หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนไม่นับว่ามีความสนิทสนมกันมาก แต่เพราะว่าเคยร่วมมือต่อสู้กับศัตรูมาครั้งหนึ่ง ย่อมไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้าแต่อย่างใด
หลังจากทั้งสองสนทนากันสองสามประโยคแล้ว จั้งเสวียนก็ลาจากไป
หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็เหยียบเมฆดำพุ่งไปทางตลาดฉางหยาง
……
ครึ่งเดือนกว่าต่อมา ศิษย์พี่ซูที่ประจำการหอร้อยหลอมแต่เดิมก็กลับมาก่อนกำหนด หลังจากหลิ่วหมิงส่งมอบช่วงต่อให้เขาแล้ว ก็ไปที่ร้านค้าของเผ่าค้างคาวอีกครั้ง เขาใช้โอสถผลึกเย็นแลกผลผลึกเขียวมาจำนวนมาก จากนั้นก็ออกเดินทางกลับนิกายยอดบริสุทธิ์
สิบกว่าวันต่อมา หลิ่วหมิงเดินออกจากค่ายกลส่งตัวในวิหารหินที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาหมื่นวิญญาณ หลังจากมองดูทิวทัศน์ที่คุ้นเคยแล้ว ก็เหาะจากไปด้วยรอยยิ้ม
ไม่นานเขาก็ไปที่หอลี้ลับอีกครั้ง หลังจากส่งมอบภารกิจแล้ว ก็ขี่เมฆมายังหอความเป็นความตาย เพื่อส่งมอบศีรษะปีศาจหยินหยาง
แม้ว่าใบหน้าของศีรษะใบนี้จะกลับมาเป็นใบหน้าของชายหนุ่มแล้ว แต่ไม่รู้ว่าผู้ดำเนินการในหอความเป็นความตายใช้เคล็ดวิชาอะไร ถึงทำให้ศีรษะของชายหนุ่มกลับมาเป็นใบหน้าของปีศาจหยินหยางอีกครั้ง
หลังจากผู้ดำเนินการยืนยันสถานะที่แท้จริงของศีรษะใบนี้ได้แล้ว ย่อมเผยสีหน้าตกใจออกมา และมอบรางวัลเป็นแต้มคุณูปการให้หลิ่วหมิงสามหมื่นแต้ม
……
“พี่หลิ่ว ไม่เจอกันนานเลย!”
พอหลิ่วหมิงกลับถึงอากาศบริเวณสาขาห่านฟ้า และกำลังจะกลับไปยังยอดเขาที่เป็นถ้ำที่พักของตนเองนั้น กลับพบเจอกับผู้ที่เหาะมาตรงหน้า
ซึ่งก็คือเยี่ยนหมิงนั่นเอง
“ที่แท้ก็เป็นพี่เยี่ยนนั่นเอง ทำไมถึงไม่เห็นศิษย์น้องเสวี่ยอวิ๋นล่ะ?” หลิ่วหมิงย่อมหยุดเหาะ และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“พี่หลิ่วพูดอะไรกัน ศิษย์น้องเสวี่ยกำลังฝึกฝนอยู่ในถ้ำที่พักของตนเอง ข้าได้ยินมาว่าหนึ่งปีกว่าๆ มานี้พี่หลิ่วไปทำภารกิจด้านนอก แม้แต่งานประลองเล็กก็ไม่เข้าร่วม” เยี่ยนหมิงได้ยินก็กล่าวด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ
“ก่อนหน้านั้นข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการเล็กน้อย มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เวลาครึ่งปีกว่าๆ นี้ เขาอยู่ในตลาดฉางหยางมาโดยตลอด นับๆ เวลาดูแล้ว งานประลองเล็กได้สิ้นสุดลงเมื่อไม่นานมานี้
“ใช่สิ! พี่หลิ่วอาจจะยังไม่รู้ ถ้ำที่พักของท่านมีปราณจิตวิญญาณหนาแน่น เดิมทีก็เป็นหนึ่งในรางวัลของงานประลองเล็ก หลังงานประลองเล็กเสร็จสิ้น จึงได้มอบให้กับศิษย์พี่หลัวเกิ่งที่ได้อันดับที่ห้าแล้ว” เยี่ยนหมิงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นในฉับพลัน
หลิ่วหมิงได้ยินก็อึ้งไปทันที ตอนที่เข้ามาในนิกาย ศิษย์ที่พาเขามาเลือกถ้ำที่พัก ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้จริงๆ
แม้ตอนนี้เขาจะมีโอสถจิตวิญญาณต่างๆ ที่ช่วยในการฝึกฝน แต่ปราณจิตวิญญาณภายในถ้ำแห่งนี้ ยังคงมีประโยชน์ต่อเขามาก เขาย่อมไม่ละทิ้งไปเช่นนี้อย่างแน่นอน
ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็สอบถามเรื่องนี้อย่างละเอียดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็เอามือกอดอกแล้วเหาะจากไป
เยี่ยนหมิงจ้องมองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงที่จากไปไกลๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด ในที่สุดก็พูดพึมพำออกมา
“ไม่เจอกันแค่ระยะเวลาสั้นๆ กลิ่นไอของศิษย์น้องหลิ่วผู้นี้กลับลึกล้ำจนยากจะคาดเดาได้ หลัวเกิ่งผู้นั้นก็เป็นผู้ที่เก่งกาจผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสองใครจะเหนือกว่าใครหนึ่งขั้น?”
หลังจากพูดจบ เยี่ยนหมิงก็รีบเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
……
ขณะที่หลิ่วหมิงมาถึงหน้าถ้ำที่พักของตัวเองนั้น ประตูหินดันปิดสนิท แต่ดูเหมือนว่าชั้นจำกัดบนนั้นไม่ได้ถูกเปิดออกมา
หลิ่วหมิงพักอยู่ในถ้ำแห่งนี้มาหลายปี และก็คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มาก พอสังเกตดูเล็กน้อยก็รู้ว่ามีคนอยู่ด้านใน
“ปังๆ……”
หลิ่วหมิงใช้นิ้วเคาะประตูหินเบาๆ
ไม่นานประตูหินก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน ชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลเดินออกมาจากในนั้น หลังจากมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็ขมวดคิ้วถามออกไป
“เจ้าเป็นใคร? มีเรื่องอะไร?”
เห็นได้ชัดว่าเขามีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ถูกรบกวน
“ข้าน้อยหลิ่วหมิง ท่านคงเคยได้ยินชื่อข้า” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างสงบ
“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นเจ้า ผู้ที่ครอบครองถ้ำแห่งนี้ในก่อนหน้านั้น!” หลัวเกิ่งรู้สึกอึ้งในตอนแรก แต่ก็หรี่ตามองออกไปอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงสุภาพกลายเป็นเย็นชาอย่างหาที่เปรียบมิได้
“ในเมื่อศิษย์พี่รู้จักข้า ก็คงจะเดาได้ว่าข้ามาเพราะเหตุใด ข้าอยู่ที่ถ้ำนี้มาหลายปี และคุ้นเคยกับมันแล้ว ไม่ทราบว่าศิษย์พี่จะยอมคืนถ้ำให้กับข้าหรือไม่ ข้ายินดีจ่ายสามแสนหินจิตวิญญาณเป็นค่าชดเชย” หลิ่วหมิงถามอย่างราบเรียบ
“ฮึ! สำหรับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวแล้ว สามแสนหินจิตวิญญาณนับว่าเป็นทรัพยากรจำนวนมาก เพียงพอที่จะซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่ไม่เลวมาได้หนึ่งชิ้น แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ขาดแคลนหินจิตวิญญาณ ข้าพอใจกับถ้ำนี้มากไม่คิดจะมอบให้กับใคร” หลัวเกิ่งได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา และปฏิเสธกลับไปอย่างไม่ลังเล
“ห้าแสนหินจิตวิญญาณล่ะ?” หลิ่วหมิงยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน
“ฮึ! ศิษย์น้องหลิ่วมีสมบัติมากมายจริงๆ แต่ข้าแนะนำให้เจ้าไปหาถ้ำอื่นแต่โดยเร็วเถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวดึกแล้วจะไม่มีที่อยู่” หลัวเกิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไป
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว ขอเชิญพี่หลัวไปพบกันที่ลานประลองเถอะ!” หลิ่วหมองเลิกคิ้วแล้วกล่าวออกมา
“เจ้าพูดอะไร!” หลัวเกิ่งได้ยินก็ชะงักฝีเท้า และหันกลับมาในทันที สายตาดูเคร่งขรึมอย่างถึงขีดสุด
“ตามกฎของศิษย์สายนอก ศิษย์แต่ละคนที่ไม่ได้เข้าร่วมประลองเล็กเพราะติดภารกิจของนิกาย ภายในระยะเวลาครึ่งปีก็มีสิทธิ์ท้าสู้ศิษย์ที่ติดสิบอันดับแรกในการประลองเล็กได้หนึ่งครั้ง หากว่าชนะก็จะได้รางวัลที่เขาได้ในงานประลองเล็ก ช่างบังเอิญเสียจริง! ข้าเหมาะสมกับเงื่อนไขนี้พอดี และอยากจะท้าสู้พี่หลัว หากข้าชนะ ถ้ำแห่งนี้ย่อมตกเป็นของข้าแล้ว!” น้ำเสียงของหลิ่วหมิงก็เยือกเย็นลง
แม้ว่าคนตรงหน้าก็มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายเช่นกัน แต่หลังจากเขาผ่านอุปสรรคต่างๆ ในเมืองฉางหยาง เมื่อเจอกับผู้ฝึกฝนเดียวกันในขณะนี้ ย่อมขี้เกียจจะพูดมากแล้ว
“เฮ่อๆ! ดูท่าชื่อเสียงของข้าหลัวเกิ่งคงยังไม่ดังพอในสาขาสินะ! เจ้าเด็กที่เพิ่งเข้ามาไม่กี่ปี ก็กล้าท้าสู้กับข้าแล้ว ดีมาก! ข้ารับปากแล้ว” หลัวเกิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็ตกปากรับคำออกไป
ชื่อของหลิ่วหมิง แต่ก่อนก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยได้ยิน ว่ากันว่าพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่เขากลับเชื่อมั่นในพลังของตนเองมากกว่า
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า ทันใดนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำกลุ่มหนึ่งก่อตัวขึ้นตรงใต้เท้า และพาเขาเหาะไปยังหอใหญ่ของสาขาห่านฟ้า
หลัวเกิ่งก็กลายร่างเป็นลูกแสงสีขาว และพุ่งตามติดไป
หนึ่งเค่อต่อมา ทั้งสองก็มาปรากฏตัวบนลานประลองบริเวณหอใหญ่ของสาขาห่านฟ้า
ลานประลองนี้มีขนาดร้อยหมู่ มันเต็มไปด้วยแท่นประลองขนาดต่างๆ สิบกว่าแห่ง ปกติจะใช้ในการแลกมือของศิษย์สายนอก
มุมแท่นประลองทั้งสี่มีเสาหินเรียบง่ายตั้งตระหง่านอยู่ มีอักขระสีต่างๆ สลักเต็มอยู่บนนั้น
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี ในลานมีศิษย์สาขาห่านฟ้าอยู่ไม่น้อย
ไม่นาน ทั้งสองก็มารออยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว ภายใต้การดูแลของผู้ดำเนินการระดับผลึกผู้หนึ่ง ทั้งสองก็ยืนเผชิญหน้ากันอยู่บนแท่นประลอง
ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นสังเกตเห็นสถานการณ์ทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว และพากันมามุงดู
“เอ๊ะ! นั่นไม่ใช่ศิษย์พี่หลัวเกิ่งที่ได้อันดับที่ห้าในงานประลองเล็กหรอกหรือ?”
“หรือว่าศิษย์พี่หลัวจะต่อสู้กับใครที่นี่? คู่ต่อสู้เป็นใคร?”
“ไม่เคยเห็นศิษย์ชุดเขียวผู้นั้นมาก่อน เป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่หรือ? แต่ว่ากล้าต่อสู้กับศิษย์พี่หลัวเช่นนี้ ช่างใจกล้าไม่เบา”
ผ่านไปไม่เท่าไหร่ ก็มีศิษย์สาขาห่านฟ้ามามุงดูหลายร้อยคนแล้ว และมีบางคนที่ได้รับข่าวก็ตั้งใจมาดูโดยเฉพาะ ในขณะนี้สายตาทุกดวงล้วนจับจ้องอยู่บนตัวหลิ่วหมิง
หลัวเกิ่งนับว่าเป็นอันดับหนึ่งในสาขาห่านฟ้า และเนื่องจากหลิ่วหมิงเข้าร่วมทดสอบในแดนอบอ้าวเพียงครั้งเดียว ศิษย์เก่าเหล่านี้ย่อมรู้สึกแปลกหน้าเป็นอย่างมาก ซึ่งต่างก็พากันแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
“ศิษย์หลิ่วหมิง เป็นเพราะออกไปทำภารกิจนอกนิกายจึงไม่ได้เข้าร่วมงานประลองเล็กในครั้งนี้ วันนี้จึงขอท้าสู้กับหลัวเกิ่งที่ถูกจัดอยู่อันดับที่ห้า ผู้ชนะจะได้รางวัลของงานประลองเล็ก” ผู้ดำเนินการระดับผลึกเป็นชายหนวดยาวที่มีอายุสี่สิบกว่าปี พอเหาะมาบนอากาศเหนือแท่นประลองแล้ว ก็ประกาศสาเหตุของการประลองในครั้งนี้
พอคำพูดนี้ประกาศออกไป ศิษย์ที่ล้อมรอบแท่นประลองก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา คนจำนวนไม่น้อยชี้มาที่หลิ่วหมิง และก็มีคนมองดูหลัวเกิ่งด้วยสีหน้าแปลกๆ
ดูเหมือนหลัวเกิ่งจะรับรู้ได้ สีหน้าของเขาจึงดูไม่ได้ขึ้นมา
“แม้พวกเจ้าจะรู้กฎกันอยู่แล้ว แต่ข้ายังต้องพูดอีกรอบ การประลองในครั้งนี้ไม่ใช่การประลองตัดสินความเป็นความตาย ผู้ที่ยอมแพ้หรือผู้ที่ออกไปจากแท่นประลองจะถือว่าเป็นผู้แพ้ ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม ห้ามทำร้ายฝ่ายตรงข้ามจนได้รับบาดเจ็บถึงแก่ชีวิต ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษตามกฎของนิกาย อีกอย่าง หากข้ารู้สึกว่าการประลองได้แสดงผลลัพธ์แล้ว ก็จะใช้อำนาจให้หยุดการประลอง” ชายหนวดยาวจ้องมองคนทั้งสอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นเล็กน้อย
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า ทางด้านหลัวเกิ่งก็ไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าดุร้าย
ผู้ดำเนินการระดับผลึกเห็นเช่นนี้ ก็ไม่พูดอะไรมากอีก จากนั้นก็ปล่อยแสงสีเขียวไปยังมุมทั้งสี่
อักขระบนเสาหินทั้งสี่มุมเปล่งประกายแวววาว ม่านแสงสีเขียวเข้มปรากฏออกมา และปกคลุมแท่นประลองไว้
“เริ่มการประลองได้!” หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ชายหนวดยาวก็กำชับออกไป
พอหลัวเกิ่งพลิกมือข้างหนึ่ง กระบี่ยาวสีเทาสลัวๆ ก็เปล่งประกายออกมาบนเอว และหมุนวนรอบตัวเขา
กระบี่นี้ยาวสามฉื่อซึ่งไม่นับว่าเป็นกระบี่บินแล้ว สามารถจัดอยู่ในกระบี่ขนาดใหญ่
“กระบี่เล่มนี้คืออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ศิษย์พี่หลัวใช้ออกหน้าออกตาในงานประลองเล็ก คงจะเป็นกระบี่ลิ่วฮวงสินะ!” ด้านล่างแท่นประลอง มีคนร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
พอหลัวเกิ่งชี้นิ้วออกไป กระบี่ยาวสามฉื่อก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเทา และพุ่งใส่หลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา เขากำมือทั้งสองในทันที ทันใดนั้น ไอดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง ภายใต้การส่งเสียงคำราม เขาก็ทุบใส่แสงกระบี่ในทันที
“เพล้ง!”
หลังจากโดนไปหนึ่งหมัด แสงกระบี่สีเทาก็พุ่งกลับไปด้วยแสงที่มืดลง
“เอ๊ะ!”
ผู้ดำเนินการที่อยู่กลางอากาศเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา และจ้องมองไอดำบนตัวหลิ่วหมิง ร่องรอยแห่งความกระจ่างปรากฏในแววตาของเขา
พอหลัวเกิ่งเห็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดของตนเองถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีกระเด็นในหมัดเดียว เขาก็มีสีหน้าตกใจมาก จากนั้นดวงตาของเขาก็ดูเฉียบขาดขึ้นมา และชี้นิ้วออกไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาไปด้วย
แสงกระบี่สีเทาหมุนวนหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ฟันใส่หลิ่วหมิงอีกครั้ง
มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!”
ภายใต้การเปล่งประกายของแสงกระบี่สีเทา คิดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นไหมกระบี่จำนวนมากพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
………………………………