ตามที่บันทึกไว้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง นอกจากวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งจะช่วยยกระดับความเร็วเป็นอย่างมากแล้ว ยังเป็นเพราะมีพลังเวททั้งหมดของผู้แสดงวิชาอยู่ในแสงที่ห่อหุ้มทั่วร่าง อานุภาพของมันจึงไม่ใช่สิ่งที่วิชาขี่กระบี่โดยทั่วไปสามารถเทียบได้
หากศัตรูอยู่ในอากาศบริเวณใกล้ๆ แสงหลบหลีก จะได้รับผลกระทบในระดับที่แตกต่างกัน หากฝืนเข้าใกล้ล่ะก็ เนื้อหนังจะถลอกปอกเปิก ดังนั้นพอแสดงวิชานี้ออกมา ยังสามารถป้องกันการโจมตีได้ระดับหนึ่ง
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคงเป็นเพราะว่าการแสดงวิชานี้เป็นการทุ่มพลังทั้งหมด ทำให้สิ้นเปลืองพลังเวทเกินไป ด้วยระดับพลังเวทของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ไม่อาจยืนหยัดได้นานมากนัก
และพอวิธีการนี้โจมตีไม่ได้ผล ก็เท่ากับว่าเป็นการส่งตัวเองให้อยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นจะต้องระมัดระวังในการใช้ให้มาก
สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว วิชาขี่กระบี่ของเขาเพิ่งมาถึงขั้นเริ่มต้น หากคิดจะแสดงอานุภาพวิชาขี่กระบี่ที่แท้จริงออกมา ยังต้องฝึกฝนประสบการณ์ต่อสู้จริงให้มาก
หลังจากเข้าพื้นฐานการฝึกฝนเคล็ดวิชาทั้งสองแล้ว เขาก็ตัดสินใจไปซื้อวัตถุดิบปรุงโอสถที่ตลาดอีกครั้ง เพื่อนำมาปรุงโอสถต่อ
แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดกะทันหัน หลังจากเก็บกระบี่เล็กสีแดงเข้าไปแล้ว ก็ออกไปจากถ้ำที่พักในทันที และขี่เมฆดำทะยานไปทางหอลี้ลับ
เขารับภารกิจรวบรวมสมุนไพรจิตวิญญาณบนป้ายประกาศ จากนั้นก็ไปจากนิกายทันที และทะยานไปยังหุบเขาบางแห่ง
เวลาในสองสามเดือนต่อมา เขารับภารกิจจำนวนหนึ่งติดต่อกัน ซึ่งเป็นภารกิจที่ไม่ค่อยยากมาก แต้มคุณูปการก็ไม่สูง แต่กลับอยู่ไกลจากนิกาย ตลาดที่ไปในแต่ละครั้ง ล้วนเป็นตลาดเล็กๆ ที่ไม่ค่อยดึงความดูดสนใจผู้คน
หลังจากเขาแบ่งขายโอสถผลึกเย็นยี่สิบกว่าเม็ดแล้ว ก็ซื้อวัตถุดิบเสริมที่ต้องการมาไม่น้อย
ส่วนภารกิจในนิกายเหล่านี้ ด้วยพลังของหลิ่วหมิงที่ไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึก ย่อมไม่ต้องเปลืองแรงอะไรมาก และสำเร็จภารกิจได้อย่างราบรื่น
สามเดือนต่อมา ชั้นสามของร้านที่มีขนาดไม่เล็กในตลาดนิกายยอดบริสุทธิ์ หลิ่วหมิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลตัวหนึ่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด
หลายวันนี้ เขาได้เดินดูร้านค้าขนาดใหญ่เล็กต่างๆ ในตลาดไปหนึ่งรอบแล้ว เพียงแค่เป็นผลผลึกเขียวที่มีอายุเหมาะสม ล้วนถูกเขาซื้อไปจนหมด
หากไม่ใช่ว่าวัตถุดิบเสริมอื่นๆ ได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่ยังขาดผลผลึกเขียวจำนวนหนึ่งล่ะก็ เขาคงไม่มาถามร้านค้าที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่นี้อีกครั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีใจก็คือ เถ้าแก่บอกว่าในร้านมีผลผลึกเขียวที่มีอายุราวๆ สองร้อยปีอยู่สิบกว่าลูก ถ้านับรวมสิบกว่าลูกนี้แล้ว มันเพียงพอกับวัตถุดิบเสริมที่ใช้ปรุงโอสถพอดี
“สหายท่านนี้รอนานแล้ว นี่คือผลผลึกเขียวที่ท่านต้องการ”
เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา ชายวัยกลางคนสวมชุดสีเทาอายุห้าสิบกว่าๆ ผู้หนึ่ง ก็ประคองกล่องหยกสีเหลืองเดินขึ้นบันไดมา และวางไว้ตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม
“รบกวนแล้ว“ หลิ่วหมิงโค้งคารวะ และรับกล่องหยกไปทันที จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งตบมันเบาๆ
ลวดลายจิตวิญญาณสีเหลืองจางๆ บนกล่องหยกเปล่งประกาย ฝากล่องเลื่อนออกมา เผยให้เห็นผลผลึกเขียวขนาดเท่ากำปั้นสิบกว่าลูกวางอยู่ด้านใน
สำหรับหลิ่วหมิงที่เคยเห็นผลผลึกเขียวมาหลายร้อยลูก ไม่จำเป็นต้องตรวจดูอย่างละเอียด เพียงแค่กวาดสายตามองผ่านๆ ก็ยืนยันได้ว่าผลผลึกเขียวเหล่านี้มีอายุราวๆ สองร้อยปี
แต่เขายังคงคว้าผลผลึกเขียวลูกหนึ่งมามาสังเกตอย่างละเอียด จากนั้นถึงวางลงไปในกล่องหยกอย่างระมัดระวัง
“ผลผลึกเขียวเหล่านี้มีอายุถึงสองร้อยปีจริงๆ ขอถามเถ้าแก่หน่อยว่า ผลผลึกเขียวทั้งหมดนี้ราคาเท่าใด?” หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองชายวัยกลางคนทีหนึ่ง จากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ทั้งหมดสิบสามลูก ลูกละหกพันหินจิตวิญญาณ รวมทั้งหมดเป็นเจ็ดหมื่นแปดพันหินจิตวิญญาณ” ชายวัยกลางคนยิ้มแหยๆ แล้วกล่าวออกมา
“เจ็ดหมื่นแปดพันหินจิตวิญญาณ…” หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมทันที ดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“หากสหายผู้นี้อยากได้จริงๆ ก็จ่ายแค่เจ็ดหมื่นหินจิตวิญญาณก็พอ อย่าหาว่าข้าละลาบละล้วงเลย ดูเหมือนสหายจะไม่ได้มาซื้อผลผลึกเขียวที่ร้านเราเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าผลผลึกเขียวที่สหายซื้อไป คิดจะปรุงโอสถชนิดใด? ร้านเราก็รับซื้อโอสถชนิดต่างๆ ตลอดปี หากสหายมีโอสถระดับสูง ก็มาขายที่ร้านเราได้ สหายจะต้องได้ราคาที่พอใจอย่างแน่นอน” ชายวัยกลางคนลดราคาให้หลิ่วหมิงอย่างสบายอกสบายใจ จากนั้นก็สอบถามด้วยรอยยิ้ม
”ข้าก็แค่ช่วยซื้อวัตถุดิบให้ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในนิกายเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านจะปรุงโอสถชนิดใด” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา แต่สีหน้าดูสงบเป็นอย่างมาก
“ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในนิกายข้าก็รู้จักอยู่ไม่น้อย ไม่ทราบ……”
“เถ้าแก่ ข้าก็แค่รับคำสั่งมาเท่านั้น ไม่อาจแพร่งพรายสถานะของผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ได้ เอาล่ะ! ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงเก็บกล่องหยกโดยไม่รอให้ชายวัยกลางคนพูดจบ จากนั้นก็นำถุงผ้าใส่หินจิตวิญญาณมาวางไว้บนโต๊ะ และเดินออกไปอย่างรีบร้อน
แม้เขาจะระมัดระวังโดยการซื้อวัตถุดิบเสริมจำนวนมากจากร้านอื่นๆ แต่เป็นเพราะบริเวณนี้มีแค่ตลาดในนิกายที่มีผลผลึกเขียวเท่านั้น จึงต้องซื้อจากที่นี่เป็นจำนวนมาก แต่เห็นได้ชัดว่าการกระทำเช่นนี้สะดุดตาจนเกินไป และได้สร้างจุดสนใจให้กับคนจำนวนหนึ่งแล้ว
หลิ่วหมิงต่อล้อต่อเถียงอยู่ในใจไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจว่าต่อไปไม่สามารถซื้อผลผลึกเขียวในตลาดของนิกายได้ตามอำเภอใจแล้ว
หลังจากกลับถึงถ้ำที่พัก เขาก็กักตัวอีกหนึ่งเดือนกว่า ถึงปรุงโอสถจากวัตถุดิบที่เหลือจนเสร็จสรรพ
ในหอยสังข์ย่อส่วนบนเอวในขณะนี้ มีโอสถผลึกเย็นเกือบร้อยกว่าเม็ด ในนั้นยังมีโอสถธรรมดาเจ็ดเม็ด และโอสถพสุธาหนึ่งเม็ด
หลิ่วหมิงชื่นชมโอสถพสุธาที่มีลายโอสถสี่เส้นอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง
ตอนนี้เขารู้มูลค่าของโอสถระดับสูงของเขตแดนของเหลวเป็นอย่างดีแล้ว โดยทั่วไปโอสถผลึกเย็นระดับสูง สามารถขายได้ห้าหกหมื่นหินจิตวิญญาณ ดูเหมือนว่าจะมากกว่าโอสถผลึกเย็นระดับกลางสิบเท่าขึ้นไป
แต่ว่าราคาของโอสถระดับกลางชนิดอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มพูนพลังเวทของเขตแดนของเหลวได้คล้ายๆ กัน กลับแตกต่างจากโอสถผลึกเย็นไม่มากนัก แต่หลังจากเข้าสู่ระดับสูงแล้ว มูลค่าของโอสถเขตแดนของเหลวทั่วไป กลับขายได้ราวๆ สามหมื่นหินจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากโอสถที่ยังไม่เข้าถึงระดับสูงมาก เพียงแค่มีมูลค่ามากกว่าระดับกลางเล็กน้อยเท่านั้น
ในช่วงเวลานี้ เขาเคยถามราคาซื้อโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาจากเถ้าแก่วัยกลางคนที่เปิดร้านอยู่ในตลาดนอกนิกาย
ผลลัพธ์คือ เถ้าแก่ร้านที่ดูเหมือนมีการฝึกฝนเขตแดนของเหลวขั้นปลายผู้นั้น ก็รีบคว้ามือเขาไว้ด้วยความตื่นเต้น และเสนอราคาห้าแสนหินจิตวิญญาณอย่างไม่ลังเล ทั้งยังพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าสามารถคุยราคากันได้
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจมาก
หากเขาไม่รีบบอกไปว่าตนเองแค่สอบถามเท่านั้น เกรงว่าคงไม่อาจจากไปได้โดยง่าย
หลังจากมีประสบการณ์ในครั้งนี้แล้ว เขาก็สอบถามจากร้านอื่นๆ อีกเล็กน้อย ถึงรู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ที่แท้ก็มีผู้ฝึกฝนมากมายที่อาศัยการทานโอสถจำนวนมาก เพื่อยกระดับพลังเวท แต่เนื่องจากทานโอสถมากเกินไป ร่างกายจึงเกิดการต่อต้านโอสถชนิดต่างๆ หากต่อไปคิดจะอาศัยโอสถชนิดเดิมเพิ่มพลังเวทล่ะก็ ผลลัพธ์จะลดน้อยลงไปเป็นอย่างมาก จนกระทั่งอาจจะไม่เกิดผลลัพธ์เลยก็ได้
และโอสถผลึกเย็นนี้ เดิมทีก็มีคนปรุงน้อยมาก ที่ปรุงออกมาในระดับสูงยิ่งมีน้อยขึ้นไปอีก ดูจากมุมมองบางอย่างแล้ว หากทานในขณะทะลวงคอขวดล่ะก็ จะเป็นโอสถทะลวงคอขวดที่ดีชนิดหนึ่ง
ผู้ฝึกฝนหรือตระกูลผู้ฝึกฝนที่ทะลวงคอขวดไม่สำเร็จไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มีความกระหายโอสถระดับสูงที่เป็นทางลัดเหล่านี้มาก จนกระทั่งเสนอราคารับซื้อในตลาดด้วยมูลค่ามหาศาลอย่างไม่เสียดาย
ด้วยเหตุนี้ โอสถผลึกเย็นระดับสูงถึงขายได้แพงกว่าโอสถประเภทเดียวกันที่พบเจอได้บ่อยในท้องตลาดมาก
และด้านหนึ่งเป็นเพราะโอสถระดับพสุธามีผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะมีอยู่น้อยมาก ราคาของมันจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวี สามารถขายในตลาดได้ราคาที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ก็เพราะเหตุนี้ หลิ่วหมิงยิ่งไม่กล้าให้คนอื่นรู้ว่า เขามีความสามารถในการปรุงโอสถผลึกเย็น มิเช่นนั้นต่อให้นิกายยอดบริสุทธิ์จะรู้เรื่องนี้ เกรงว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือการนำเขาไปขังเลี้ยง และให้เขาปรุงโอสถอยู่ทุกคืนวัน
หลิ่วหมิงย่อมไม่ยอมสละตนเองไปทำเรื่องเช่นนี้เพียงคนเดียว เพื่อประโยชน์ของนิกายอย่างแน่นอน
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้ว ก็นำโอสถบนมือใส่เข้าไปในกล่องหยก
เขาตัดสินใจว่าครั้งหน้าจะต้องไปตลาดขนาดใหญ่นอกนิกาย เพื่อรวบรวมผลผลึกเขียวมาจำนวนมาก
เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการขายโอสถหรือการซื้อวัตถุดิบ ล้วนเสร็จสรรพมาจากนอกนิกาย ซึ่งจะไม่สร้างจุดสนใจให้กับผู้คนอีก
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองเรียบร้อยแล้ว ก็ไปจากถ้ำที่พักในทันที และขี่เมฆทะยานไปหอลี้ลับอีกครั้ง
ครั้งนี้หลิ่วหมิงเลือกสถานที่ที่อยู่นอกอิทธิพลของนิกายยอดบริสุทธิ์
รายละเอียดของภารกิจก็คือ ไปประจำการอยู่ที่ร้านหลอมอาวุธของนิกายในตลาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างไกลเป็นเวลาหนึ่งปี ภายในหนึ่งปีก็สามารถกลับมานิกายได้
เหตุผลเป็นเพราะว่าศิษย์สายนอกที่เคยประจำการอยู่นั้น จำเป็นต้องไปจากที่นั่นซักระยะหนึ่ง ผ่านพ้นหนึ่งปีไปแล้วถึงจะกลับมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องหาศิษย์สายนอกไปประจำการแทนชั่วคราว
แต่เนื่องจากภารกิจนี้ได้แต้มคุณูปการไม่มาก ทั้งยังใช้เวลานานด้วย แม้ว่าจะประกาศภารกิจมาเป็นเดือนแล้ว ก็ไม่มีคนรับภารกิจนี้เลย
แต่ภารกิจที่ไม่ค่อยมีคนสนใจนี้ สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว มันตรงกับความต้องการของเขาพอดี อีกอย่างเวลาหนึ่งปี ก็เพียงพอที่เขาจะหาซื้อวัตถุดิบจากตลาดนอกนิกายแล้ว การปรุงโอสถและการขายโอสถ สร้างหินจิตวิญญาณให้เขาเป็นจำนวนมาก
หลังจากเขารับภารกิจนี้เสร็จ ก็ไปสอบถามศิษย์ดำเนินการอยู่พักหนึ่ง ถึงรู้ว่าการไปตลาดฉางหยางจำต้องใช้ค่ายกลส่งตัวระยะไกลพิเศษของนิกาย และผ่านค่ายกลส่งตัวอื่นๆ อีกหลายแห่ง ถึงจะไปถึงที่นั่นได้
เขารีบกลับถ้ำที่พักในทันที และจัดเตรียมวัตถุดิบที่จำเป็น เพื่อจะออกเดินทางในวันถัดไป
เช้าวันที่สอง ตรงตีนยอดเขาลูกหนึ่งในเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่ค่อนข้างเร้นลับ เมฆดำก้อนหนึ่งกระพริบผ่านไป ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวผู้หนึ่งกระโดดลงจากก้อนเมฆ
เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ขณะนี้ท้องฟ้ากำลังสาง เขาก็มาถึงค่ายกลส่งตัวพิเศษในสถานที่เร้นลับแห่งนี้แล้ว
พอมองออกไป สิ่งที่อยู่ตรงตีนยอดเขาเป็นวิหารหินธรรมดาๆ ที่สูงเจ็ดแปดจั้ง หน้าประตูมียักษ์หินสีดำแกะสลักขนาดใหญ่สองตัว ในมือถือขวานยักษ์อยู่ ประตูใหญ่ปิดสนิท ทั้งยังมีชั้นจำกัดสีขาวโพลนปกคลุมอยู่
…………………………………