“เจ้าเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ทำไม่ถึงไม่รู้จักคนผู้นี้? เขามีระดับของเหลวเพียงหนึ่งเดียวที่กลายเป็นศิษย์สายตรงของนิกายยอดบริสุทธิ์ในระยะเวลาหมื่นปีมานี้ และก็จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของศิษย์สายตรงนิกายยอดบริสุทธิ์ในปัจจุบัน เจ็ดร้อยปีก่อนเขาก็เคยบุกวังมายานภาหยก คิดไม่ถึงว่าเงาร่างมายานี้จะลอกเลียนแบบเขามา มิน่าถึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้” หญิงสาวชุดม่วงเห็นว่าหลิ่วหมิงไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย นางก็เผยสีหน้าแปลกใจออกมา และพูดออกมาตรงๆ โดยไม่ใช้วิชาส่งเสียง
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
แต่เขายังไม่ทันตอบอะไรกลับไป ชายหนุ่มครึ่งปีศาจก็พุ่งเข้ามาถึงบริเวณที่ทั้งสองอยู่ และทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา
“ไม่เพียงแต่เท่านี้ คนผู้นี้ยังเคยแลกมือกับปรมาจารย์เทียนเซี่ยง ทั้งยังล่าถอยมาได้อย่างปลอดภัย ต่อให้เป็นเงาร่างระดับของเหลว พวกเราทั้งสามร่วมมือกันก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา และเขาก็เป็นผู้บุกวังนภาหยกในปีนั้นเพียงหนึ่งเดียวที่เดินทางมาจนถึงตอนท้ายได้ ผู้บุกวังคนอื่นๆ ต่างก็ถูกเขาทำให้ได้รับบาดเจ็บ และถูกส่งออกไปนอกวังโดยตรง”
หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ ก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมา
คิดไม่ถึงว่าคนระดับนี้จะมาจากนิกายเดียวกับเขา แต่ตนเองก็เข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาสองปีกว่าแล้ว เหตุใดถึงไม่รู้จักชื่อเสียงของคนผู้นี้
“สหายทั้งสอง มีคนผู้นี้อยู่ หากพวกเราทั้งสามจะแยกกันหลบหนี เกรงว่าคงถูกเขาโจมตีได้ อย่างเบาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถูกเตะออกจากวังมายานภาหยกไป อย่างหนักก็เกรงว่าอาจจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่หากเราสามคนเดินทางด้วยกันล่ะกัน เวลาพบเจอกับอันตรายยังพอจะช่วยกันรับมือได้บ้าง อีกอย่างการทดสอบในวังมายานภาหยกก็เหลือเวลาแค่ราวๆ หนึ่งวันแล้ว เพียงแค่ยืนหยัดให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ พวกเราก็สามารถถอยไปได้อย่างปลอดภัย” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
พอหลิ่วหมิงกับหญิงสาวชุดม่วงได้ยินก็สบตากันทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ
ดังนั้นทั้งสามจึงผลัดเปลี่ยนกันต้านทานแสงกระบี่ตรงด้านหลัง และหลบหนีต่อ
จะว่าไปก็น่าแปลก ดูเหมือนว่าเวลาที่เงาร่างจินเลี่ยหยางเผชิญกับผู้แข็งแกร่ง ก็จะแข็งแกร่งตามไปด้วย เผชิญกับผู้อ่อนแอก็จะอ่อนแอตามไปด้วย ขณะที่ทั้งสามหลบหนีนั้นกลับไม่ลงมือสังหารแต่อย่างใด เพียงแค่ตามไล่มาตลอดทาง และสะบัดแสงกระบี่ออกไปด้านหน้าอยู่เป็นระยะๆ ดูเหมือนจะบีบให้ทั้งสามทำการต้านทาน เพื่อสิ้นเปลืองพลังเวทของทั้งสาม
ในระหว่างเวลานี้ ทั้งสามเคยพบเจอกับผู้บุกวังสองคนในก่อนหน้านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย จึงปล่อยอาวุธจิตวิญญาณเพื่อรับการโจมตีวิชาขี่กระบี่ของเงาร่างชายหนุ่มโดยตรง
สุดท้ายหนึ่งในนั้นที่นำโล่จิตวิญญาณออกมาก็ถูกฟันจนแตกกระจาย ภายใต้สถานการณ์ลุกลี้ลุกลน เขานำยันต์ป้องกันออกมาหลายผืน จึงถูกเตะออกไปนอกวังด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส
อีกคนก็ดูเหมือนจะไม่ได้โชคดีถึงขนาดนั้น อาวุธจิตวิญญาณในมือรวมถึงปราณแกร่งคุ้มร่างถูกปราณกระบี่ฟันจนขาด ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีทอง เขาก็ถูกฟันเป็นสองส่วนก่อนถูกส่งออกนอกวังไป
หลังจากทั้งสองถูกสังหารแล้ว ก็ทิ้งไว้เพียงมุกนภาหยกที่ร่วงเต็มพื้น “ฟู่!” เงาร่างชายหนุ่มดูดมันเข้าไปทั้งหมด
เวลาต่อมา ทั้งสามอยู่ในห้องที่ไม่มีที่สิ้นสุด และพบเจอกับผู้บุกวังคนอื่นๆ อีกหลายคน และก็ไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีจากเงาร่างมายาของจินเลี่ยหยางได้ จึงพากันได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วถูกเตะออกไปนอกวัง
มาถึงเวลาครึ่งวันสุดท้าย แสงกระบี่ที่ชายหนุ่มชุดสีทองโบกสะบัดออกมาก็ดูถี่ขึ้น จนกระทั่งถึงเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้าย ก็ดูเหมือนว่าจะมีแสงกระบี่สีทองพุ่งเข้ามาทุกๆ สิบอึดใจ
ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสามแอบร้องทุกข์อยู่ไม่หยุด ก็ทำได้แค่ดูดซับหินจิตวิญญาณ กลืนกินโอสถอย่างบ้าคลั่ง และผลัดกันปล่อยอาวุธจิตวิญญาณในมือออกไปต้านทานการโจมตี
ภายใต้การโจมตีของแสงกระบี่สีทอง นอกจากมีดบินปีกตาข่ายในมือหญิงสาวชุดม่วงจะต้านทานได้เล็กน้อย และถูกเก็บกลับมาโดยที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แล้ว อาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อย อย่างหนักก็ถูกฟันเป็นสองส่วน อย่างเบาก็สูญเสียซึ่งพลังจิตวิญญาณ
หลังจากที่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดในมือชายหนุ่มเผ่าปีศาจต่างก็สูญเสียพลังจิตวิญญาณไปมากแล้ว เขาก็กัดฟันหยิบอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงโดยทั่วไปออกมาไม่น้อย และกระตุ้นให้มันระเบิดตัวออกมา เพื่อลดทอนอานุภาพของแสงกระบี่สีทองไว้ชั่วคราว
และหลังจากหลิ่วหมิงนำอาวุธจิตวิญญาณสองสามชิ้นสุดท้ายในแหวนย่อส่วนออกมา และทำให้มันระเบิดแล้ว เขาก็จำต้องนำถุงมือสีดำข้างที่ปีศาจหยินหยางทิ้งไว้ออกมา และอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงอื่นๆ ก็ค่อยๆ ถูกนำออกมา ส่วนกระบี่สีแดงก็สลายไปพร้อมกับแสงกระบี่สีทองในช่วงเวลาสุดท้าย
ขณะที่ในมือหลิ่วหมิงเหลือแค่ทรายทองคำร่วงและของอื่นๆ นั้น ก็ยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดของปีศาจหยินหยางกับชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ราวกับเจดีย์เหล็กในก่อนหน้านั้น ขณะที่กำลังลังเลว่าจะรับมือกับการโจมตีอันรุนแรงของชายหนุ่มชุดสีทองอย่างไรนั้น อากาศรอบๆ ตัวเขาก็สั่นสะท้านเบาๆ
จากนั้นก็มีเสียงดังก้องจนหูจะหนวก เงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองที่อยู่ด้านหลังกลายเป็นหมอกควันสีขาวหายไปจากที่เดิมในฉับพลัน แสงกระบี่สีทองแต่ละสายที่เข้ามาถึง ก็หายไปในพริบตา
“เวลาในการทดสอบได้หมดลงแล้ว” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจเห็นเช่นนี้ ก็หยุดแสงหลบหลีกลง และกล่าวด้วยความดีใจ
แม้หญิงสาวชุดม่วงที่อยู่ด้านข้างจะมีสีหน้าซีดขาวผิดปกติ แต่ก็ถอนหายใจยาวออกมาเช่นกัน
และหลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังเวทภายในร่างที่ใกล้จะแห้งเหือด ยังไม่ทันเอ่ยปากก็รู้สึกว่ามีแสงสีขาวเจิดจ้าปรากฏตรงหน้า ครู่ต่อมาก็ค้นพบว่าตนเองมาอยู่ในห้องโถงแปลกหน้าแห่งหนึ่ง และด้านหน้ายังมีแท่นบูชาสีเขียวสลัวๆ ตั้งโดดเดี่ยวอยู่
หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย พอกวาดสายตาดูสถานการณ์รอบด้าน ก็ค้นพบว่าชายหนุ่มครึ่งปีศาจกับหญิงสาวชุดม่วงไม่ได้อยู่บริเวณนั้นแล้ว ตอนนี้เขาจึงสังเกตแท่นบูชาตรงหน้าอย่างละเอียด
แท่นบูชานี้สูงแค่สองสามจั้ง ม่านแสงสีฟ้าลอยอยู่ด้านบน มีชื่ออาวุธเวท โอสถจิตวิญญาณ และวัสดุจิตวิญญาณต่างๆ เขียนอยู่บนนั้น แต่ละตัวล้วนมืดมิดไร้แสง
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอปล่อยพลังจิตไปสัมผัสม่านแสง กลิ่นไอไม่คุ้นเคยก็พุ่งออกจากบนนั้น
ที่แท้แท่นบูชานี้ก็คือสิ่งที่บรรพบุรุษของวังนภาหยกสร้างขึ้นมาเพื่อมอบรางวัลให้กับผู้ที่ผ่านการทดสอบ สามารถใช้มุกนภาหยกในมือแลกกับของล้ำค่าต่างๆ บนแท่นบูชา แต่การเข้าวังในแต่ละครั้ง สามารถเลือกของล้ำค่าได้เพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น
แถวบนสุดล้วนเป็นอาวุธเวทต่างๆ ในสมัยบรรพกาล บางอย่างแค่ได้ยินชื่อก็ทำให้หลิ่วหมิงกลืนน้ำลายแห้งๆ จนตาแดงแล้ว และพอพลังจิตสัมผัสกับอักขระที่เกี่ยวข้อง ก็จะมีการแนะนำง่ายๆ ปรากฏในสมอง
ในนั้นมีมีระฆังราชาบูรพา ที่ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล พื้นผิวเรียบง่ายและมีสีเหลืองเข้ม มีลวดลายจิตวิญญาณปกคลุมอยู่เต็มพื้นผิว เป็นสมบัติของวังมายานภาหยกนี้ อานุภาพของมันแข็งแกร่งจนยากที่จินตนาการได้
อาวุธเวทอีกชิ้นคือกระจกรวมอัคคี สูงราวๆ สามฉื่อ กรอบเป็นทองสัมฤทธิ์ มีอักขระโบราณเลี่ยมฝังอยู่ด้านบน พอมองดูก็เหมือนกระจกธรรมดาบานหนึ่ง แต่ทว่ากลับมีความสามารถในการกลืนฟ้าดินได้อย่างน่าหวาดกลัว
หลิ่วหมิงตั้งสติในทันที เขารู้ดีว่าที่ไม่มีใครเอาอาวุธเวทเหล่านี้ไปตั้งแต่สมัยบรรพกาลมาจนถึงบัดนี้ ดูท่าคงจะแลกได้ยากยิ่งนัก ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถพิจารณาได้
ดังนั้นเขาจึงหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นก็กวาดสายตามองลงไปด้านล่าง
แถวที่สองก็เป็นต้นแบบอาวุธเวทต่างๆ ที่มีสามสิบหกชั้นจำกัด เช่น ดาบ หอก กระบอง กระบี่ แม้กระทั่งเครื่องมือใช้สอยสมัยบรรพกาลที่ได้หายสาบสูญไปในปัจจุบัน ล้วนมีหมด
แม้จะบอกว่าไม่สามารถเทียบกับอาวุธเวทได้ แต่หากวางอยู่ในแผ่นดินจงเทียน ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้คนพากันแย่งชิง
หลังจากมองดูสิ่งของบนนั้นแล้ว หลิ่วหมิงก็กวาดสายตาดูแถวที่เหลือแบบผ่านๆ
แต่จะเห็นว่าแถวที่สามเป็นโอสถจิตวิญญาณ แร่วัสดุอื่นๆ ที่พบเจอได้น้อยมากในรอบพันปีมานี้ และอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีคุณสมบัติพิเศษและพบเจอได้น้อย
แถวที่สี่ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดกับวัสดุมีชีวิตที่ผู้ฝึกฝนในสมัยบรรพกาลใช้กัน และแถวที่ห้าลงมาคืออาวุธจิตวิญญาณกับวัสดุที่สามารถหาซื้อได้ในตลาด แถวสุดท้ายมีแม้กระทั่งหินจิตวิญญาณ
ขณะนี้ แหวนย่อส่วนบนมือหลิ่วหมิงมีมุกนภาหยกสีต่างๆ หลายร้อยเม็ด ทันใดนั้นเขาก็นำมันออกมาวางไว้ในหลุมลึกขนาดชุ่นกว่าๆ ตรงหน้าแท่นบูชา
ไม่นาน อักขระแถวสุดท้ายบนม่านแสงสีฟ้าก็เปล่งประกายขึ้นมา
จากนั้นเขาก็นำมุกนภาหยกหลากสีที่เหลือวางลงไปในหลุม หลังจากมุกนภาหยกกระพริบหายไปแล้ว รายชื่อแต่ละแถวบนม่านแสงก็ค่อยๆ เปล่งประกายออกมา
สุดท้ายพอมาถึงแถวที่สี่ มันก็หยุดชะงักลง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ประจักษ์ชัดว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับสิ่งของในแถวที่สี่
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ นำมุกสีทองของอสูรมายาระดับผลึกขั้นปลายออกมาอย่างระมัดระวัง และวางลงในหลุม
แสงสีทองกระพริบผ่านไป ในที่สุดรายชื่อบางอย่างในแถวที่สามก็สว่างขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตกใจระคนดีใจออกมา หลังจากรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่งแล้ว ถึงใช้จิตรับรู้กวาดดูรายชื่อวัสดุอาวุธจิตวิญญาณบนแถวที่สาม
หลินจือพันชั้น สมุนไพรจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่พบเจอได้น้อยมาก พบเจอแค่ในทุ่งกว้างเปล่าเปลี่ยวเท่านั้น เป็นเพราะว่าทุ่งกว้างเปล่าเปลี่ยวจะมีพายุหยินโจมตีตลอดปี ในรอบพันปีจะมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่พายุเย็นอ่อนกำลังลง ถึงสามารถเข้าไปเก็บได้ ด้วยเหตุนี้สมุนไพรชนิดนี้ต่างก็มีอายุราวๆ พันปี ซึ่งเป็นหนึ่งในวัสดุที่จำเป็นสำหรับการเตรียมระดับของเหลว
ฝุ่นแสงทมิฬ วัสดุเสริมในการหลอมอาวุธเวท หากเพิ่มวัสดุนี้ในขณะหลอมอาวุธเวทล่ะก็ สามารถทำให้อาวุธเวทโปร่งใสภายในร้อยวัน ทำให้ผู้อื่นป้องกันไม่หวาดไม่ไหว
เรือเหาะสายรุ้ง……
หลังจากเลือกดูอย่างละเอียดแล้ว ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เลือกเตาหลอมโอสถที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดมาชิ้นหนึ่ง ‘เตาหลอมลิ่วเสิน’
จากคำแนะนำ เตาหลอมนี้เป็นเตาหลอมที่ปรมาจารย์ที่มีชื่อว่า ‘ลิ่วเสินเจินเหริน’ เคยใช้มาก่อน ท่านได้เพิ่มค่ายกลชั้นจำกัดพิเศษบางอย่างไว้ โดยทั่วไปสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการปรุงโอสถได้มากถึงสองส่วน แม้กระทั่งบางครั้งยังอาจจะยกระดับความบริสุทธิ์ของโอสถได้
บวกกับอาวุธจิตวิญญาณประเภทเตาหลอมโอสถนี้ เดิมทีก็พบเจอได้ในโลกภายนอกได้น้อยมาก ยิ่งเป็นระดับสุดยอดยิ่งเป็นสิ่งที่ยากจะพบเจอได้ ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงจึงเลือกของสิ่งนี้
เขาใช้นิ้วแตะม่านแสงสีฟ้าเบาๆ จากนั้นเตาหลอมสีเขียวหยกเล็กๆ ที่มีสูงจั้งกว่าๆ ก็ก่อตัวขึ้นบนแท่นบูชา และลอยเข้ามาในมือของเขา
ขณะเดียวกัน แท่นบูชาตรงหน้าก็บิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหายไปอย่างไรร่องรอย
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงสังเกตเตาหลอมเล็กๆ ในมืออย่างละเอียด
พื้นผิวเตาหลอมถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายจิตวิญญาณหกสี ได้แก่แดง เหลือง เขียว ดำ ฟ้า ม่วง ทั้งยังทำให้รู้สึกถึงความบ้าระห่ำ คงเป็นลวดลายจิตวิญญาณบางอย่างในสมัยบรรพกาล
ด้านในก้นเตาหลอมมีค่ายกลเล็กๆ ขนาดฉื่อกว่าๆ มันเปล่งแสงสีทองจางๆ ออกมา
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วก็ปล่อยพลังเวทใส่
เตาหลอมหมุนตัวติ้วๆ จากนั้นก็ลดขนาดลงและหายเข้าไปในแหวนย่อส่วน
………………………………