ขณะเดียวกัน ภายในห้องโถงแห่งหนึ่งที่มีขนาดหลายสิบจั้ง การต่อสู้อย่างดุเดือดราวกับไฟที่โหมไหม้กำลังเกิดขึ้นอยู่
พอมองออกไป ห้องโถงทั้งหลังเต็มไปด้วยเงากระบองสีฟ้าจำนวนมาก แลดูคล้ายกับมหาสมุทรที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
และต้นเหตุของทั้งหมดนี้ มาจากเงาร่างชายผู้หนึ่งที่ถูกแสงสีฟ้าห่อหุ้มและลอยอยู่กลางอากาศ
ชายผู้นี้มีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี มือทั้งสองกำลังถือกระบองจิตวิญญาณสีฟ้าแวววาวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และดูเหมือนจะโบกสะบัดอย่างไม่ใส่ใจ คลื่นเงากระบองที่อยู่ด้านล่างกลับเปลี่ยนแปลงรูปร่างตามจังหวะการโบกสะบัดของเขา
ในขณะเดียวกัน เงาร่างของคนสองคนก็อยู่ท่ามกลางเงากระบองที่โหมซัดสาดอยู่เบื้องล่าง และพยายามเคลื่อนไหวไปมาเพื่อกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณในมือต่อต้านคลื่นยักษ์เหล่านี้อย่างสุดความสามารถ
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งดวงตาเป็นประกายสีม่วง หากหลิ่วหมิงอยู่ในนี้ด้วย จะต้องจำได้อย่างแน่นอนว่า ชายผู้นี้ก็คือจั้งเสวียน ชายหนุ่มต่างเผ่านั่นเอง
ร่างของเขาถูกม่านแสงสีเหลืองห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนา แต่ดูเหมือนม่านแสงจะรับมือกับเงากระบองไม่ไหว จึงดูไม่มั่นคงอยู่รำไร มืออีกข้างก็มีโล่สีเหลืองกลมๆ อันหนึ่งที่สูงเท่ากับคนหนึ่งคน บนนั้นมีรอยกระบองลึกๆ ปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก รอบด้านๆ ก็มีรอยร้าวปรากฏอยู่อย่างหนาแน่น แต่มันกลับไม่ได้แตกกระจายออกมาในทันที
แต่จะเห็นว่าบริเวณที่จั้งเสวียนกวาดสายตามองผ่าน เงากระบองที่พุ่งเข้ามาจะค่อยๆ ลดความเร็วลงในทันที เมื่อร่างของเขาเตี้ยลง ก็พอที่จะหลบเงากระบองไปได้อย่างน่าหวาดเสียว
แต่ครู่ต่อมา เงากระบองอีกด้านก็พุ่งเข้ามาถึง จั้งเสวียนหลบไม่ทัน จึงได้แต่ใช้โล่กลมๆ ในมือต้านทานไว้
“เพล้ง!” “เพล้ง!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน
เกิดรอยกระบองลึกๆ สองสามรอยบนโล่สีเหลืองอีกครั้ง รอยร้าวสองสามแห่งแผ่ขยายออกไปอีกเล็กน้อย
จั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้
แม้อสูรมายาร่างมนุษย์ตรงหน้า จะมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น แต่พลังแข็งแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นยังไม่อาจเทียบได้ และโล่กลมๆ ในมือก็ต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้ไม่กี่ครั้งแล้ว
และพอเขาสูญเสียโล่คอยคุ้มกัน ผลลัพธ์ก็ยากจะคาดเดาได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่มีวิธีการอื่นอีก
และภายใต้เงากระบองที่ปกคลุมเต็มฟ้า แม้เขาจะอาศัยระดับการฝึกฝนที่แข็งแกร่ง ก็พอที่จะต่อต้านได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากคิดจะโจมตีกลับอย่าได้นึกถึงเลย และการหลุดพ้นก็ไม่อาจบรรลุได้
อีกด้านหนึ่ง ผู้ที่กำลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขากลับเป็นชายหนุ่มร่างเตี้ยอ้วนที่สวมชุดคลุมสีเขียว ดวงตาทั้งคู่เป็นสีเขียวมรกต แต่ว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้เร็วร้ายกว่าจั้งเสวียนเล็กน้อย
บนตัวของเขามีบาดแผลเต็มตัว แขนข้างหนึ่งลู่ลงด้านข้าง ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถขยับได้
คนผู้นี้เผยแววตาสิ้นหวังออกมา ขณะนี้ หากไม่ใช่ว่าอาศัยดาบปีศาจสีดำมืดบนมือข้างขวาที่มีคุณภาพไม่เลว กับเกราะอ่อนระดับสุดยอดที่สวมอยู่บนตัวต้านทานไว้ได้อย่างยากเย็นล่ะก็ เกรงว่าคงเสียชีวิตภายใต้เงากระบองจำนวนมากเหล่านี้ไปแล้ว
ทันใดนั้น ดาบปีศาจสีดำมืดในมือก็ถูกยกขึ้นมา จากนั้นดาบสีดำมืดจำนวนมากก็ม้วนตัวออกไปด้วยเสียงที่ดัง “ฟิ้วๆ!” และฟันเงากระบองสีฟ้าจนขาดไปกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงมีเงากระบองจำนวนไม่น้อยทะลักออกจากช่องว่างระหว่างแสงดาบ
ชายหนุ่มอ้วนเตี้ยคำรามเสียงออกมา แสงสีเขียวเปล่งประกายในดวงตาทั้งสอง ทันใดนั้นร่างของเขาก็หมุนวนราวกับลูกข่าง ประจักษ์ชัดว่าเขาจะใช้ร่างที่สวมชุดเกราะอ่อนออกไปรับมือกับเงากระบองตรงหน้า
“เพล้ง!”
พอชายหนุ่มอ้วนเตี้ยปะทะกับเงากระบอง แสงสีเขียวก็เปล่งประกายปกคลุมเงากระบองสีฟ้าไว้ หลังจากแสงสีเขียวดับลง เงากระบองสีฟ้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชายหนุ่มอ้วนเตี้ยกลับมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมามาก ประจักษ์ชัดว่าต่อให้จะมีเกราะอ่อนคอยคุ้มกัน ก็ยังถูกเงากระบองโจมตีไปไม่น้อย
หลังเวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชา ม่านแสงสีเหลืองที่ห่อหุ้มร่างจั้งเสวียนอยู่ก็มืดลง เขารู้สึกโงนเงนเล็กน้อย ขอบโล่กลมๆ ในมือใกล้จะแตกสลายแล้ว
และชายหนุ่มเตี้ยอ้วนก็มีใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ โลหิตไหลออกมาตรงมุมปาก เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ขณะนี้ดวงตาที่เคยสิ้นหวังกลับดูบ้าคลั่งขึ้นมา ดาบปีศาจสีดำมืดในมือฟันออกไปสะเปะสะปะ เห็นได้ขัดว่าสุดที่จะทนได้แล้ว
ขณะนี้ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มที่ลอยอยู่กลางอากาศ จะหมดความอดทนขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายสีฟ้าแวววาว พอร่างของเขาพร่ามัวก็หายไปจากจุดเดิม
จากนั้นคลื่นกระบองด้านล่างที่ม้วนตัวไปทั่วทิศราวกับคลื่นยักษ์ ก็ดูดุดันมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า และม้วนตัวเข้ามาท่ามกลางเสียงแผดร้อง
เงากระบองยังไม่ทันทุบเข้ามาถึง พลังไร้รูปบางอย่างก็ปรากฏออกมารอบด้าน ทำให้รู้สึกราวกับว่าจะบดขยี้ทั้งสองให้กลายเป็นชิ้นเนื้อเละๆ
“เพล้ง!” “เพล้ง!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน
ท่ามกลางคลื่นยักษ์ ชายหนุ่มเคลื่อนไหวจนกลายเป็นเงาร่างสิบกว่าเงา ภายใต้การปรากฏขาดๆ หายๆ เงากระบองก็โจมตีลงบนเงาร่างสีเหลืองและสีเขียวของคนทั้งสองราวกับสายฝนกระหน่ำ
พริบตาเดียว ก็ไม่รู้ว่าจั้งเสวียนและชายอ้วนเตี้ยถูกโจมตีไปตั้งกี่ครั้ง ร่างของพวกเขาถูกหวดตีจนลอยอยู่กลางอากาศ และไม่สามารถร่วงลงมาได้
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เงากระบองจำนวนมากก็กลายเป็นกระบองยาวสีฟ้าอันหนึ่ง และพุ่งกลับไปในมือของเงาร่างชายหนุ่มใบหน้าไร้ความรู้สึก
“ตู้ม!” “ตู้ม!”
จั้งเสวียนกับชายหนุ่มอ้วนเตี้ยถูกหวดจนแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน และร่วงลงพื้นอย่างรุนแรง
ขณะนี้ ม่านแสงคุ้มกันบนตัวจั้งเสวียนได้หายไปนานแล้ว และโล่สีเหลืองกลมๆ ที่ปกป้องร่างเขาอยู่ ก็แตกกระจายจนหาชิ้นส่วนไม่เจอ
การถูกกระบองโจมตีในเมื่อครู่ แม้จะพยายามปกป้องจุดสำคัญเอาไว้ แต่ขณะนี้ไม่รู้ว่ากระดูกทั่วร่างหักไปกี่ท่อน สามารถมองเห็นรอยเว้าลึกๆ แต่ละแห่งได้อย่างชัดเจน ร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
สถานการณ์ของชายหนุ่มอ้วนเตี้ยที่อยู่อีกด้านสาหัสยิ่งกว่า หน้าอกถูกโจมตีจนกลายรูขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าอวัยวะภายในจะถูกทุบตีจนแหลกละเอียด พลังชีวิตที่แผ่ออกมาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
ขณะที่ร่างของทั้งสองตกลงพื้นนั้น ลำแสงสีเขียวสองลำก็ปรากฏบนแขนของทั้งสอง พอลำแสงดับลง ร่างของทั้งสองก็หายไปจากห้องโถง ทิ้งไว้เพียงมุกสีต่างๆ ราวสามร้อยกว่าเม็ด
พอเงาร่างชายหนุ่มโบกมือออกไป มุกเหล่านี้ก็พุ่งมาหาเขา
……
บนพื้นที่รกร้างว่างเปล่านอกวังมายานภาหยก ขณะนี้เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก จำนวนมากคนมีมากกว่าตอนที่วังเปิดไม่น้อย
ขณะนั้นเอง อากาศเหนือพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งที่อยู่นอกวัง มีกลุ่มแสงสีเขียวสองกลุ่มเปล่งประกายออกมา พอแสงดับลงก็มีเงาร่างสีม่วงกับสีเขียวร่วงลงมา
พวกเขาก็คือจั้งเสวียนกับชายหนุ่มอ้วนเตี้ยที่ผ่านการต่อสู้อย่างยากลำบากในก่อนหน้านั้น
พริบตาที่จั้งเสวียนถูกส่งตัวออกมานั้น ก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนสติสัมปชัญญะแล้ว ในระหว่างที่ร่วงลงมา เขาพยายามลืมตาอย่างยากลำบาก หลังจากกระอักเลือดออกมา ก็ค้นพบว่าตนเองถูกส่งออกมานอกวังมายานภาหยกแล้ว ใบหน้าของเขาเผยแววดีอกดีใจออกมาก่อนที่จะตกลงพื้นด้วยเสียงดัง “โครม!” และหมดสติไปอีกครั้ง
ส่วนชายหนุ่มอ้วนเตี้ยที่ร่วงลงมาพร้อมกัน พริบตาที่เขาสัมผัสกับพื้นนั้น พลังชีวิตสุดท้ายก็ล่องลอยออกไปในที่สุด ร่างของเขานอนจมกองเลือดไม่ขยับเขยื้อน เขาตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว
“คน…… คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่เข้าวังมายานภาหยกเป็นคนแรกหรอกหรือ?”
“ดูเหมือนชายอ้วนเตี้ยผู้นั้นจะเป็นศิษย์สายในของพรรคห้าปีศาจแห่งเขาเป่ยเหลียง!”
“จุ๊ๆ! ดูท่าด้านในคงจะอันตรายเป็นอย่างมาก ถูกโจมตีขนาดนี้ไม่ตายก็พิการแล้วล่ะ”
ผู้คนที่มุงดูอยู่มีคนจำจั้งเสวียนกับชายอ้วนเตี้ยได้ และผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบของบันไดห้าสีจำนวนหนึ่ง ยังคงไม่ยอมจากไปเพราะความไม่พอใจ และเริ่มรู้สึกดีอกดีใจในความโชคร้ายของผู้อื่น
ในขณะที่ฝูงชนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น จุดแสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนแขนของจั้งเสวียนและชายหนุ่มอ้วนเตี้ย จากนั้นก็พุ่งออกไปราวกับฝนดาวตก
“มันคือเศษกระจกนภาหยก!”
มีคนร้องออกมาด้วยความตกใจ ผู้ที่เคลื่อนไหวรวดเร็วต่างก็พากันทะยานขึ้นฟ้า พุ่งตามมันไป
ทันใดนั้น สายตาของฝูงชนก็ละออกจากร่างของจั้งเสวียนกับชายอ้วนเตี้ย
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง มีเสียงดังออกมา “ตู้ม!” กลิ่นไอมหาศาลสามสายปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นแสงหลบหลีกสามลำก็เปล่งประกายออกมา พอสายรุ้งสีเขียวกับไอดำพร่ามัวทีหนึ่ง พวกมันต่างก็ม้วนเอาเศษกระจกนภาหยกมาได้คนละชิ้น
และเนื่องจากแสงสีขาวลงมือค่อนข้างช้า จึงไม่ได้อะไรกลับมา
ครู่ต่อมา ระลอกคลื่นปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ หลังจากบิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง เงาร่างทั้งสามก็ปรากฏออกมาพร้อมกัน และเผชิญหน้ากันเป็นรูปสามเหลี่ยม
หนึ่งในนั้นเป็นชายหน้าเขียวที่ดูราวกับผีดิบ ใบหน้าแข็งทื่อ เส้นผมแห้งยาวสยายลงบ่าอย่างไม่ใส่ใจ
อีกคนดูเป็นเด็กชายที่มีอายุไม่เกินสิบสองสิบสามปี ปากแดงฟันขาว สวมชุดสีเทา ที่แท้ก็เป็นทารกเฮ่าเยวี่ยแห่งยอดเขาเมฆาเขียวของนิกายยอดบริสุทธิ์
บนมือของคนทั้งสองต่างก็ถือเศษกระจกโบราณที่ไร้แสง และจ้องมองกันด้วยสายตาเยือกเย็น
ส่วนคนที่สามกลับเอามือไหว้หลัง เขาก็คือผู้อาวุโสผมขาวของ ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของหอการค้าเชียนเหมิงที่ปรากฏตัวในงานประมูลใหญ่ของตลาดฉางหยางนั่นเอง
พอผู้คนที่คิดจะไปตามเศษกระจกเห็นเช่นนี้ ก็พากันถอยกลับไปยังจุดเดิมด้วยความโกรธแค้น
และกลุ่มคนที่เดิมทีส่งเสียงฮือฮาในก่อนหน้านั้น ก็มองหน้ากันทีหนึ่ง
“คิดไม่ถึงว่าสหายเฮ่าเยวี่ยของนิกายยอดบริสุทธิ์ และเจ้าสำนักไต้แห่งสำนักเฮ่าหรานก็มาด้วย ข้าน้อยแซ่หร่วนเสียมารยาทแล้ว” ผู้อาวุโสผมขาวไม่สามารถแย่งชิงเศษกระจกนภาหยกมาได้ แต่ก็ไม่แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมามากนัก ประจักษ์ชัดว่าผ่านการฝึกฝนมาอย่างยอดเยี่ยม เขายังคงกล่าวกับทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
ทารกเฮ่าเยวี่ยกับชายหน้าเขียวจ้องมองกันทีหนึ่ง ในดวงตาของแต่ฝ่ายต่างก็มีร่องรอยของความหวาดกลัว พวกเขาจึงคารวะผู้อาวุโสผมขาวเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
“สหายหร่วนก็มาด้วย หรือว่าจะมาเพราะวังมายานภาหยกเช่นกัน?” ทารกเฮ่าเยวี่ยกล่าว
“ผู้ที่มาสถานที่แห่งนี้ในเวลานี้ มีใครไม่ได้มาเพราะวังมายานภาหยกบ้างล่ะ หรือว่าจะลำบากมาพันลี้เพื่อร่วมสนุกเท่านั้นหรือ?” ผู้อาวุโสผมขาวยังไม่ทันเอ่ยปาก ชายหน้าเขียวก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น และพูดประชดออกมา
“สหายไต้กล่าวได้ถูกต้อง ไม่รู้ว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนในเมืองเสวียนหยวน ใครเป็นคนใช้แปดล้านหินจิตวิญญาณซื้อศิลาดำลี้ลับมา ทั้งยังดีใจตั้งครึ่งค่อนวัน สำหรับตอนนั้นแล้ว คนผู้นี้คงไม่ได้มาร่วมสนุกเท่านั้น” พอทารกเฮ่าเยวี่ยได้ยิน ก็ไม่โกรธแต่อย่างใด แต่กลับหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
………………………………