาจกลับไปอธิบายกับนิกายได้” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตาเป็นประกายสองสามที แต่กลับกล่าวด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ

“วิเศษไปเลย! ท่านฑูตเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมากแล้ว วันนี้ก็พักผ่อนก่อน เรื่องภารกิจยังไม่ต้องรีบร้อนในตอนนี้ พรุ่งนี้ค่อยยุ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่สาย คืนนี้จะจัดงานเลี้ยง ขอท่านได้โปรดเป็นเกียรติรับคำเชื้อเชิญด้วย” ตอนนี้หัวหน้าตระกูลสวี่ถึงรู้สึกวางใจขึ้นมา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แม้แต่ผู้อาวุโสผอมแห้งกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะรู้สึกโล่งใจด้วยเช่นกัน

หลิ่วหมิงเดินทางมาตลอดทาง และรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง จึงไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด หลังจากกล่าวลากับผู้คนในที่นั้นแล้ว ก็เดินตามข้ารับใช้คนหนึ่งไปยังห้องรับรองที่ตระกูลสวี่เตรียมไว้ให้

ส่วนงานเลี้ยงย่อมถูกเขาปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงออกไปจากป้อมตระกูลสวี่พร้อมกับผู้อาวุโสตระกูลสวี่อีกคนที่มีท่าทีคล้ายกับบัณฑิตวัยกลางคน และมุ่งไปยังสายแร่ในเขาชังหมาน

ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลสวี่ต้องการรวบรวมคนให้ออกเดินทางไปพร้อมกัน แต่กลับถูกหลิ่วหมิงปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

กะอีแค่ปีศาจระดับของเหลวขั้นกลางสองตัว เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลย

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset