ราคาผงวิญญาณบริสุทธิ์ตามท้องตลาดอยู่ที่หกเจ็ดแสนหินจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ว่ามันพบเห็นได้น้อยมาก ซื้อแพงสักแสนสองแสนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณมันออกจะแพงไปหน่อย จนเกือบจะเทียบเท่ากับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นหนึ่งแล้ว
“ผู้เชี่ยวชาญเจ้าเสนอราคาหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ ยังมีผู้ใดให้ราคาสูงกว่านี้หรือไม่?” ชายหน้าขาวประกาศด้วยความดีใจ
“หนึ่งล้านหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ!” หลิ่วหมิงเสนอราคาอย่างไม่สะทกสะท้าน
ผู้คนในลานประมูลต่างก็มองไปทางหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างก็เริ่มเงยหน้าขึ้นมา
“หนึ่งล้านสองแสนหินจิตวิญญาณ! สหายผู้นี้ ข้าจำเป็นต้องใช้ของสิ่งนี้ หวังว่าสหายจะไว้หน้าข้า” ผู้อาวุโสแซ่เจ้าหันมามองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“งั้นหรือ! แต่น่าเสียดายข้าน้อยก็ปรารถนาอยากจะได้มาเป็นอย่างยิ่ง จำต้องช่วงชิงกับท่านแล้ว หนึ่งล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ!” หลิ่วหมิงกล่าวเสร็จ ก็เสนอราคาเพิ่มขึ้นมาอีกสามแสนหินจิตวิญญาณ
ผู้คนในที่นั้นต่างก็ฮือฮาขึ้นมา และคนจำนวนไม่น้อยต่างก็มองไปที่หลิ่วหมิงด้วยความตกใจ
ผู้อาวุโสแซ่เจ้าก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา แต่กลับค่อยๆ นั่งลงไป ผ่านไปพักใหญ่ๆ ก็ยังไม่เพิ่มราคาขึ้นมา
ประจักษ์ชัดว่าด้วยสถานะระดับเขา ก็ไม่ยอมซื้อวัสดุชิ้นหนึ่งที่ราคาสูงกว่าเดิมสองเท่า
“สหายผู้นี้เสนอราคาหนึ่งล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ ยังมีราคาสูงกว่านี้หรือไม่?” ชายหน้าขาวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขามองไปรอบๆ ในทันที และสายตาของเขาก็หยุดอยู่บนตัวผู้อาวุโสแซ่เจ้าอยู่ครู่หนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นผงวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นของสหายผู้นี้” พอเห็นว่าผู้อาวุโสไม่มีทีท่าจะเสนอราคาเพิ่มแม้แต่น้อย ชายหน้าขาวก็นับหนึ่งถึงสาม ในที่สุดก็เคาะแท่นแล้วกล่าวออกมา
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หากมีคนเสนอราคาเพิ่มล่ะก็ เขาจะต้องเสนอเพิ่มด้วยอย่างแน่นอน ถ้าต้องเสียหินจิตวิญญาณจำนวนมากเช่นนี้ เขาคงรู้สึกปวดใจไม่น้อย
ไม่นานก็มีคนรับใช้เดินเข้ามาพาเขาไปยังห้องโถงเล็กๆ ที่อยู่ข้างห้องประมูล และมีหญิงรับใช้ชุดขาวยกถาดหยกที่มีผงวิญญาณบริสุทธิ์มาให้
หลิ่วหมิงชำระหินจิตวิญญาณด้วยท่าทีสบายใจ พอเปิดกล่องหยกออกมาดู จะเห็นว่ามันมีลักษณะเหมือนที่บันทึกไว้ในบัญชีไม่มีผิด ระดับความบริสุทธิ์ก็ค่อนข้างสูงมาก
เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ หลังจากเก็บมันเข้าไปแล้ว เขาก็กลับไปที่ห้องประมูลอย่างรวดเร็ว
เช่นนี้แล้ว จุดมุ่งหมายแรกในการเข้าร่วมงานประมูลของเขาก็นับว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้บนตัวหลิ่วหมิงยังมีหินจิตวิญญาณอยู่ราวๆ สามล้านห้าแสนก้อน หากมีสมบัติที่ตรงตามใจเขาต้องการ ก็สามารถทำการประมูลได้อย่างเต็มที่แล้ว
เวลาต่อมา สิ่งของที่ประมูลกลับเป็นโอสถที่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวกับระดับผลึกสามารถใช้ได้ และก็มีอสูรจิตวิญญาณตัวเต็มวัยจำนวนหนึ่งที่ผ่านการบ่มเพาะจนเชื่องมาแล้ว
ในนั้นมีหนูหูไฟที่ค่อนข้างถูกใจหลิ่วหมิงมาก อสูรจิตวิญญาณเหล่านี้ มีประสาทรับกลิ่นไวมาก ชำนาญการขุดเจาะดิน ค้นหาสมบัติล้ำค่า เป็นหนูชนิดหนึ่งที่ใช้ในการหาสมบัติ
น่าเสียดายที่หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ถูกหญิงชุดดำประมูลไปในราคาที่สูงถึงห้าแสนหินจิตวิญญาณ ซึ่งทำให้พูดไม่ออกเล็กน้อย
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งมื้อข้าว ชายผิวดำก็ลุกขึ้นเดินไปบนเวที และพอพลิกฝ่ามือก็มีกล่องหยกปรากฏออกมา เมื่อเปิดฝาออก จะเห็นว่ามีมุกสีเหลืองกลมๆ สี่เม็ดวางอยู่ข้างในสี่เม็ด จากนั้นมันก็ถูกวางไว้บนแท่นประมูล
ต่อมาชายผิวดำก็กลับมาข้างล่างเวทีอีกครั้ง
พอชายหน้าขาวเห็นเช่นนี้ ก็กระแอมไอก่อนกล่าวออกมา
“ทำให้ทุกท่านต้องรอนานแล้ว สิ่งของที่จะประมูลต่อไปเป็นช่วงสุดท้ายของงานประมูลในครั้งนี้ ชิ้นแรกเป็นหุ่นนักรบสี่ตัว”
ขณะที่พูดชายหน้าขาวใสก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้ามุกกลมๆ เม็ดหนึ่งขึ้นมา และโยนไปในอากาศ ทันใดนั้นแสงสีเหลืองก็เปล่งประกายออกมา บนแท่นสูงมีนักรบเกราะทองคำที่สูงจั้งกว่าๆ ปรากฏออกมา จากนั้นก็ร่ายคาถาอย่างต่อเนื่อง และทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งก่อนชี้ไปทางหุ่นเหล่านี้
จะเห็นว่ามีอักขระสีทองพุ่งออกจากมือเขาไปอย่างรวดเร็ว และกระพริบหายเข้าไประหว่างคิ้วของหุ่นนักรบเกราะทองคำ
แสงสีทองเปล่งประหายบนตัวนักรบเกราะทองคำ จากนั้นแรงกดดันมหาศาลก็ปรากฏออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา ดูจากพลังของมันแล้วหุ่นเกราะทองคำตัวนี้เหมือนจะมีพลังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย
แต่พอหุ่นเกราะทองคำขยับแขนขา ร่างของมันก็พร่ามัวไปปรากฏอยู่ห่างออกไปหลายจั้ง และชกกำปั้นไปกลางอากาศทันที
“หวึ่ง!” เกิดเสียงดังขึ้นกลางอากาศ
พลังกำปั้นไร้รูปพุ่งออกจากตัว และก่อเกิดเป็นคลื่นอากาศที่ยาวสิบกว่าจั้ง
นักรบเกราะทองคำเคลื่อนไหวอีกครั้ง และไปพุ่งไปอยู่ตรงหน้าของคลื่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นหันตัวมาปล่อยกำปั้นออกไปอีกลูก
พลังกำปั้นทั้งสองปะทะกันทันที หลังจากส่งเสียงดังอู้อี้แล้ว ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หุ่นเกราะทองคำหายวับมาอยู่ด้านข้างของชายหนุ่มหน้าขาว
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ราวกับแค่อึดใจเดียวทุกอย่างก็เสร็จสิ้นแล้ว
ภายในห้องประมูล พอผู้ฝึกฝนจำนวนมากเห็นฉากเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา ความแข็งแกร่งของหุ่นนักรบตัวนี้ ทำให้ฝูงชนเกิดอารมณ์เร่าร้อนขึ้นมา
“ทุกท่าน หุ่นนักรบเกราะทองคำทั้งสี่นี้ สร้างขึ้นโดยนิกายเทียนกงที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ ทุกท่านเองก็คงเห็นแล้ว หุ่นนักรบเหล่านี้ต่างก็มีพลังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย การเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจสายฟ้า เอาชนะข้อบกพร่องของหุ่นนักรบเกราะได้อย่างสมบูรณ์ ที่หาได้ยากยิ่งกว่าก็คือ ภายใต้การร่วมพลังของหุ่นนักรบทั้งสี่ สามารถวางค่ายกลสี่ทิศได้ พอที่จะต่อต้านกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นโดยไม่ตกเป็นเบี้ยล่างเลยแม้แต่น้อย” ชายหน้าขาวถือโอกาสที่ฝูงชนยังคงมีสีหน้าตื่นตะลึงอยู่พูดออกมา
พอผู้ฝึกฝนด้านล่างได้ยินเช่นนี้ ก็มีคนเผยสีหน้าตกใจระคนดีใจออกมา
“แต่ว่าการควบคุมหุ่นนักรบเกราะทองคำสี่ตัว ก็ต้องสูญเสียพลังจิตอย่างน่าตกใจกว่าการควบคุมหุ่นทั่วไปมาก ด้วยเหตุนี้จึงขอให้สหายทุกท่านควบคุมตามความสามารถของตนเอง ต่อไปเริ่มเสนอราคาได้ หุ่นนักรบสี่ตัวเริ่มต้นที่สองล้านหินจิตวิญญาณ เพิ่มราคาได้ครั้งละไม่น้อยกว่าหนึ่งแสน” ชายหน้าขาวเตือนออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็ประกาศให้เริ่มทำการประมูล
“ราคาต่ำสุดสองล้านหินจิตวิญญาณ!”
พอได้ยินเช่นนี้ คนจำนวนไม่น้อยต่างก็รู้สึกหมดกำลังใจขึ้นมา
สำหรับผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปแล้ว ต่อให้จะยอมจนไปตลอดชีวิต ก็ไม่อาจนำหินจิตวิญญาณออกมาจำนวนมากเช่นนี้ได้
และหากตระกูลกับนิกายเล็กๆ จำนวนหนึ่งนำสองล้านหินจิตวิญญาณออกมา ก็ทำให้ตระกูลล่มจมจนต้องขายสิ่งของออกไปเป็นจำนวนมาก
แต่ว่าคนเหล่านี้ซื้อไม่ไหว ย่อมมีคนอื่นๆ ที่สามารถซื้อได้ไหว
“สองล้านหินจิตวิญญาณ!” มีคนเสนอราคาออกมาทันที คนผู้นี้อยู่ในห้องที่นั่งพิเศษทั้งสี่ด้าน ซึ่งก็คือหญิงชุดม่วงที่เงียบมาโดยตลอดนั่นเอง
“สองล้านสองแสน!” ผู้เสนอราคามาจากห้องที่นั่งพิเศษอีกห้องหนึ่ง
“สองล้านห้าแสน!” ครั้งนี้กลับเป็นชายหนุ่มชุดเขียวในก่อนหน้านั้น เขาส่งสีหน้าให้ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นชายฉกรรจ์ก็พยักหน้าและก้าวมาสองก้าว
“หุ่นนักรบตัวนี้ นายน้อยของเราจักต้องเอามาให้ได้ หวังว่าสหายทุกท่านจะไว้หน้าบ้าง” พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็มีเปลวไฟสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในห้องที่นั่งพิเศษ จากนั้นก็กลายเป็นเงาอสรพิษยักษ์ที่มีปีกคู่อยู่บนหลัง
ภายใต้อานุภาพอันบ้าคลั่งเช่นนี้ ห้องพิเศษห้องนี้ก็สั่นสะท้านราวกับใบไม้ที่อยู่ท่ามกลางพายุ
“เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก นี่คืออสรพิษสวรรค์ลี้ลับของนิกายปีศาจลี้ลับ”
ทันใดนั้นมีคนจำเงาอสรพิษที่ชายฉกรรจ์ปล่อยออกมาได้ จึงหลุดปากออกมา
ห้องโถงชั้นหนึ่งเงียบลงไปทันที
“สองล้านแปดแสน!” น้ำเสียงดังมาจากมุมห้องอย่างไม่คาดคิด เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
หุ่นนักรบชุดนี้ก็ทำให้เขาใจเต้นไม่หยุด หากซื้อมันติดตัวไว้ ก็เท่ากับว่ามียอดฝีมือระดับผลึกอยู่กับตัว สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ได้ไม่ใช่น้อยๆ
ส่วนพลังจิตอันแข็งแกร่งที่ต้องใช้ในการควบคุมกับคำพูดข่มขู่ของชายหนุ่มชุดเขียวนั้น เขาไม่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มชุดเขียวมีสีหน้าเขียวปัดขึ้นมา เขาจ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านล่างด้วยความอาฆาตแค้น
“อิอิ! คนของนิกายปีศาจลี้ลับอย่างพวกเจ้า ใช้อำนาจบาตรใหญ่ในถิ่นของตนเองจนเคยชิน มาถึงที่นี่แล้วยังจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกผู้อื่นอีกหรือ น่าเสียดายที่เขาไม่ไว้หน้าเจ้าแล้ว” เสียงหัวเราะของหญิงสาวดังมาจากห้องพิเศษฝั่งตรงข้าม น้ำเสียงเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
ชายหนุ่มชุดเขียวได้ยินก็มีสีหน้าอัปลักษณ์ขึ้นมา และหันไปมองชายฉกรรจ์ที่มีเปลวไฟสีดำลอยวนอยู่
ครู่ต่อมาเปลวไฟสีดำเหนือห้องพิเศษก็ระเบิดออกมา แรงกดดันจิตวิญญาณพุ่งไปยังห้องที่นั่งพิเศษที่อยู่ตรงฝั่งข้าม
ขณะเดียวกันผู้อาสุโสชุดดำที่อยู่ด้านข้างหญิงสาวชุดม่วงกลับหัวเราะอย่างเยือกเย็น พอขยับตัวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวอยู่เหนือห้องที่นั่งพิเศษ และสะบัดแขนเสื้อขึ้นมา ทันใดนั้นกลิ่นไออันลึกซึ้งก็พุ่งออกจากร่าง
“ตู๊ม!”
แรงกดดันทั้งสองปะทะกันกลางอากาศจนอากาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พอผู้ฝึกฝนที่มีระดับการฝึกฝนไม่เพียงพอ โดยแรงกดดันปะทะเข้าใส่ ก็รู้สึกหายใจอึดอัดเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง ลำพังแค่อาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งกับพลังเวทอันบริสุทธิ์ ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก
และขณะนั้นเอง กลิ่นไอมหาศาลที่สอดแทรกเข้าไปในพายุบ้าระห่ำ ก็แยกแรงกดดันทั้งสองสายออกมา
ผู้อาวุโสผมขาวหลังเวทีที่ดูเหมือนสะลึมสะลือมาโดยตลอด ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย
“ทั้งสอง การประมูลในครั้งนี้อาศัยกำลังทรัพย์ในการช่วงชิง ในระหว่างการประมูลห้ามใช้พลังต่อสู้กัน นี่เป็นการเตือนครั้งแรก หากฝ่าฝืนอีกล่ะก็ ขอให้ท่านทั้งสองออกจากที่นี่ไปซะ!” ผู้อาวุโสผมขาวค่อยๆ พูดออกมา แต่คำเตือนของเขาใครๆ ก็ฟังออก
“ผู้เฒ่าเฉียว ช่างเถอะ!” หญิงชุดม่วงพูดออกมาเบาๆ
ผู้อาวุโสชุดดำทำเสียงฮึดฮัดแล้วค่อยๆ เก็บกลิ่นไอบนตัว
เปลวไฟดำที่อยู่อีกด้านก็ค่อยๆ หายไป
“เอ๋! ที่แท้ก็เป็นเฉียวจื้ออี ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับผลึกที่มีชื่อเสียง และเป็นคนของตระกูลโอวหยางที่เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในจงโจว” บัณฑิตวัยกลางคนของสำนักเฮ่าหรานนั่งอยู่ในห้องที่นั่งพิเศษทางด้านตะวันออกอย่างสบายใจ แต่สายตาที่ตกอยู่บนตัวผู้อาวุโสชุดดำ กลับเผยแววตกใจเป็นอย่างมาก
“นิกายปีศาจลี้ลับ ตระกูลโอวหยาง คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมาร่วมสนุกในสถานที่เล็กๆ อย่างตลาดฉางหยางด้วย” บัณฑิตหนุ่มที่อยู่ด้านข้างส่ายหน้า และกล่าวด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย
“เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เดิมทีทั้งสองกลุ่มอิทธิพลต่างก็เป็นศัตรูกันมาโดยตลอด ไหนเลยจะไม่ขัดหูขัดตากัน” บัณฑิตวัยกลางคนเก็บสีหน้าตกใจ และหัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา
“หอการค้าเชียนเหมิงไม่อาจดูเบาได้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้หุ่นนักรบของนิกายใหญ่มาได้ อาจารย์อา หุ่นนักรบชุดนี้วิเศษถึงเพียงนี้ พวกเราจะประมูลด้วยหรือไม่?” บัณฑิตหนุ่มไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมของทั้งสองกลุ่มอิทธิพลนี้ แต่กลับถูกหุ่นนักรบกับบนเวทีดึงดูดสายตาไว้
“ไม่ต้องแล้ว หุ่นนักรบชุดนี้ราคาสูงจนเกินไป และไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับพวกเรา ช่างมันเถอะ!” บัณฑิตวัยกลางคนกล่าวอย่างราบเรียบ
…………………………………