“ในเมื่อศิษย์พี่ทั้งสองต่างก็มอบของขวัญให้เจ้าแล้ว ข้าเป็นถึงอาจารย์ก็ไม่อาจทำให้เจ้าผิดหวังได้ ข้ามีอาวุธอาญาสิทธิ์ที่เคยใช้ในสมัยก่อนอยู่ชิ้นหนึ่ง มอบให้เจ้าป้องกันตัวก็แล้วกัน” นักพรตจงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา หลังจากคิดไปคิดมาก็หยิบสิ่งของสีเหลืองชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้หลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณอาจารย์ เอ๋! นี่คือ…” พอหลิ่วหมิงรับของชิ้นนี้มาแล้วก็พินิจดูอย่างละเอียด แต่ก็ต้องรู้สึกฉงนขึ้นมา
อาวุธอาญาสิทธิ์ที่กล่าวถึงคือชุดเกราะเรียบง่ายที่ทำจากไผ่สีเหลืองที่สานเข้าด้วยกัน ถักทอด้วยเส้นสีเงินบางอย่างที่ไม่ทราบชื่อตลอดทั้งตัว
บนไผ่แต่ละเส้นมีอักขระหลากสีจารึกอยู่เต็มไปหมด เพียงแต่สีของมันค่อนข้างจางมาก หากไม่สังเกตให้ละเอียดก็จะมองไม่เห็น
ศิษย์น้อง ทำไมเจ้าถึงนำเกราะอาญาสิทธิ์ชิ้นนี้ออกมาล่ะ! เกราะนี้ได้ช่วยชีวิตเจ้ามาหลายครั้งนะ” พอจูชื่อเห็นเกราะชิ้นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
กุยหรูฉวนก็งงงันเล็กน้อย
“ของชิ้นนี้ต้านทานได้แค่การโจมตีของศิษย์จิตวิญญาณ และข้าใช้มันได้แค่สมัยก่อนเท่านั้น ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์สำหรับข้าแล้ว อีกอย่างของสิ่งนี้เคยโดนคนทำลายจนเสียหายมาก่อน ถึงแม้จะซ่อมแซมมาแล้วก็ยังเพียงพอที่จะต้านทานการโจมตีได้แค่สองสามครั้งแล้วมันก็จะโดนทำลายไป จะว่าไปแล้วปกติข้าก็ไม่ได้ใส่มันอยู่แล้วไม่สู้มอบให้ชงเทียนไว้ป้องกันตัวจะดีกว่า” นักพรตจงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
อาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองได้ยินคำพูดเช่นนี้ ต่างก็รู้สึกว่ามีเหตุผลดีก็เลยไม่พูดอะไรออกมาอีก
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้ประโยชน์ของชุดเกราะตัวนี้ จากนั้นเขาก็กล่าวขอบคุณแล้วเก็บชุดเกราะเข้าไป
“ศิษย์หลานไป๋ มุกเพลิงอัคคีที่ให้เจ้าไปทั้งสามเม็ดนั้น แต่ละเม็ดเทียบเท่ากับการโจมตีของอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ ดังนั้นไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ในการประลองใหญ่ แต่ถ้าเจ้าสามารถเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายได้ย่อมไม่มีข้อจำกัดใดๆ” กุยหรูฉวนคิดอะไรบางอย่างได้จึงพูดกำชับออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้าเข้าใจ
ต่อมาอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสามก็ให้กำลังใจหลิ่วหมิงอีกไม่กี่ประโยค แล้วก็ปล่อยให้หลิ่วหมิงกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมรับมือกับการประลองในวันพรุ่งนี้
ดังนั้นหลิ่วหมิวจึงคารวะทั้งสามแล้วก็ถอยออกไปจากห้องโถงใหญ่ จากนั้นก็ขี่เมฆกลับไปยังที่พัก
“คิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่าชงเทียนจะสามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ ดูท่าครั้งนี้สาขาของเราก็มีหวังที่ฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว” กุยหรูฉวนรอหลิ่วหมิงออกไปจากห้องโถงใหญ่ แล้วถอนหายใจเบาๆ กล่าวออกมา
“ใช่แล้ว ศิษย์หลานไป๋แสดงออกมาได้โดดเด่นกว่าที่คาดไว้มาก ก่อนหน้านี้พวกเรามองข้ามเขาไปหน่อย ตอนนี้ศิษย์น้องจงรับเขาเป็นศิษย์ติดตาม และพวกเรายังมอบของล้ำค่าให้ คิดว่าถึงแม้ก่อนหน้านี้จะแอบแค้นเคืองกันบ้างแต่ตอนนี้คงหายไปหมดแล้ว เช่นนี้แล้วล่ะก็ขอแค่เขายังคงรักษาตำแหน่งในการประลองพรุ่งนี้ไว้ได้ มันจะมีผลดีต่อสาขาเราไม่น้อย สาขาของเราก็จะได้ไม่รั้งท้ายในการประลองใหญ่อีกแล้ว” จูชื่อเองก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
นักพรตจงได้ยินก็หัวเราะเบาๆ และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“ชวนเอ๋อร์ เจ้าเตรียมตัวเป็นอย่างไรบ้าง คิดไว้หรือยังว่าจะท้าสู้กับใคร มีความเชื่อมั่นที่เข้าไปสิบอันดับแรกในวันพรุ่งนี้ไหม” กุยหรูฉวนหน้ามาถามสือชวนที่ยืนสงบอยู่ด้านข้าง
“อาจารย์วางใจเถอะ พรุ่งนี้ข้าเตรียมที่จะท้าชิงตำแหน่งอันดับที่แปด ข้ามีโซ่ปราบปีศาจกับหัวบินอยู่ในมือ จะต้องไม่มีปัญหาใดๆ อย่างแน่นอน” สือชวนกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ดีมาก เจ้ามีความเชื่อมั่นเช่นนี้พวกข้าทั้งสามก็วางใจแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีศิษย์ที่พลังอะไรซ่อนอยู่โผล่มามากมายแค่ไหน เจ้าจะต้องห้ามประมาทเป็นอันขาด” กุยหรูฉวนพยักหน้า แล้วกล่าวกำชับออกไป
สือชวนพยักหน้าตอบรับ
“ศิษย์พี่ก็กังวลจนเกินไป พลังของศิษย์หลานสือชวนไม่ได้เปราะบางสักหน่อย ต่อให้พรุ่งนี้ไม่ใช้อาวุธอาญาสิทธิ์กับหัวบินก็สามารถเจ้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้อย่างสบายๆ และมันก็จะไม่มีปัญญาใดๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
“ข้อนี้ข้าย่อมรู้ดี เพียงแต่กลัวเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดเท่านั้น ชวนเอ๋อร์ เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถอะ” กุยหรูฉวนฝืนหัวเราะ และกล่าวกำชับกับสือชวน
สือชวนตอบรับ แล้วก็ถอยออกไปจากห้องโถงใหญ่
“ตอนนี้ก็มีเพียงพวกเราแค่สามคนแล้ว พวกเราทั้งสามมีความคิดเห็นอย่างไรกับการประลองในวันพรุ่งนี้ อย่าพูดแค่ผิวเผิน คุยเรื่องที่มันเป็นแก่นสำคัญสักหน่อย ถึงแม้พวกเจ้าจะไม่โผล่หน้าในงานประลองใหญ่ในสองวันก่อน แต่ก็อาศัยพลังจากค่ายกลคงพอจะเห็นโดยคร่าวๆ แล้ว” กุยหรูฉวนรอจนสือชวนออกไปแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ หนักอึ้งขึ้นมา
“ถ้าพูดตามจริงมันก็พูดยาก ถ้าว่ากันตามการประลองใหญ่หลายครั้งที่ผ่านมา ศิษย์หลานไป๋กับสือชวนคงจะมีโอกาสเข้าสู่สิบอันดับแรกได้ แต่การประลองใหญ่ในครั้งนี้มีบางอย่างที่ต่างกันกับหลายครั้งที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่จะมีชีพจรจิตวิญญาณพสุธา ร่างละเมอฝัน ชีพจรจิตวิญญาณอัสนี และศิษย์ผู้มีพรสวรรค์อย่างหยางเฉียน เฟิงฉาน หมิ่นโซ่วซึ่งหาได้ยากยิ่งในหลายปีที่ผ่านมา ตลอดจนศิษย์เก่าบางคนก็คงจะมีพลังที่เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ” จูชื่อได้ยินก็กล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ไม่เพียงแต่เท่านี้ ตามที่ข้าสังเกตดูยังมีศิษย์ที่มีพลังแข็งแกร่งแต่ยังไม่เข้าสิบอันดับแรกอยู่มากมาย เกรงว่าคงจะเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงมาโดยตลอดเพื่อรอที่จะปลดปล่อยออกมาในวันพรุ่งนี้ ศิษย์หลานสือชวนยังไม่ค่อยห่วงเพราะเขามีอาวุธจิตวิญญาณกับหัวบินไว้ป้องกันตัว คงจะเข้าสิบอันดับแรกได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าชงเทียนมีแค่วิชาคมวายุขั้นสมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียวล่ะก็เกรงว่าพรุ่งนี้คงไม่อาจรักษาตำแหน่งไว้ได้” นักพรตจงส่ายศีรษะกล่าวออกมา
“ความเห็นของพวกเจ้าไม่ต่างกับข้ามากนัก แต่ดูจากศิษย์ในนิกายตอนนี้ นอกจากเขาทั้งสองแล้วก็ไม่มีผู้อื่นที่จะสามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ ถึงแม้เซียวเฟิงจะเข้าไปมีชื่อบนแท่นศิลาจันทราได้ แต่เกรงว่าคงใช้เวลาฝึกฝนอีกหลายปีถึงจะทำได้” กุยหรูฉวนถอนหายใจเบาๆ กล่าวออกมา
“ศิษย์พี่ ท่านคิดฟุ้งซ่านไปแล้ว สิ่งที่พวกเราทำได้ก็ได้ทำลงไปแล้ว ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยไปตามนั้น เราวิตกกังวลไปก็ใช่ว่าจะสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้” จูชื่อถอนหายใจกล่าวออกมา
นักพรตจงได้ยินก็แสดงท่าทีเห็นด้วย
“ศิษย์น้องจูพูดถูก พรุ่งนี้ก็จะรู้ผลทุกอย่างเอง แต่เรื่องที่ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณอย่างชงเทียนฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้นั้นช่างเป็นเรื่องที่พบเจอได้น้อยมาก น่าเสียดายที่ถึงแม้จะมีสามชีพจรจิตวิญญาณที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แต่อาศัยสามชีพจรจิตวิญญาณเพื่อเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณนั้นล่ะก็ มีตัวอย่างให้เห็นแค่เมื่อห้าหกร้อยปีก่อนเท่านั้น” กุยหรูฉวนตกตะลึงเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะขึ้นมา จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นเรื่องของหลิ่วหมิง
“สามชีพจรจิตวิญญาณที่เข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้นั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ช่างน่าเสียดายพรสวรรค์ในการฝึกฝนวิชาของศิษย์หลานไป๋จริงๆ” จูชื่อเองก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
“นี่ก็ไม่แน่ ในเมื่อมีตัวอย่างให้เห็นมาก่อน ใครก็ไม่สามารถพูดได้ว่าศิษย์ผู้นี้จะไม่สามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ อย่างมากก็แค่ฝึกฝนหนักกว่าคนอื่นสักหน่อย ถ้าหากเขาเข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายแล้วรอดชีวิตกลับมา ด้วยทรัพยากรที่ได้จากนิกายเป็นจำนวนมากก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีโอกาสที่จะลองดู” นักพรตจงมีข้อคิดเห็นที่ต่างออกไป
“ใช่ ถ้าหากใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ ศิษย์หลานไป๋ก็จะพอมีหวังอยู่บ้าง แต่ก่อนอื่นพรุ่งนี้เขาจะต้องรักษาตำแหน่งไว้ให้ได้ก่อนถึงจะทำเรื่องนี้ได้” กุยหรูกวนกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับผลการประลองในวันพรุ่งนี้!” จูชื่อเองก็กล่าวพึมพำออกมา
พูดเรื่องเหล่านี้จบ ทั้งสามคนต่างก็ครุ่นคิดด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ห้องโถงใหญ่ดูสงบเงียบไปชั่วเวลาหนึ่ง
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่กลับไปถึงที่พัก ก็กำลังนั่งชื่นชมชุดเกราะสีเหลืองที่อยู่บนมือ
เขาลูบไล้ลงบนนั้น ถึงแม้ไผ่ที่ประกบเป็นเกราะอาญาสิทธิ์จะมีไอเย็นเล็กน้อย แต่พื้นผิวภายนอกกลับไม่ค่อยแข็งมากนัก และกลับทำให้คนรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มและความยืดหยุ่นของมัน
เขาปล่อยพลังเวทย์เข้าไปในนั้นเล็กน้อย แล้วอักขระบนพื้นผิวไม้ไผ่ก็เปล่งประกายแสงจางๆ ออกมา ทำให้เห็นถึงความสวยงามราวกับภาพเพ้อฝัน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจจนไม่สามารถระงับไว้ได้
ถึงแม้อาวุธอาญาสิทธิ์จะพบเจอได้บ่อยในแต่ละนิกาย และตามตลาดต่างๆ แต่อาวุธอาญาสิทธิ์ที่พิเศษอย่างเกราะอาญาสิทธิ์นี้กลับพบเจอได้น้อยมาก อย่างน้อยในตลาดเว่ยโจวก็มีแค่ไม่กี่ชิ้น ทั้งยังขายในราคาที่สูงจนเกือบจะเท่าอาวุธจิตวิญญาณ
เกราะอาญาสิทธิ์ชิ้นนี้ ถึงแม้จะถูกทำลายมาก่อน และในตอนนี้ก็ต้านทานการโจมตีได้เพียงสามครั้งแล้วมันก็จะถูกทำลายไปจนใช้งานไม่ได้ในที่สุด แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้วมันคือของล้ำค่าที่สามารถช่วยชีวิตเขาได้เมื่อถึงช่วงจุดสำคัญ
หลิ่วหมิงตรวจสอบดูชุดเกราะเล็กน้อย แล้วแน่ใจว่าไม่มีปัญหาใดๆ ก็รีบสวมมันทับกับเสื้อตัวใน แล้วปิดทับด้วยชุดคลุมยาวสีเขียว
เช่นนี้แล้วเมื่อมองจากภายนอกก็จะไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ
จากนั้นเขาก็หยิบตลับเหล็กที่ใส่มุกเพลิงอัคคี และขวดโอสถโลหิตไขกระดูกออกมา แล้วเปิดฝาดูไปหนึ่งรอบ
มุกเพลิงอัคคี เป็นมุกกลมๆ สีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วสามเม็ด ดูแล้วมันไม่ได้เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจเลยสักน้อย
โอสถโลหิตไขกระดูก เป็นเม็ดโอสถสีแดงเลือดขนาดเท่าเม็ดถั่ว ซึ่งมีทั้งหมดสิบกว่าเม็ด เมื่อเขาวางไว้ใต้จมูกก็มีกลิ่นหอมจรุงใจโชยออกมาจางๆ
ถึงแม้โอสถโลหิตไขกระดูกนี้จะไม่เพียงพอที่จะชุบหลอมโลหิตในร่างเขาทั้งหมด แต่ก็พอที่จะชะล้างสิ่งสกปรกให้ออกไปจากโลหิตที่อยู่ในร่างเขาได้บางส่วน และทำให้พลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นอีกเล็กน้อย
พรุ่งนี้เขายังต้องเข้าร่วมการประลองต่อ ตอนนี้จึงยังไม่ใช่เวลาที่จะทานโอสถโลหิตไขกระดูกนี้เพื่อชุบหลอมโลหิตของเขา
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงเก็บมุกเพลิงอัคคีกับโอสถโลหิตไขกระดูกไว้ แล้วก็นั่งกำหนดลมหายใจอย่างสงบ
สำหรับเขาแล้ว พรุ่งนี้คือวันที่เขาจะพ่ายแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ จิตก็ค่อยๆ นิ่งสงบลงจนไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกแล้ว
เช้าวันที่สามของการประลองใหญ่ ศิษย์นิกายปีศาจหลายพันคนพากันเข้าไปบนเขาหิน
ครั้งนี้ศิษย์ทุกคนต่างก็ห้อมล้อมอยู่รอบๆ แท่นประลองที่ใหญ่ที่สุด และลานหยกที่ประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นยืนอยู่ ก็ลอยอยู่บนแท่นประลองซึ่งห่างจากพื้นร้อยกว่าจั้ง
“กฎการประลองรอบที่สอง พวกเจ้าต่างก็รู้กันหมดแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่พูดอะไรมาก ตอนนี้ข้าขอประกาศให้เริ่มการประลองรอบที่สองได้อย่างเป็นทางการ” ประมุขนิกายปีศาจเหาะออกมาจากลานหยก แล้วประกาศออกมาอย่างราบเรียบ จากนั้นก็เหาะกลับไปยังที่เดิม
ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสร่างท้วมผู้หนึ่งกลับเหาะออกมาจากลานหยก และลอยลงมาบนแท่นประลองอย่างมั่นคง เขากวาดสายตามองไปทั่วทิศแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเป็นใครนั้น คิดว่าคงมีคนจำนวนน้อยมากที่ไม่รู้จักข้า และการประลองรอบที่สองนี้ข้าจะเป็นคนดำเนินการเอง”
ผู้อาวุโสร่างท้วมผู้นี้ก็คือ ‘อาจารย์อาหร่วน’ ที่ดูแลหอเก็บคัมภีร์นั่นเอง!
……………………………………….