ภายในตลาด พอคนจำนวนหนึ่งที่รู้จักสถานะแท้จริงของปีศาจหยินหยางได้ยินข่าวนี้ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที มีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มสืบข่าวเกี่ยวท่านฑูตหลิ่วของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่เพิ่งมาใหม่ผู้นี้
ภายในห้องลับของโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสชุดเทากำลังรายงานอะไรบางอย่างให้กับหญิงชุดม่วงเบาๆ
“ช่วงนี้ในตลาดเล่าลือกันว่า เจ้าเด็กนิกายปีศาจลี้ลับที่แย่งประมูลมีดบินตาข่ายกับคุณหนูผู้นั้น แท้จริงแล้วคือปีศาจหยินหยาง หลายวันก่อนถูกศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่มาประจำการคนใหม่สังหารที่ชานเมืองแล้ว” ผู้อาวุโสกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นเจ้าเด็กที่ไม่รู้จักชั่วดีคนนั้น เดิมทีข้ายังคิดที่จะรอให้ปรับแต่งมีดปีกตาข่ายให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยไปคิดบัญชีกับเขา คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนผู้นี้ตัดหน้าไปก่อน” หญิงสาวชุดม่วงชื่นชมเศษกระจกโบราณที่เปล่งแสงแวววาวในมือ พอนางได้ยินเช่นนี้ ก็เพียงแค่เบะปากเล็กน้อย ดวงตางดงามเผยแววเหยียดหยามออกมา
“หากคุณหนูปรับแต่งมีดปีกตาข่ายสำเร็จ กะอีแค่ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายคนหนึ่ง ย่อมไม่มีอะไรที่คู่ควรกล่าวถึง แต่ในเมื่อศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์กล้าสังหารเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ คงมีความกล้าไม่เบา เพราะเบื้องหลังของศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” ผู้อาวุโสฟั่นหนวดและกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
“อืม! แม้ว่าคนผู้นั้นจะหยิ่งยโส แต่ชื่อเสียงของ ‘ปีศาจหยินหยาง’ ก็ไม่ใช่เรื่องลวงแต่อย่างใด ในงานประมูลยังชิงหุ่นค่ายกลสี่ทิศชุดนั้นมาได้ ควรจะมีพลังเพิ่มขึ้นถึงจะถูกต้อง ขอผู้เฒ่าเฉียวไปสืบดูเบื้องหลังของคนผู้นั้นสักหน่อย หากเขาสังหารปีศาจหยินหยางเพียงคนเดียวซึ่งๆ หน้าจริงล่ะก็ เรื่องมันคงไม่ง่ายแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่?” ดูเหมือนคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลโอวหยางผู้นี้จะรู้สึกสนใจหลิ่วหมิงมาก นางหัวเราะเบาๆ และสั่งออกไป
“ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็เดินออกจากห้องลับไป
หลังจากผู้อาวุโสไปแล้ว หญิงสาวชุดม่วงก็ก้มหน้ามองดูเศษกระจกโบราณในมืออีกครั้ง ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
……
สิบกว่าวันผ่านไป ภายในห้องหลอมอาวุธแห่งหนึ่งของหอร้อยหลอม
หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ เหนือค่ายกลสีดำขนาดจั้งกว่าๆ ที่อยู่ตรงหน้า มีแท่งเหล็กสีดำสลัวๆ ขนาดชุ่นกว่าๆ ลอยอยู่
ทันใดนั้น พอเขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ก็เปลี่ยนท่ามือแล้วชี้ไปเหนือค่ายกลในทันที เปลวไฟฟ้าสีฟ้ากลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นจากค่ายกล และกระพริบแค่ทีเดียวก็หายไปในแท่งเหล็กเล็กๆ
ครู่ต่อมา แสงสีฟ้าก็เปล่งประกายบนแท่งเหล็ก ลวดลายจิตวิญญาณสีฟ้าเล็กๆ หนึ่งเส้น ค่อยๆ เลื้อยขยุกขยิกอยู่ด้านข้างลวดลายจิตวิญญาณเจ็ดเส้น และก่อตัวเป็นเส้นค่ายกลเล็กๆ
ไม่นาน ลายค่ายกลเส้นที่แปดก็ปรากฏบนแท่งเหล็กอย่างแจ่มชัด
จากนั้นก็มีเสียงดังกังวานตามมา แสงจิตวิญญาณบนแท่งเหล็กสว่างไสว
นิ้วทั้งสิบของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวอยู่ครู่หนึ่ง แท่งเหล็กหมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นก็ค่อยๆ ร่วงลงบนมือของเขา
เขากวาดสายตามองดูแท่งเหล็กแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็วางมันไว้ด้านข้าง และนำธงเล็กสีเขียวออกมาเตรียมทำการปรับแต่ง
ตั้งแต่ได้สามล้านหินจิตวิญญาณจากปีศาจหยินหยางมาโดยไม่คาดคิด หลิ่วหมิงก็ซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำจากร้านค้าใหญ่เล็กในตลาดมาจำนวนมาก และทำการฝึกฝนหลอมอาวุธอยู่ทุกคืนวัน
แม้เขาจะไม่มีพรสวรรค์ แต่กลับเป็นคนที่มีความสุขุมหนักแน่นมาก บวกกับการซื้ออาวุธจิตวิญญาณมาทดลองทำซ้ำๆ ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่เดือนก็มีความก้าวหน้าไม่น้อย
ตอนนี้หลิ่วหมิงประทับชั้นจำกัดค่ายกลจนมีฝีมือเข้าสู่ระดับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั่วไปแล้ว เพราะคนทั่วไปไม่มีหินจิตวิญญาณมาถลุงใช้อย่างเขา ทั้งยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธสองท่านคอยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วย
แม้ว่าจะยังห่างไกลจากการประทับชั้นจำกัดอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดมาก แต่หลิ่วหมิงเชื่อว่าอีกไม่นานคงเป็นเรื่องที่สบายบรื๋อแล้ว
ขณะที่เขากำลังนำธงเล็กสีเขียวไว้เหนือค่ายกลนั้น พลันมีเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ ดังมาจากแหวนย่อส่วน
เขาลูบแหวนย่อส่วนเบาๆ ในทันที เศษกระจกโบราณแวววาวชิ้นนั้นพุ่งออกมา และเปล่งประกายอยู่กลางอากาศอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งยังเปล่งแสงแวววาวเจิดด้วย
ดวงตาหลิ่วหมิงเผยแววประหลาดใจออกมา เขารีบคว้ามันมาไว้ในมือ และขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็จมดิ่งเข้าสู่ความเงียบ
ขณะเดียวกัน ฉากเช่นเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับผู้ฝึกฝนหลายสิบคนที่อยู่ในระยะหลายหมื่นลี้ และคนเหล่านี้ต่างก็มีเศษกระจกโบราณคนละหนึ่งชิ้นเช่นกัน
พอพวกเขาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างก็มีสีหน้าประหลาดใจ บ้างก็จมดิ่งเข้าสู่ความเงียบเหมือนกับหลิ่วหมิง
……
ท่ามกลางหุบเขาเขียวชอุ่มเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปไม่ไกล ชายฉกรรจ์ที่สูงจั้งกว่าๆ กำลังต่อสู้กับอสูรจิ้งจอกเงินตัวหนึ่งด้วยมือเปล่า
อสูรจิ้งจอกเงินตัวนี้มีเส้นขนเป็นสีขาวราวหิมะ ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงอาทิตย์แลดูงดงามยิ่งนัก มันเป็นวัสดุระดับสูงในการทำเสื้อขนสัตว์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกฝนหญิงแย่งกันซื้อ
อสูรตัวนี้มีพลังแค่ระดับของเหลวขั้นต้น แต่ร่างของมันกลับปราดเปรียวมาก พริบตาเดียว ก็สามารถหลบกำปั้นของชายฉกรรจ์ได้
ขณะนั้นเองมีแสงแวววาวพุ่งออกจากเศษกระจกโบราณบนเอวของชายฉกรรจ์
ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาประหลาดใจระคนดีใจออกมา มีดบินสีม่วงชุดหนึ่งพุ่งยิงออกไป หลังจากค่อยๆ หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นแสงสีม่วงหกลำพุ่งยิงใส่จิ้งจอกเงิน
ขณะเดียวกัน ดวงตาสีม่วงคู่หนึ่งก็เปล่งประกายขึ้นมา จิ้งจอกเงินที่อยู่ไกลออกไปหลายจั้งถูกมันปกคลุมไว้ จนทำให้ความเร็วลดช้าลง
ครู่ต่อมา พอมีเสียง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ดังเข้ามาติดต่อกัน ร่างของจิ้งจอกเงินก็ถูกลำแสงสีม่วงทั้งหกแทงทะลุ หลังจากส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา มันก็ไร้ซึ่งชีวิตแล้ว
ชายฉกรรจ์ดวงตาสีม่วงก็คือจั้งเสวียนนั่นเอง เขาขยับตัวไม่กี่ที ก็มาถึงตรงหน้าจิ้งจอกเงิน หลังจากเก็บมันเข้าไปแล้ว ก็พุ่งกลับไปทางนิกายยอดบริสุทธิ์โดยไม่หันมามองเลย
……
ขณะเดียวกัน ภายในป่าดงดิบเขียวขจีที่อยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปพันลี้ ชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้งกำลังถูกม่านแสงสีเหลืองห่อหุ้มอยู่ เขากำลังเดินทางด้วยความตื่นตระหนกตกใจ พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปไกลยี่สิบถึงสามสิบจั้ง
และห่างจากด้านหลังของเขาไปไม่ไกล ชายหนุ่มชุดผ้าแพรกำลังถือกระบี่จิตวิญญาณสีเขียวอยู่เล่มหนึ่ง และกำลังรีบเดินทางมาด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็น แสงสีเขียวรอบตัวทำให้เห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน ชั่วเวลาเทียบเท่ากับการย่างเท้าหนึ่งก้าว เขาก็พุ่งออกไปไกลยี่สิบถึงสามสิบจั้งแล้ว
ทันใดนั้น ชายหนุ่มชุดผ้าแพรก็หยุดชะงัก และแสงสีเขียวบนตัวก็ดับลง เผยให้เห็นใบหน้าแคบยาว ซึ่งก็คือซาทงเทียนนั่นเอง!
ไม่รู้ว่ามีแสงสีเขียวแวววาวปรากฏอยู่บนตัวตั้งแต่เมื่อใด กระจกโบราณเปล่งประกายไม่หยุด ทันใดนั้นเขาก็แหงนหน้าหัวเราะเป็นการใหญ่ เสียงดังก้องไปทั่วฟ้า จนทำให้ใบไม้ในป่ารอบๆ ด้านร่วงหล่นลงมา
ครู่ต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็หุบลง พอเขาเปลี่ยนเคล็ดกระบี่ กระบี่จิตวิญญาณในมือก็หลุดออกจากมือไป พริบตาเดียวก็ตามชายหนุ่มร่างผอมแห้งที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้งทัน
“ฟัน!”
ซาทงเทียนตะคอกออกมา และชี้ไปทางชายร่างผอมแห้ง จากนั้นเงากระบี่ก็กระพริบผ่านลำคอของชายหนุ่มร่างผอมแห้งไป
ศีรษะที่โชกไปด้วยโลหิตกระเด็นออกมาทันที ด้วยความเร็วของแสงกระบี่ ร่างไร้ศีรษะยังคงวิ่งไปข้างหน้าเจ็ดแปดจั้ง จากนั้นถึงล้มลงพื้น
ท่ามกลางเสียงฮึดฮัด ร่างของซาทงเทียนก็เข้ามาถึง หลังจากเก็บกระบี่บินและหยิบศีรษะขึ้นมาแล้ว ถึงเหยียบเมฆทะยานขึ้นฟ้า และมุ่งหน้าไปทางตลาดฉางหยาง
……
ห้องลับแห่งหนึ่งในห้องหนังสือเฮ่าหรานที่มีหมอกขาวลอยวน บัณฑิตชุดขาววัยกลางคนกำลังนั่งหลับตาอยู่
ทันใดนั้น ก็มีเสียงร้องด้วยความดีใจดังมาจากด้านนอก
บัณฑิตวัยกลางคนลืมตาขึ้นมาทันที เขาเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวหน้าห้องลับที่อยู่ด้านข้าง และสะบัดแขนเสื้อเปิดประตูหินทันที
จะเห็นว่าบัณฑิตหนุ่มกำลังยืนอยู่ใจกลางห้องลับด้วยรอยยิ้ม หลังจากเห็นบัณฑิตวัยกลางคนเดินเข้ามา เขาก็แบมือทันที เผยให้เห็นเศษกระจกโบราณที่เปล่งแสงแวววาวชิ้นหนึ่ง และมันก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ทั้งยังเปล่งแสงแวววาวแปลกประหลาดออกมาด้วย
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเศษกระจกนภาหยกมีการตอบสนองแล้ว เช่นนี้ก็หมายความว่าวังมายานภาหยกกำลังจะถูกเปิดอีกครั้ง ความโชคดีของศิษย์หลานมาถึงแล้ว” บัณฑิตวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยความดีใจ
“ใช่แล้ว อาจารย์อา! ไม่เสียแรงที่ข้าเฝ้ารออยู่ที่ตลาดฉางหยางมาหลายปี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง” บัณฑิตหนุ่มหัวเราะ และเดินออกจากห้องลับตามสีหน้าบ่งบอกของบัณฑิตวัยกลางคน จากนั้นก็เดินออกห้องหนังสือไป
……
คำพูดเช่นเดียวกันก็ออกจากปากผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่ด้านข้างหญิงสาวชุดม่วง
“ไม่เสียแรงที่คุณหนูมาถึงตลาดฉางหยาง ที่แท้โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ท่านทวดเจ็ดกล่าวถึง ก็หมายถึงวังมายานภาหยกนี่เอง” ผู้อาวุโสกล่าวกับหญิงสาวชุดม่วงด้วยรอยยิ้ม
“เดิมทีข้าก็อยากได้เสื้อแสงนภาหยกมานานแล้ว มิเช่นนั้นจะมารออยู่ในตลาดเล็กๆ อย่างตลาดฉางหยางนานถึงสองปีได้อย่างไร จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่พบเจอได้ยากมาก” หญิงสาวชุดม่วงจ้องมองเศษกระจกที่เปล่งประกายแวววาวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นนางก็เก็บเศษกระจกโบราณเข้าไป และเดินออกจากห้องลับไปพร้อมกับเฉียวจื้ออี
……
ครึ่งวันต่อมา ทางด้านตะวันออกที่อยู่ห่างจากตลาดฉางหยางไปสามร้อยลี้
บนทุ่งเปล่าเปลี่ยวที่ไม่มีหญ้าขึ้นเลยสักต้น
พลันมีเคลื่อนสะเทือนกลางอากาศ ทันใดนั้นจุดแสงสีแดงจำนวนมากก็ปรากฏเต็มฟ้า และมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็กลายเป็นดวงอาทิตย์ร้อนแรงดวงหนึ่ง
ผ่านไปซักพัก ดวงอาทิตย์ดวงนี้ก็เริ่มพร่า และระเบิดเสียงดัง “ตู้ม!” อากาศบริเวณนั้นบิดเบี้ยวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นวังสีเขียวสลัวๆ ก็ปรากฏออกมา
วังแห่งนี้สูงร้อยกว่าจั้ง ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากหยกงดงามสีเขียวทั้งหมด ดูประณีตละเอียดอ่อน และแผ่แสงสีเขียวจางๆ ออกมา
ภายใต้การลอยวนของหมอกขาว วังแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นภาพลวงตา มันปรากฏขาดๆ หายๆ แลดูลึกลับยิ่งนัก
พริบตาที่วังสลัวๆ ปรากฏออกมานั้น หลิ่วหมิงกำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในห้องลับบนชั้นสามของหอร้อยหลอม เศษกระจกโบราณที่อยู่ข้างมือกลับเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้าออกมา
เขายังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ แสงสีเขียวก็ประทับอยู่บนแขนของเขา และกลายเป็นอักขระไม่ทราบชื่อที่มีลักษณะเหมือนกับใบไม้สีเขียว
ขณะเดียวกัน ห่างจากเงาวังภายในระยะหมื่นลี้ ผู้ที่มีเศษกระจกโบราณต่างก็ประสบกับเหตุการณ์เช่นเดียวกัน เศษกระจกค่อยๆ กลายเป็นอักขระที่มีรูปร่างเหมือนใบไม้ และประทับอยู่บนแขนของผู้ที่ครอบครองเศษกระจกโบราณ
…………………………………