“ศิษย์น้องกุย ที่หยางเฉียนสามารถผนึกประทับวิชากระสุนไฟได้ เป็นเพราะว่าใช้เวลาตั้งใจฝึกฝนถึงสองปี และการประทับวิชาศรวารีของเจ้าหนูเฉียน กลับเป็นเพราะการเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายในปีก่อน และหลังจากสังหารอสูรเผ่าวารีได้สำเร็จก็ดูดซับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นก็ตาม เจ้าหนูเฉียนนี้ก็เกือบจะเป็นบ้า และเสียชีวิต ต่อมาถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาจารย์อาเยี่ยนลงมือช่วยนางกำราบไว้ได้และสกัดกลั่นเป็นวิชาประทับนี้ เกรงว่าเจ้าหนูเฉียนก็ไม่อาจมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ และศิษย์หลานไป๋เป็นศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณ ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ ถ้าจะบอกว่าเกิดจากการฝึกฝนอย่างยากลำบากก็ดูจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินไป” ในที่สุดศิษย์พี่หวงผู้นั้นก็เอ่ยปากถามออกมาด้วยความสงสัย
“ศิษย์น้องเองก็ไม่ค่อยชัดเจนในเรื่องนี้มากนัก พวกท่านเองก็รู้ว่าข้ากับศิษย์น้องจู และศิษย์น้องจงต่างก็ไม่รับศิษย์ผู้นี้เป็นศิษย์ติดตาม เป็นเพราะว่าปัญหาเรื่องคุณสมบัติของเขา คาดว่าเขาคงจะได้รับโอกาสอันดีในด้านอื่นๆ”
“อยากจะรู้สาเหตุมันก็ไม่ยาก พวกเราก็แค่เรียกศิษย์หลานไป๋มาสอบถามสักหน่อยจะก็รู้เรื่องชัดเจนแล้ว” ฉู่ฉีแห่งสาขาหยินทนทรมานคิดลังเลเล็กน้อย แล้วพลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตามบทบัญญัติที่ปรมาจารย์ได้กำหนดไว้ ไม่ว่าศิษย์ในสาขาจะได้รับโอกาสอันดีใดๆ ล้วนเป็นเรื่องของเขาเอง ผู้อาวุโสอย่างเราไม่สามารถสอบหาต้นสายปลายเหตุได้” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ศิษย์พี่กุยคิดมากไป นี่ไม่ใช่การสอบหาต้นสายปลายเหตุ ถ้าหากศิษย์หลานไป๋เพียงแค่ฝึกฝนเข้าสู่ระดับที่สูง หรือว่าได้รับอาวุธอาญาสิทธิ์ อาวุธจิตวิญญาณต่างๆ พวกข้าย่อมไม่สอบถามอย่างแน่นอน แต่การผนึกวิชาประทับนี้ออกจะดูแปลกประหลาดไปหน่อย หากไม่สอบถามให้กระจ่าง แล้วมีอะไรแปลกประหลาดอยู่ในนั้นจริงๆ เกรงว่ามันอาจไม่ดีต่อนิกายปีศาจก็ได้ อีกอย่างก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ท่านประมุขก็ไม่ใช่ว่าได้อธิบายเรื่องการกลั่นสกัดปราณโลหิตของเกาชงให้พวกเราฟังจนหมดเหรอ?” ฉู่ฉีกลับกล่าวอย่างราบเรียบ
สีหน้ากุยหรูฉวนดูไม่ได้ขึ้นมาในทันที
พอได้ยินเช่นนี้อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็กระซิบกระซาบกันขึ้นมา ในนั้นมีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย
ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ก็คิ้วขมวดขึ้นมา หลังจากผ่านไปสักครู่ ในที่สุดก็ได้เอ่ยปากออกมา
“ศิษย์หลานไป๋ฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว ย่อมไม่สามารถใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีฝึกฝนวิชาได้ถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เรื่องการสอบถามง่ายๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แน่นอนว่าศิษย์น้องกุยก็ไม่ต้องวิตกไป นี่ไม่ใช่การสอบปากคำ เป็นแค่คำถามง่ายๆ จากผู้อาวุโสอย่างเราเท่านั้น ถึงแม้ศิษย์หลานไป๋จะไม่ยอมตอบก็จะไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด”
ได้ยินประมุขนิกายกล่าวเช่นนี้ อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็สบตากันครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
กุยหรูฉวนเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่จำใจตอบตกลง แน่นอนว่าเขาเองก็แปลกใจเหมือนกันที่เห็นหลิ่วหมิงฝึกฝนจนประทับวิชาได้สำเร็จ
ดังนั้นเมื่อมีผู้ท้าสู้อีกคนปรากฏขึ้นบนลานประลอง หูหลิ่วหมิงก็ได้รับคลื่นเสียงที่ส่งมาจากมากุยหรูฉวน
เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็วแล้วก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่แสดงอาการใดๆ พร้อมกับทำท่ามือแสดงวิชาทะยานเวหาแล้วเหาะขึ้นไปบนลานหยก
ศิษย์คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่อาจารย์จิตวิญญาณชุดผ้าดิ้นเหมือนจะได้รับคำบอกกล่าวมาก่อนหน้านั้นแล้วเลยไม่ได้สนใจในเรื่องนี้
“ศิษย์ไป๋ชงเทียนคารวะอาจารย์กุย ท่านประมุข และอาจารย์อาทุกท่าน”
พอหลิ่วหมิงร่อนลงบนลานหยกก็รีบทำการคารวะในทันที
“ชงเทียน เจ้าลุกขึ้นเถอะ! ครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่เลว ไม่คาดคิดว่าจะเข้าไปในสิบอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้ ถ้าหากเจ้ายังสามารถรักษาตำแหน่งต่อไปได้ ข้ากับอาจารย์อาจู และคนอื่นๆ จะต้องให้รางวัลเจ้าอย่างงาม ตอนนี้อาจารย์อาท่านประมุขกับอาจารย์อาท่านอื่นๆ มีเรื่องบางอย่างอยากจะถามเจ้า เจ้าก็ตอบคำถามให้ดีสักหน่อยก็แล้วกัน ถ้าหากไม่สะดวกตอบก็ไม่จำเป็นต้องฝืน” กุยหรูฉวนบอกให้หลิ่วหมิงลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ทราบ! ศิษย์จะตอบทุกอย่างที่ศิษย์รู้” หลิ่วหมิงลุกขึ้นแล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ศิษย์หลานไป๋ช่างเป็นผู้มากปัญญาจริงๆ ไม่ต้องวิตกไป พวกเราเรียกเจ้ามาก็เพียงแค่จะสอบถามสักสองเรื่องเท่านั้น” ประมุขนิกายปีศาจสังเกตดูหลิ่วหมิวครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ไม่ทราบว่าท่านประมุข และอาจารย์อาทั้งหลายอยากจะสอบถามในเรื่องอันใด?” หลิ่วกล่าวอย่างนอบน้อม
“ศิษย์หลานไป๋ ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายไม่ผิดใช่ไหม?” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้าแล้วก็เริ่มเอ่ยปากถามออกมา
“ใช่แล้ว ศิษย์ได้ก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเมื่อไม่นานมานี้” หลิ่วหมิงกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ด้วยร่างที่มีสามชีพจรจิตวิญญาณของเจ้า สามารถใช้เวลาสั้นๆ ฝึกฝนจนถึงเขตแดนนี้ได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เช่นนี้แล้วปกติเจ้าคงจะฝึกฝนอย่างยากลำบาก และใช้เวลาไปไม่น้อยใช่ไหม!” ประมุขนิกายปีศาจถามขึ้นอีกครั้ง
“ใช่แล้ว หลายปีมานี้ศิษย์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกในพลัง” หลิ่วหมิงเอ่ยปากยอมรับออกมา
“ปกติเจ้าใช้เวลานานเท่าไหร่ในการฝึกฝนวิชาคมวายุ?”
“ศิษย์มีเวลาไม่มาก เพียงแค่ใช้เวลาวันละสองชั่วยามในการฝึกฝนวิชาเท่านั้น”
“ดูจากการประลองของศิษย์หลานเมื่อครู่แล้ว คงจะฝึกฝนวิชาคมวายุจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ และสามารถผนึกประทับวิชาได้แล้วใช่ไหม?”
“ศิษย์ผนึกประทับวิชาคมวายุแล้วจริงๆ”
“ในเมื่อเจ้ามีเวลาฝึกฝนไม่มาก แล้วเจ้าทำมันสำเร็จได้อย่างไร” ในที่สุดดวงตาทั้งคู่ของประมุขนิกายปีศาจก็หรี่ลง
อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ก็ฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ศิษย์ไม่เข้าใจความหมายของอาจารย์อาท่านประมุข ขอได้โปรดชี้แนะ?” หลิ่วหมิงเหมือนจะรู้สึกฉงนสนเท่ห์ และไม่เข้าใจในคำถาม
“ศิษย์หลานไป๋ อย่าบอกนะว่าเจ้าเพียงแค่ใช้เวลาฝึกฝนวิชาคมวายุวันละสองชั่วยาม ก็สามารถผนึกประทับวิชาได้เอง!” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ก็คิ้วขมวดขึ้นมา
“ศิษย์ผนึกวิชาประทับเช่นนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงกะพริบตาปริบๆ สีหน้าแสดงออกถึงความไร้เดียงสา
พอได้ยินเช่นนี้ ประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็ตะลึงตาค้างขึ้นมาจริงๆ
“ใช้เวลาฝึกฝนแค่วันละสองชั่วยาม ภายในระเวลาไม่กี่ปีก็สามารถฝึกฝนจนประทับวิชาได้ ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยลูบคางไปมา พลันมีประกายแปลกประหลาดปรากฏขึ้นในแววตา
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” ประมุขนิกายปีศาจตกตะลึง แล้วหันหน้ากลับมาถามโดยฉับพลัน
คนอื่นๆ ก็มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“หรือว่าทุกท่านจะลืมไปแล้วว่า มีร่างจิตวิญญาณในตำนานหลายรูปแบบที่ไม่สามารถตรวจสอบร่างจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ ดูเหมือนจะมีรูปแบบหนึ่งที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้เหมือนกัน” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยยิ้มออกมา
“หรือว่าที่เจ้าพูดถึงคือ ‘ร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์’ ที่ค่อนข้างลึกลับนั่น”
“ไม่ผิด! ว่ากันว่าร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์นี้มีพลังอันเฉียบแหลมที่ไม่สามารถคาดคิดได้ ไม่ว่าเจ้าของร่างจิตวิญญาณนี้จะทำความเข้าใจกับการฝึกฝนพลัง หรือฝึกฝนวิชา ต่างก็รวดเร็วกว่าคนธรรมดาหลายเท่าไปจนถึงสิบกว่าเท่า แต่เสียดายที่ร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์นี้ล้วนฉลาดหลักแหลม ทำให้ไม่สามารถใช้วิธีใดๆ ตรวจสอบออกมาได้ แต่ร่างจิตวิญญาณนี้จะเป็นของจริงหรือไม่นั้น แต่ก่อนนิกายจันทราสวรรค์ หรือนิกายวาตอัคคีต่างก็เคยปรากฏร่างจิตวิญญาณแปลกประหลาดที่คล้ายเคียงกันนี้ ถึงแม้ว่าจะมีพลังเวทย์ธรรมดาแต่บนเส้นทางการฝึกฝนวิชากลับเหนือชั้นกว่าคนธรรมดามาก และแบ่งตามระดับความเร็วในการฝึกฝน ยังสามารถแบ่งออกเป็นสิบปัญญาสวรรค์ ร้อยปัญญาสวรรค์ จนกระทั่งถึงพันปัญญาสวรรค์เลยทีเดียว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยนึกไปด้วยกล่าวไปด้วยอย่างเอาจริงเอาจัง
“พอศิษย์น้องเหลยกล่าวมาเช่นนี้ ข้าเองก็นึกขึ้นได้ว่ามีร่างจิตวิญญาณที่หาได้น้อยเช่นนี้จริงๆ จุ๊ๆ! หรือว่าศิษย์หลานไป๋จะมีร่างจิตวิญญาณอันลึกลับนี้? มิน่าล่ะ! ถึงไม่สามารถตรวจสอบได้ในตอนทำพิธีเปิดจิตวิญญาณในครั้งก่อน” ขณะนั้นก็มีอาจารย์จิตวิญญาณท่านหนึ่งกล่าวออกมาในทันที
“แต่นอกจากฝึกฝนวิชาได้สำเร็จบ้างแล้ว ศิษย์กลับทำความเข้าใจในการฝึกฝนพลังได้ไม่รวดเร็วมากนัก” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็ดูเหมือนจะกล่าวออกมาอย่างลังเล
“ร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์เดิมทีก็เป็นร่างจิตวิญญาณที่ลึกลับเป็นอย่างมาก ถ้ามันจะแตกต่างจากที่เล่าลือก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ใช่ร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์ แต่เป็นร่างจิตวิญญาณที่คล้ายเคียงในรูปแบบอื่นที่ไม่สามารถทราบได้ มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ในโลกการฝึกฝนจะรู้ว่าร่างจิตวิญญาณนั้นมีอยู่มากมาย แต่ก็มีเรื่องที่ยังไม่รู้อีกมาก ถ้าหากพวกเรายึดเป็นกรอบตายตัวในเรื่องนี้ก็จะดูเลอะเลือนไปหน่อย” หลังจากผู้อาวุโสแซ่หวงคิดไปคิดมาแล้วก็หัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว
“ศิษย์พี่หวงกล่าวได้ถูกต้อง ดูท่าเจ้าเด็กคนนี้อาจจะเป็นร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์ หรือร่างจิตวิญญาณในรูปแบบอื่นที่คล้ายเคียงกัน ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ทุกอย่างก็กระจ่างแล้ว ดีมาก! ศิษย์หลานไป๋เจ้าลงไปได้เข้าร่วมการประลองใหญ่ต่อได้แล้ว” ประมุขนิกายปีศาจฟังจบแล้วก็เผยสีหน้าที่ไม่อาจคาดได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในที่สุดก็ยิ้มแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงฟังจบก็มองหน้ากุยหรูฉวนครู่หนึ่ง พอเห็นรอยยิ้มของกุยหรูฉวนที่บ่งบอกว่าอนุญาตให้ไปได้ เขาจึงโค้งคารวะอาจารย์จิตวิญญาณบนลานหยก แล้วขี่เมฆเหาะลงไป
ครู่ต่อมา เขาก็กลับมาสู่บนลานประลองอีกครั้ง และนั่งขัดสมาธิลงไปยังใต้ธงของตนเอง
สีหน้าของหลิ่วหมิงยังคงดูปกติ แต่ในใจกลับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เรื่องราวเกี่ยวกับฟองอากาศลึกลับในร่างที่ดึงเขาเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับนั้น นับว่าเป็นความลับที่เกี่ยวพันถึงชีวิต เขาย่อมไม่อาจให้บุคคลที่สองรับรู้ได้เป็นอันขาด
แต่เพื่อที่จะปิดบังเรื่องการฝึกฝนวิชาที่รวดเร็ว เขาก็ได้คิดหาวิธีการอธิบายไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ร่างจิตวิญญาณที่ไม่อาจทราบได้ เป็นข้ออ้างที่เขาคิดเอาไว้แล้วพอดี
เพื่อเรื่องนี้ เขาจึงไม่เสียดายที่ต้องใช้เวลาในการค้นคว้าหาอ่านคัมภีร์โบราณที่เกี่ยวข้องกับร่างจิตวิญญาณเป็นจำนวนมาก ถึงได้รู้ว่าร่างจิตวิญญาณบางรูปแบบไม่อาจตรวจสอบออกมาได้ ก่อนหน้านั้นเขาถึงได้แสดงออกได้อย่างสงบ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ จะไม่เชื่อทั้งหมด แต่ก็ถือว่ารับมือกับการสอบถามในครั้งนี้ได้อย่างราบรื่น แล้วพวกเขาคงจะไม่คิดสงสัยในตัวเขาอีก
ด้วยเหตุนี้ ต่อไปเขาก็จะสามารถแสดงวิชาในการประลองใหญ่ได้อย่างไม่ต้องกังวลแล้ว
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ การประลองบนลานประลองก็สิ้นสุด และมีผู้ท้าสู้กระโดดขึ้นมาขอท้าสู้กับเขา
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย แล้วรีบลุกเดินไปยังกลางลานประลอง
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงสีเขียวบนมือทั้งสองของหลิ่วหมิงเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด คมวายุแต่ละเส้นพุ่งยิงติดต่อกันออกไปถี่ๆ ราวกับว่าไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทย์
อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเหลือง กำลังถือโล่เหล็กสีดำต้านทานการโจมตีของคมวายุอย่างสุดชีวิต
คมวายุของหลิ่วหมิงไม่เพียงแต่รวดเร็วกว่าคมวายุทั่วไปมาก ทั้งยังมีอานุภาพที่คนทั่วไปไม่อาจคาดถึงได้
คมวายุแต่ละเส้นที่ฟันลงบนโล่เหล็กต่างก็ทำให้ร่างของชายหนุ่มชุดเหลืองสั่นสะท้าน ถึงแม้มืออีกข้างจะถืออาวุธอาญาสิทธิ์อย่างแส้ทองแดงไว้ แต่กลับไม่สามารถกวัดแกว่งมันออกไปได้
สุดท้ายโล่เหล็กก็ถูกคมวายุเส้นหนึ่งฟันเข้าด้วยเสียงดัง “เต้ง!” แล้วมันก็แตกกระจายออกมา
ภายใต้ความตกใจจนหน้าถอดสีชายหนุ่มชุดเหลือง ก็รีบตะโกน “ยอมแพ้!” ออกมาโดยไม่ต้องคิด
หลังจากเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” คมวายุหลายเส้นเฉียดผ่านด้านข้างของชายหนุ่มชุดเหลืองไป ทำให้สีหน้าเขาซีดเผือด และยืนแข็งทื่อโดยไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ
……………………………………….