ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 553 คัมภีร์อักขระปีศาจ

ต่อมาหลิ่วหมิงก็ไม่ได้โคจรพลังฟื้นฟูพลังเวทต่อแต่อย่างใด แต่กลับตบเอวเพื่อตรวจสอบยันต์เก็บของสองผืนของปีศาจหยินหยางกับชายฉกรรจ์อย่างอดใจรอไม่ไหว

 พอเขาปล่อยจิตสำรวจภายในยันต์เก็บของที่เปล่งแสงสีทองทั้งสองผืน ก็ต้องแสดงสีหน้าดีใจออกมา

 ในยันต์เก็บของของชายหนุ่มชุดเขียวมีหินจิตวิญญาณระดับสูงอยู่สามร้อยกว่า และยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงอยู่สองสามชิ้น

 แม้ว่าอาวุธจิตวิญญาณเหล่านี้จะมีคุณสมบัติไม่เลว แต่ประจักษ์ชัดว่าต้องฝึกฝนพลังสายปีศาจถึงจะแสดงอานุภาพขีดสุดของมันออกมาได้ สำหรับหลิ่วหมิงในตอนนี้มันมีมูลค่าไม่มาก นอกจากหาตลาดที่ห่างไกลแลกหินจิตวิญญาณแล้ว หากนำอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงเหล่านี้ไปลองประทับชั้นจำกัด ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

 นอกจากนี้ในถุงเก็บของยังมีขวดสีดำเล็กๆ ใบหนึ่ง ด้านในมีคัมภีร์ชำรุดหนึ่งเล่มกับเศษกระจกโบราณที่เปล่งแสงแวววาวชิ้นหนึ่ง

 ภายในขวดเล็กสีดำ มีของเหลวสีดำมืดบรรจุอยู่  หลิ่วหมิงไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพียงแต่รับรู้ถึงไอปีศาจลางๆ เท่านั้น แต่ว่ามันแตกต่างจากไอปีศาจแท้เล็กน้อย คิดว่าคงเป็นของที่ใช้สำหรับการฝึกฝนพลังปีศาจบางอย่าง

 ส่วนเศษกระจกโบราณมีขนาดเท่ากับไข่ไก่เท่านั้น มีอักขระสีขาวแปลกประหลาดประทับอยู่ด้านบน และยังเปล่งแสงแวววาวออกมาตลอดเวลา ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่สิ่งของธรรมดา

 แต่นอกจากหลิ่วหมิงจะค้นพบว่ามีกลิ่นไอลี้ลับอยู่บนนั้นลางๆ แล้ว ก็มองอะไรไม่ออกเลย หลังจากเก็บมันเข้าไปเสร็จ เขาก็หยิบคัมภีร์ที่มีสภาพชำรุดขึ้นมา

 ไม่รู้ว่าคัมภีร์เล่มนี้มีอายุกี่ปีแล้ว ปกเริ่มเหลืองเล็กน้อย มุมบางแห่งหายไปหนึ่งชุ่นกว่าๆ และมีรอยฉีกขาดจากตรงกลาง เห็นชัดว่ามันมีแค่ครึ่งเล่มเท่านั้น

 หลิ่วหมิงค่อยๆ เปิดดู แต่กลับค้นพบว่ามีแสงสีดำสลัวๆ เปล่งประกายอยู่ด้านใน อักขระสีม่วงดำจำนวนหนึ่งลอยขึ้นมา ดูเหมือนจะถูกวางชั้นจำกัดบางอย่างไว้

 พอหลิ่วหมิงจ้องมองอย่างละเอียด กลับต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อค้นพบว่าอักขระแปลกประหลาดที่เปล่งประกายเหล่านี้ เหมือนกับอักขระที่ปรากฏบนบาทาปีศาจยักษ์โบราณในเจดีย์กักปีศาจของนิกายหยวนหมัวมาก และเขายังอ่านออกได้ในทันทีด้วย

 ในขณะที่เขาคิดจะอ่านดูอย่างละเอียดด้วยความดีใจนั้น แสงสีดำพลันปะทะเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงดังหวึ่งที่หูทั้งสอง เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะจนเกือบจะล้มลงพื้น

 หลิ่วหมิงรีบปิดคัมภีร์ในทันที หลังจากนั่งเข้าฌานไปได้ราวๆ ครึ่งถ้วยชาแล้ว ถึงค่อยๆ ตั้งสติขึ้นมาได้

 ความคิดวกวนอยู่ในใจของเขาอย่างรวดเร็ว ประจักษ์ชัดว่าชั้นจำกัดบนคัมภีร์โบราณแปลกประหลาดเล่มนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด

 หลิ่วหมิงวางมันไว้ด้านข้าง และหยิบยันต์เก็บของของชายฉกรรจ์ผู้นั้นขึ้นมา

 สิ่งที่ชายฉกรรจ์ระดับผลึกผู้นี้ทิ้งไว้ กลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นอกจากจะมีหินจิตวิญญาณระดับสูงยี่สิบกว่าก้อนแล้ว ก็มีแต่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลางหนึ่งชิ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานะระดับผลึกของเขาเลย

 นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์สีดำเล่มหนึ่ง พอมองผ่านๆ กลับค้นพบว่ามันเป็นวิชาสายปีศาจ แต่ดูธรรมดามาก ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนได้ตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณไปจนถึงระดับผลึกขั้นต้น

 เขาส่ายศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็วางคัมภีร์เล่มนี้ไว้อีกด้านหนึ่ง……

 ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงนับจำนวนของที่ได้มาทั้งหมดแล้ว เขาก็ให้ความสนใจกับคัมภีร์ที่มีอักขระปีศาจโบราณปรากฏออกมา และคิดจะคลายชั้นจำกัดบนนั้น

 วิธีการคลายชั้นจำกัดนี้มีหลายวิธีการ แต่หากไม่อาจคลายได้ถูกวิธี หรือฝืนใช้พลังพลังบีบบังคับล่ะก็ จะทำให้ชั้นจำกัดเกิดความเสียหายได้

 สำหรับคัมภีร์ชำรุดเล่มนี้แล้ว หากหลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทจำนวนมากเข้าไปโดยไม่สนใจผลลัพธ์ล่ะก็ มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะทำให้ชั้นจำกัดระเบิดออกมา แต่คัมภีร์เล่มนี้ก็จะถูกเผาไหม้จนหมด

 หลังจากเขาคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็คิดจะใช้วิธีการบางอย่างที่ค่อนข้างปลอดภัยในการคลายชั้นจำกัดบนคัมภีร์เล่มนี้

 หลิ่วหมิงวางคัมภีร์ไว้บนก้อนหินสีดำตรงหน้า และเปิดมันออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ทำท่ามือปล่อยพลังเวท ไอดำพุ่งออกจากระหว่างนิ้วของเขา หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกลางอากาศแล้ว ก็พุ่งเข้าหาคัมภีร์

 แต่พอไอดำเหล่านี้สัมผัสกับชั้นจำกัดบนพื้นผิว ก็ถูกแสงสีดำดูดเข้าไปด้านในจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 หลิ่วหมิงถอนหายใจเล็กน้อย พอเปลี่ยนท่ามือ ปราณกระบี่ที่มีลักษณะเป็นเกลียวก็พุ่งออกจากปลายนิ้ว และถูกเขาควบคุมให้ค่อยๆ เข้าไปใกล้คัมภีร์ ดูเหมือนเขาคิดที่จะตัดแสงสีดำสลัวๆ ที่อยู่บนนั้นให้ขาดออกจากกัน

 ครู่ต่อมา ได้เกิดฉากน่าประหลาดใจขึ้น

 ปราณกระบี่รูปเกลียวยังไม่ทันได้สัมผัสชั้นจำกัดบนพื้นผิว ก็ถูกแสงสีดำดีดกระเด็นออกมา และพุ่งไปยังผนังด้านหนึ่งของห้องลับ

 “ตู้ม!” รูขนาดใหญ่หนึ่งข้อนิ้วปรากฏบนผนังในทันที

 เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม หลังจากลองดูไปหลายวิธีแล้วแต่ยังไม่ได้ผล หลิ่วหมิงก็ขมวดคิ้วและเงียบขรึมลง

 ดูท่าตอนนี้ เขาคงมีพลังไม่เพียงพอที่จะเปิดดูคัมภีร์เล่มนี้ จึงต้องเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วน เพื่อรอหลังเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ค่อยลองเปิดดูอีกครั้ง

 ……

 ขณะเดียวกัน ท่ามกลางเทือกเขาสูงตระหง่านที่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากตลาดฉางหยางกี่หมื่นลี้

 เทือกเขาสีดำมืดทอดตัวยาวเป็นพันลี้ พายุเย็นสะท้านพัดอยู่ในหุบเขาตลอดเวลา ทำให้ฝุ่นทรายคละคลุ้งเต็มฟ้า

 สถานที่แห่งนี้คือตำแหน่งของนิกายปีศาจลี้ลับที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่

 ภายในถ้ำบนยอดเขาสีดำลูกหนึ่งที่สูงเสียดเมฆ ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีเทาที่มีแขนข้างเดียว กำลังตัวสั่นอยู่หน้าประตูห้องลับแห่งหนึ่งที่ปิดสนิทอยู่

 “เรียนปรมาจารย์อู๋กวง…… ในห้องหนังสือ… คัมภีร์อักขระปีศาจที่ปรมาจารย์นำกลับมาเมื่อสามร้อยปีก่อน หายไปแล้ว” ชายผู้นี้รายงานด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

 “ในเมื่อหายไปแล้ว ยังไม่รีบไปหาอีก” น้ำเสียงเยือกเย็นดังมาจากรอบด้านของชายแขนเดียว

 “ข้าตรวจสอบแล้วพบว่า เมื่อไม่นานมานี้ คุณชายเจ๋อที่ปรมาจารย์รักและเชื่อใจที่สุด ได้เข้าไปในห้องหนังสือหนึ่งครั้ง” ชายแขนเดียวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาตามตรง

 “ไร้ประโยชน์สิ้นดี!”

 น้ำเสียงเดือดเป็นฟืนเป็นไฟดังออกมาจากห้องลับ พายุเย็นสะท้านพุ่งผ่านรอยแยกของประตู พริบตาเดียวก็จมเข้าไปในศีรษะของชายวัยกลางคน

 “ปรมาจารย์……. ไว้……”

 ชายแขนเดียวยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงดัง “ตู้ม!” ศีรษะของเขาระเบิดออกมา สิ่งของสีขาวแดงกระจายเต็มพื้น

 จากนั้นก็มีน้ำเสียงทุ้มต่ำของชายผู้หนึ่งดังมาจากด้านใน

 “เจ๋อเอ๋อร์ช่างเหลวไหลจริงๆ คัมภีร์ครึ่งเล่มนั้นถูกเขียนขึ้นโดยเผ่าปีศาจโบราณ และยังถูกวางชั้นจำกัดร้ายกาจไว้ ต่อให้จะสามารถใช้เคล็ดวิชาคลายชั้นจำกัดได้ สิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นล้วนเป็นอักขระปีศาจแท้ หากไม่ใช่คนเผ่าปีศาจ ไหนเลยจะอ่านเข้าใจได้ ช่างเถอะ! รอเขากลับมาแล้ว ข้าค่อยเก็บมันกลับมาก็แล้วกัน”

 ……

 ตอนเที่ยงวันที่สอง ร้านขายหุ่นที่อยู่มุมถนนทางด้านทิศตะวันตกของตลาดฉางหยาง

 ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีเขียวกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับนักพรตวัยกลางคนอยู่

 “สหายซิน คือหุ่นอันนี้ ท่านลองดูสิว่าสามารถซ่อมแซมได้หรือไม่” ขณะที่พูดชายวัยกลางคนก็หยิบมุกสีเหลืองกลมๆ ที่มีรอยร้าวเล็กน้อยออกจากยันต์เก็บของ

 “สหายเย่ ดูเหมือนว่าหุ่นตัวนี้จะเสียหายไม่น้อยนะ!” นักพรตวัยกลางคนมองดูมุกกลมๆ ในมือแบบผ่านๆ และขมวดคิ้วกล่าว

 “สหายปราดเปรื่องยิ่งนัก ก่อนหน้านั้นข้าได้เผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ทำให้หุ่นตัวนี้ได้รับความเสียหายเล็กน้อย และสูญเสียพลังจิตวิญญาณไป ได้ยินมาว่าสหายซินเชี่ยวชาญสายหุ่น จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียนท่าน” ชายวัยกลางคนถอนหายใจเบาๆ และยื่นมุกกลมๆ ไปให้นักพรตวัยกลางคน

 นักพรตวัยกลางคนรับมุกสีเหลืองมาแล้ว ก็รีบตรวจดูอย่างละเอียด

 ไม่นานเขาก็โยนมุกกลมๆ ขึ้นไปเบาๆ และปล่อยพลังใส่ มุกกลมๆ เปล่งประกายท่ามกลางแสงสีเหลือง พริบตาเดียวก็กลายเป็นหุ่นเกราะทองคำที่สูงจั้งกว่าๆ

 เพียงแต่ว่าในขณะนี้ เกราะทองคำบนตัวของมันบุบสลายเล็กน้อย มีรูขนาดชุ่นกว่าๆ อยู่บริเวณอกซ้ายกับใจกลางระหว่างคิ้วทั้งสอง

 “อยากจะซ่อมแซมหุ่นตัวนี้…… ก็ไม่ยาก เพียงแค่ใช้วัสดุจำนวนหนึ่งปรับแต่งใหม่อีกครั้ง และเปลี่ยนผลึกหินสองสามก้อนก็ได้แล้ว วัสดุเหล่านี้ร้านข้าก็มีพร้อม แต่เกรงว่าคงไม่ใช่ราคาน้อยๆ” นักพรตวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากออกมา

 “เพียงแค่สหายซินซ่อมแซมหุ่นกลับมาเหมือนเดิมได้ ต้องการหินจิตวิญญาณจำนวนเท่าใด ก็พูดออกมาได้เลย” ชายวัยกลางคนได้ยินก็เผยสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็ประสานมือกล่าว

 “ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอยู่ที่ราวๆ สามแสนหินจิตวิญญาณ ความจริงหากสหายเย่เพิ่มอีกแปดหมื่นหรือหนึ่งแสน ก็สามารถซื้อหุ่นธรรมดาระดับของเหลวขั้นปลายได้หนึ่งตัวแล้ว” ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา

 “ข้าคุ้นเคยกับหุ่นตัวนี้แล้ว จึงอยากรบกวนสหายให้ซ่อมมันกลับมาเหมือนเดิมหน่อย” พอกล่าวจบ ชายวัยกลางคนก็ควักหินจิตวิญญาณระดับสูงสามสิบก้อนมาใส่ไว้ในมือนักพรตวัยกลางคน

 ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวมานั่นเอง ครึ่งวันก่อนหน้านี้ เขาไปเยือนร้านหุ่นมาแล้วสามร้าน และใช้หนึ่งแสนกว่าหินจิตวิญญาณทำการซ่อมแซมหุ่นอีกสามตัวที่เกิดความเสียหายเล็กน้อยไปแล้วหนึ่งรอบ เพียงแต่ว่าตัวสุดท้ายนี้เสียหายมากไปหน่อย ด้วยเหตุนี้จึงต้องเสี่ยงอันตรายมาให้ร้านค้าหุ่นที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในตลาดทำการซ่อมแซม

 “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอสหายรออยู่ที่นี่สักครู่ ดื่มชาจิตวิญญาณสักหน่อย ใช้เวลาแค่สองชั่วยาม ข้าก็ซ่อมแซมหุ่นตัวนี้เสร็จ และจะนำมาคืนให้สหาย” นักพรตวัยกลางคนเก็บหินจิตวิญญาณเข้าไปแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา

 จากนั้นหญิงรับใช้คนหนึ่งก็ยกชาเข้ามา และนักพรตวัยกลางคนก็หันตัวเดินไปทางด้านหลังของร้าน

 หลิ่วหมิงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างตั่งวางเครื่องดื่มชา หลังจากจิบชาไปคำหนึ่งแล้ว ก็หลับตาพักผ่อน

 ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ นักพรตวัยกลางคนกลับมาในห้องโถงของร้านอีกครั้ง ในมือถือมุกสีเหลืองกลมๆ อยู่หนึ่งลูก

 “สหายเย่ หุ่นตัวนี้ข้าได้ซ่อมแซมกลับมาดังเดิมแล้ว เชิญตรวจสอบดูเล็กน้อย” ขณะที่พูด นักพรตวัยกลางคนก็โยนลูกกลมๆ ออกไปเบาๆ

 หลังจากแสงสีทองเปล่งประกายผ่านไป หุ่นเกราะสีทองก็ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสอง

 บนตัวของหุ่นในขณะนี้ ไม่มีร่องรอยเสียหายใดๆ ทิ้งไว้เลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว กลิ่นไอของมันฟื้นคืนสู่ระดับของเหลวขั้นปลายอีกครั้ง

 “สหายซินมีฝีมือสูงส่ง ครั้งนี้ต้องขอบคุณสหายมาก” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ

 เขาตบลงบนตัวหุ่นเกราะทองคำสองสามที พอทำท่ามือด้วยมือเดียว มันก็กลายเป็นมุกกลมๆ ก่อนม้วนตัวเข้าไปในแขนเสื้อ

 หลิ่วหมิงพูดคุยกับนักพรตวัยกลางคนอย่างสุภาพสองสามประโยค จากนั้นก็เดินออกจากร้านด้วยสีหน้าพอใจ

 ตอนนี้ได้ซ่อมแซมหุ่นนักรบทั้งสี่จนเสร็จสิ้นแล้ว หลิ่วหมิงจึงรีบหามุมเปล่าเปลี่ยวเพื่อคืนร่างเดิม จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องลับภายในหอร้อยหลอม และศึกษาวิชาหลอมอาวุธต่อ

 แต่สิ่งที่เขาไม่ทราบก็คือ ผ่านไปไม่นานเรื่องที่ปีศาจหยินหยางถูกศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่มาประจำการคนใหม่สังหารนั้น ก็แพร่กระจายไปในตลาดฉางหยางอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ย่อมก่อให้เกิดความฮือฮาไม่น้อย

 …………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset