ภายใต้สถานการณ์ที่ร่างของหลิ่วหมิงสั่นสะท้าน ไอดำรอบตัวก็หนาแน่นขึ้นมาทันที ระหว่างที่ไอดำพวยพุ่งนั้น มังกรหมอกสีดำสองตัวกับพยัคฆ์หมอกหนึ่งตัวก็ก่อตัวขึ้นมา และร่างของเขาก็จมอยู่ในนั้น
เกิดเสียง “ฟิ้วๆ!” ดังติดต่อกัน
พอไหมกระบี่สีเทาแทงเข้าไปภายในไอดำ มันก็ถูกเงาร่างมังกรพยัคฆ์รัดพันไว้ และกลืนลงไป
หลัวเกิ่งเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก หลังจากตะคอกด้วยความโมโหแล้ว มือทั้งสองก็ปล่อยพลังออกไปติดต่อกันสิบกว่าสาย
แสงกระบี่สีเทาขยายตามแรงลมจนมีขนาดใหญ่หลายเท่า และกลายเป็นเงาร่างปีศาจยักษ์ ดวงตาทั้งคู่ประกายด้วยความดุร้าย และกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว
“ปราณกระบี่แปลงร่าง?”
ท่ามกลางไอดำที่อยู่ด้านล่าง หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน นี่นับได้ว่าเป็นวิชาขี่กระบี่ขั้นสุดยอด เขาเคยเห็นในขณะที่ซาทงเทียนแสดงออกมาเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นวิชานี้ด้วย
“ไม่ ไม่ถูกต้อง!”
ภายใต้การหรี่ตามองของหลิ่วหมิง ก็ค้นพบเส้นสนกลในทันที
มันไม่ใช่ปราณกระบี่แปลงอย่างแต่อย่างใด แม้ว่ามันจะคล้ายมาก แต่บนตัวหมาป่ายักษ์กลับไม่มีไอกระบี่ที่ดุเดือดเป็นพิเศษของวิชาขี่กระบี่
แสงกระบี่ในก่อนหน้านั้นก็เช่นกัน เพียงแค่ดูคล้ายปราณกระบี่เท่านั้น ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะถูกเขาโจมตีกลับได้อย่างง่ายดาย
ดูท่าหลัวเกิ่งก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แต่อย่างใด คงเสริมความสามารถที่คล้ายเคียงกับการฝึกกระบี่เท่านั้น
เงาร่างหมาป่ายักษ์เคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ มันขยับตัวแค่ทีเดียวก็มาอยู่ห่างจากเหนือศีรษะของหลิ่วหมิงไม่ถึงจั้งกว่าๆ และอ้าปากงับลงมาอย่างโหดเหี้ยม
แววตาหลัวเกิ่งเผยแววเยาะเย้ยออกมา ราวกับเห็นภาพหลิ่วหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัส และคุกเข่าร้องขอชีวิตอยู่บนพื้น
หลิ่วหมิงกลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก นิ้วทั้งห้ากางออกอีกครั้ง ไอดำมารวมตัวอยู่เหนือฝ่ามือ พอกำนิ้วทั้งห้า ก็คว้าเอาคอของหมาป่ายักษ์ไว้ได้
นิ้วทั้งห้าราวกับตะขอ ไม่ว่าหมาป่ายักษ์จะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจหลุดรอดได้
หลัวเกิ่งเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกตกใจมาก เขารีบทำท่ามืออย่างสุดความสามารถ เพื่อกระตุ้นเงาร่างหมาป่ายักษ์ให้หลุดรอดออกมา
แต่ขณะนี้ หลิ่วหมิงปล่อยพลังออกไปด้วยมือข้างหนึ่งแล้ว ส่วนอีกข้างก็กำไปในอากาศอย่างโหดเหี้ยม
หลังจากเงาร่างปีศาจยักษ์ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเวทนา ร่างของมันก็ถูกฝ่ามือยักษ์สีดำบีบจนแตกกระจาย และคืนร่างกลับมาเป็นกระบี่ยาวสีเทาเช่นเดิม มันบิดตัวไปมาท่ามกลางไอดำอยู่ไม่หยุด
ภายใต้ความตกใจ หลัวเกิ่งทำท่ามือติดต่อกันอยู่ไม่หยุด เพื่อกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณให้พ้นจากพันธนาการ
“ผนึก!”
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดออกมา มือทั้งคู่ต่างก็ปล่อยพลังแปลกประหลาดออกไป หลังจากเอามือทั้งสองถูกันแล้ว ก็ชี้ขึ้นบนฟ้า
ทันใดนั้น อักขระสีดำจำนวนมากก็พุ่งออกจากปลายนิ้วของเขา และห่อหุ้มกระบี่ยักษ์สีเทาไว้ หลังจากประสานสลับกันไปมา ก็กลายเป็นค่ายกลลี้ลับหลังหนึ่ง
ครู่ต่อมา อักขระสีดำก็กระพริบหายไปเข้าในผิวกระบี่
“พรึ่บ!” ไม่นานแสงบนตัวกระบี่ยาวสีเทาก็สลายไปจนหมดสิ้น และตกลงบนแท่นประลองโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อีก
“ปิดผนึก?” ผู้ดำเนินการระดับผลึกที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็พูดพึมพำด้วยความประหลาดใจ
นี่คือวิธีการคุมขังอาวุธจิตวิญญาณชั่วคราว ซึ่งหลิ่วหมิงเรียนรู้มาจากการหลอมอาวุธจิตวิญญาณในก่อนหน้านั้น โดยทั่วไปแล้วจะใช้ในขณะที่ตนเองมีพลังเวทและพลังจิตเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม และเมื่อตอนที่ได้เปรียบถึงจะแสดงออกมาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
ขณะนี้บรรดาศิษย์ที่ล้อมดูอยู่ใต้แท่นประลอง ต่างก็ส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจอยู่ไม่หยุด
ในใจหลัวเกิ่งรู้สึกเย็นยะเยือก และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม
หลัวเกิ่งเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงมาก ยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ เงาร่างมนุษย์สีดำก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกาย จากนั้นกำปั้นที่มีไอดำปกคลุมอยู่หนาแน่น ก็พุ่งเข้ามาถึง
กำปั้นยังเข้าไม่ทันถึงตัว พลังไร้รูปบางอย่างก็ปะทะเข้ามาตรงหน้า
หลัวเกิ่งมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา แสงสีเทาเปล่งประกายบนกระบี่สีเทาในมือ ภายใต้การกระตุ้นของเขา โล่กลมๆ สีขาวเงินที่มีอักขระลี้ลับประทับอยู่ ก็ขยายใหญ่จนมีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า และต้านทานอยู่ตรงหน้า
“ตู้ม!” มือข้างที่ถือโล่ของหลัวเกิ่งสั่นสะท้านอยู่คู่หนึ่ง และร่นถอยออกไปหลายจั้งถึงพอที่จะตั้งหลักได้
“เจ้า……”
พอเห็นหลิ่วหมิงออกจากไอดำอันพวยพุ่ง หลัวเกิ่งก็เผยสีหน้าหวาดผวาออกมา พอก้มหน้ามองดูโล่ในมือ สีหน้าของเขาก็ซีดขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นร่างของหลิ่วหมิงพร่าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็รีบพ่นโลหิตลงบนโล่อย่างรวดเร็ว
ภายใต้การกระตุ้นของพลังเวท แสงสีเงินก็เปล่งประกายบนโล่สีเงินทันที ขณะเดียวกัน หลัวเกิ่งก็แผ่ปราณแกร่งคุ้มร่างที่ส่องแสงเจิดจ้าออกมา ทั้งสองผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นม่านป้องกันโปร่งแสงกลมๆ ลูกหนึ่ง และห่อหุ้มร่างของหลัวเกิ่งไว้
หลังจากหลัวเกิ่งหลบอยู่ในม่านป้องกันที่คุ้มกันอย่างแน่นหนาแล้ว สีหน้าเขาถึงดูดีขึ้นมาเล็กน้อย
ขณะนี้ พอแสงสีดำเปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้าม่านป้องกันที่โปร่งแสง ไอดำสั่นสะเทือนในทันที ทันใดนั้นมันก็หมุนวนอยู่บนกำปั้น และก่อตัวเป็นหัวพยัคฆ์สีดำตัวหนึ่ง
หลังจากมีเสียงแผดร้องของพยัคฆ์ดังออกมา เงากำปั้นสีดำก็กระพริบออกไป
“ตู้ม!” มีรอยกำปั้นลึกๆ ปรากฏบนม่านโปร่งแสงกลมๆ
“ไม่ เป็นไปไม่ได้……” หลัวเกิ่งคำรามอย่างเหลือเชื่อ
ขณะนี้กำปั้นลูกที่สองก็โจมตีลงบนจุดเดิม
ม่านโปร่งแสงสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง และเกิดรอยร้าวเป็นรูปใยแมงมุม
ท่ามกลางสายตาสิ้นหวังของหลัวเกิ่ง กำปั้นลูกที่สามก็พุ่งเข้ามาในฉับพลัน ม่านโปร่งแสงกลมๆ แตกกระจายออกมา
ขณะเดียวกัน เขาก็อ้าปากพ่นโลหิตออกมาด้วยสีหน้าซีดขาว
ปราณแกร่งคุ้มร่างถูกโจมตีอย่างรุนแรง ภายใต้การสะท้อนกลับของพลังเวท ตัวเขาเองย่อมได้รับความเสียหายค่อนข้างมาก ทันใดนั้น ร่างของเขาก็อ่อนระโหยโรยแรงลง
บังเกิดคลื่นสั่นสะเทือนขึ้นมาเบาๆ!
มือสีดำขนาดใหญ่ปรากฏเหนือศีรษะของหลัวเกิ่งราวกับปีศาจ และตบลงมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ร่างของหลัวเกิ่งขยับเล็กน้อย ดูเหมือนเขาคิดที่จะหลบหลีก แต่เนื่องจากก่อนหน้านั้นได้รับบาดเจ็บไม่น้อย พลังเวทภายในร่างก็เคลื่อนไหวติดขัด ไหนเลยจะสามารถหลบหลีกได้พ้น
“ตู้ม!” มือขนาดใหญ่โจมตีใส่ไหล่ของหลัวเกิ่ง ทำให้เขากระเด็นออกไปด้านหลังราวกับกระสอบทราย จากนั้นก็ปะทะใส่ม่านแสงบนแท่นประลอง และค่อยๆ ไถลลงมา ตอนนี้เขาได้หมดสติไปแล้ว
“การต่อสู้ในครั้งนี้ หลิ่วหมิงชนะ!” ชายหนวดยาวจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นก็มาปรากฏตัวในม่านแสง และรีบประกาศผลออกมา
“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่หลัวจะแพ้แล้ว……” ศิษย์สาขาห่านฟ้าที่อยู่ด้านล่างต่างก็มองหน้ากัน ดูเหมือนว่ายอมรับผลการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ได้
หลิ่วหมิงเก็บไอดำบนตัว หลังจากคารวะผู้ดำเนินการแล้ว ก็เดินออกไปจากลานประลองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และเหาะไปยังถ้ำที่พัก
พอมาถึงหน้าประตูถ้ำ ชายหนุ่มผอมแห้งที่มีใบหน้างดงามก็รออยู่ที่นั่นแล้ว พอมองดูดีๆ กลับเป็นอวี๋ซิ่นที่เคยพบเจอกับหลิ่วหมิงในตอนจัดสรรที่พักให้ในปีนั้น
“ยินดีกับชัยชนะของพี่หลิ่วที่สามารถชิงถ้ำที่พักกลับมาได้!” อวี๋ซิ่นเงยหน้ามองหลิ่งหมิง และทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ข่าวของพี่อวี๋ช่างไวจริงๆ” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“พอข้าทราบข่าวว่าพี่หลิ่วชนะ ก็รีบมาช่วยจัดการถ้ำที่พักให้เหมาะสม” อวี๋ซิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่อวี๋แล้ว” ขณะที่พูดหลิ่วหมิงก็นำป้ายถ้ำที่พักบนเอวไปให้ฝ่ายตรงข้ามประทับลวดลายจิตวิญญาณสองสามเส้น จากนั้นก็โบกไปทางประตู ทันใดนั้นมันก็ค่อยๆ เปิดออกมา
“พี่หลิ่วไม่ต้องเกรงใจ ในเมื่อถ้ำที่พักไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ข้าต้องขอลาก่อน” อวี๋ซิ่นประสานมือคารวะหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ลาจากไป
เวลาที่เหลืออีกไม่ถึงครึ่งวัน ข่าวหลัวเกิ่งที่ได้อันดับห้าในการประลองเล็ก ถูกหลิ่วหมิงที่เป็นศิษย์สายนอกโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย ก็ถูกเล่าลือออกไปอย่างรวดเร็วจนเกิดความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นาน ข่าวใหญ่อีกข่าวก็เผยแพร่ในบรรดาศิษย์สายนอกอย่างรวดเร็ว
ปีศาจหยินหยางที่มีชื่ออันดับสิบสามในบัญชีความเป็นความตาย ก็ถูกศิษย์สายนอกที่ชื่อหลิ่วหมิงเป็นคนสังหาร ว่ากันว่ามีคนไปยืนยันข่าวนี้ที่หอความเป็นความตายมาแล้ว ทันใดนั้นก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนหนึ่ง
……
ภายในวิหารหลักของยอดเขาเมฆาเขียว ทารกเฮ่าเยวี่ยกับชายแซ่หลูกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่
“อ๋อ! พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าช่วงนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่ตลาดฉางหยางจำนวนไม่น้อย” ชายแซ่หลูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักถามอย่างราบเรียบ
“เป็นเช่นนี้จริงๆ นอกจากผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถไม่ทราบชื่อผู้นั้นแล้ว ปีศาจหยินหยางก็ปรากฏตัวบริเวณตลาดฉางหยาง ทั้งยังลอบโจมตีศิษย์นิกายเราไปหลายคน แต่ว่าโชคดีที่หลิ่วหมิงผู้นั้นสังหารเขาอย่างราบรื่น มิเช่นนั้นชื่อเสียงของเราในตลาดฉางหยาง คงจะได้รับผลกระทบไม่น้อย” ทารกเฮ่าเยวี่ยถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
ชายซาหลูได้ยินก็พยักหน้าและไม่พูดอะไรออกมา
“หลิ่วหมิงผู้นี้ ไม่กี่ปีก่อนยังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง ตอนนี้ฝึกฝนจนถึงระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว ทั้งยังสามารถสังหารปีศาจหยินหยางได้ และยืนหยัดในวังมายานภาหยกจนถึงวันสุดท้าย ดูเหมือนว่าพลังที่แท้จริงจะเหนือกว่าซาทงเทียนด้วยซ้ำ หากเพิ่มการบ่มเพาะล่ะก็ บางทีอาจจะ……” ทารกเฮ่าเยวี่ยกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“การต่อสู้จริงของหลิ่วหมิงผู้นั้นแสดงออกมาได้ไม่เลว แต่น่าเสียดายที่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ อีกอย่างการฝึกฝนรุดหน้าเร็วเช่นนี้ น่าจะใช้วิธีการกระหายความสำเร็จบางอย่าง เช่นนี้แล้วเส้นทางการฝึกฝนในภายหน้าก็เหมือนถูกตัดขาด มีโอกาสเข้าสู่ระดับผลึกไม่ถึงหนึ่งในหมื่น ไม่คุ้มค่าแก่การบ่มเพาะสักเท่าไหร่ อีกไม่นานก็เป็นการประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกแล้ว พวกเราเลือกศิษย์ที่มีพลังไม่เลวจากในนั้นมาหนึ่งถึงสองคน พลังศักยภาพของพวกเขาจะต้องไม่ใช่สิ่งที่หลิ่วหมิงสามารถเปรียบเทียบได้” ชายแซ่หลูพยักหน้าโดยไม่ถือว่าจะเป็นเช่นนั้น
ได้ยินชายแซ่หลูกล่าวเช่นนี้ เฮ่าเยวี่ยก็พยักหน้า และไม่พูดอะไรออกมาอีก
……
ภายในวิหารใหญ่แห่งหนึ่งของหุบเขาเลื่อนลอย ศิษย์สายในของหุบเขาเลื่อนลอยจำนวนสิบกว่าคน กำลังนั่งฟังยายเฒ่าผมขาวอธิบายที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าอธิบายเคล็ดวิชาอย่างตั้งอกตั้งใจ
หลังจากยายเฒ่าอธิบายอยู่พักหนึ่ง ก็หยุดลง และให้ศิษย์ทั้งหลายทำความเข้าใจกันเอง
เจียหลานนั่งอยู่บนเบาะที่อยู่ด้านหลัง ม้วนหนังสือบนมือมีอักขระสลับซับซ้อนบันทึกอยู่เต็มไปหมด มืออีกข้างก็เท้าคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด
………………………………