“คิดไม่ถึงว่าเวลาแค่ไม่กี่ปี พี่หลิ่วก็มีประสบการณ์อกสั่นขวัญหายเช่นนี้….. ใช่สิ! คิดว่าพี่หลิ่วคงเข้าร่วมการประลองใหญ่ของสาขาทั้งแปดด้วย” เยี่ยนหมิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาพูดถึงเรื่องการประลองใหญ่
“การประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกเป็นงานใหญ่ของสาขาทั้งแปดเรา ข้าย่อมเข้าร่วมอย่างแน่นอน พูดถึงเรื่องนี้ ข้ากักตัวฝึกฝนนานไปหน่อย ช่วงนี้จึงไม่ได้สนใจเรื่องภายในสาขา ไม่ทราบว่าในสาขาทั้งแปดมีใครโดดเด่นบ้าง และยังมีคนจำพวกไหนที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถามไปตามน้ำ
“พี่หลิ่วถามได้ถูกคนแล้ว ภายในสาขาห่านฟ้านี้ ถ้าพูดถึงพลังล่ะก็ ตอนนี้ศิษย์พี่โจวโดดเด่นเป็นที่สุด นอกจากนี้ยังมี……”
หลังจากเวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา เยี่ยนหมิงก็บอกชื่อผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นในสาขาทั้งแปดตามที่เขารู้ให้หลิ่วหมิงฟังอย่างละเอียด
ในระหว่างนั้นเสวี่ยอวิ๋นก็ช่วยพูดเสริม โดยบอกชื่อศิษย์สายนอกสองสามคนที่ต้องระวังเป็นพิเศษด้วย
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าติดต่อกัน และพูดแทรกออกมาสองสามประโยคเป็นครั้งคราว ขณะเดียวกันก็จดจำเรื่องราวที่ได้ยินทั้งหมดไว้ในใจ
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณมาก เช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องสับสนเมื่อเข้าร่วมงานประลองใหญ่แล้ว” หลิ่วหมิงฟังจบก็กล่าวขอบคุณอีกครั้ง
“พี่หลิ่วไม่ต้องเกรงใจไป พวกข้าทั้งสองเชื่อมั่นคะแนนในงานประลองใหญ่ของพี่หลิ่วมาก เพียงแค่เข้าสิบอันดับแรกได้ ก็มีโอกาสเป็นที่ถูกใจของผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ในนิกาย และเข้าไปเป็นศิษย์สายในได้ ใช่สิ! ข้ากับเสวี่ยอวิ๋นยังต้องไปตลาด เพื่อเตรียมของสำหรับการประลองใหญ่ในครั้งนี้ คงไม่รบกวนศิษย์พี่หลิ่วแล้ว อีกสามวันให้หลังเจอกันที่ลานประลองก็แล้วกัน” เยี่ยนหมิงกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความเกรงใจอีกเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวลาไปพร้อมกับเสวี่ยอวิ๋น
หลิ่วหมิงส่งทั้งสองออกไปแล้ว ก็กลับมานั่งหลับตาเข้าฌานอยู่ในห้องลับ
หลายวันต่อมา
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในห้องลับนั้น แผ่นค่ายกลที่อยู่บริเวณเอวก็สั่นสะท้านขึ้นมาเบาๆ และมีน้ำเสียงราบเรียบดังออกมา
“การประลองใหญ่ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ขอให้ศิษย์ทุกคนรีบมารวมตัวกันที่ยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ”
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่แล้วลุกขึ้นมาทันที หลังจากตรวจสอบแหวนย่อส่วนอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบ และเปิดแผนที่เทือกเขาหมื่นวิญญาณออกมาดูแล้ว เขาก็ออกไปจากถ้ำที่พัก และขี่เมฆเหาะไปยังยอกเขาเมฆาเลิศล้ำ
ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าเหนือภูเขาหลายลูกที่อยู่บริเวณนั้น ก็มีแสงหลบหลีกหลากสีพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และล้วนพุ่งไปทางยอดเขาเมฆาเลิศล้ำเช่นกัน
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเขียวก็มาปรากฏตัวบนพื้นราบเรียบที่มีขนาดเกือบพันหมู่บนยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ
ยอดเขานี้มีความสูงอยู่ในสิบอันดับแรกของบรรดายอดเขาบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณ สูงราวๆ เจ็ดแปดพันจั้ง มีเมฆหมอกลอยวนอยู่รอบๆ ราวกับว่าเป็นแดนเซียน
และตอนที่หลิ่วหมิงมาถึงนั้น พื้นราบเรียบบนยอดเขาก็มีคนมารวมตัวกันมากถึงสามสี่พันคนแล้ว และยังมีคนเหาะมาอย่างต่อเนื่อง
คนเหล่านี้ส่วนมากมีอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี แต่ก็ยังมีศิษย์ธรรมดาอยู่จำนวนหนึ่ง แม้กระทั่งยังพอมองเห็นผู้ที่สวมชุดศิษย์สายในบ้างเป็นครั้งคราว
และใจกลางพื้นราบเรียบมีแท่นประลองหินสีดำที่สูงครึ่งจั้ง กว้างหลายสิบจั้งตั้งอยู่สิบกว่าแห่ง
และด้านหลังแท่นประลองทั้งสิบยังมีแท่นสูงสีขาวหยกขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ตั้งอยู่ มีเงาร่างคนจำนวนหนึ่งยืนอยู่บนนั้น
สองคนในนั้น คนหนึ่งสวมชุดนักพรตสีเทาทั้งตัว มีหนวดยาว เขาก็คือเจียงจ้งที่เป็นหัวหน้าสาขานั่นเอง และผู้ที่มีหัวคิ้วตั้งขึ้นที่อยู่ด้านข้างของเขาก็คือเหลียงจ้านเกอที่เป็นรองหัวหน้าสาขา
นอกจากนี้ก็เป็นผู้อาวุโสคิ้วเหลืองที่มีใบหน้าซีดเซียวกับหญิงงดงามสวมชุดกรุยกราย รูปร่างค่อนข้างดี และคนอื่นๆ ซึ่งหลิ่วหมิงเคยเห็นในตอนที่เข้าแดนอบอ้าวแล้ว พวกเขาล้วนเป็นหัวหน้าสาขาของสาขาทั้งแปด
ส่วนคนที่เหลือนั้น กลิ่นไอบนตัวยากที่จะคาดเดาได้ ประจักษ์ชัดว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งหมด
หลังจากหลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็ไปหามุมยืนอยู่อย่างเงียบๆ
ไม่นาน ศิษย์สายนอกก็พากันมามากขึ้นเรื่อยๆ ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้บนแท่นสีขาวหยกก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น
บ้างก็ขี่เมฆหลากสีร่อนลงมาโดยตรง บ้างก็นั่งเรือเหาะหรือวิหคยักษ์มา
ทันใดนั้น สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากขอบฟ้า มันกระพริบแค่ไม่กี่ทีก็ร่อนลงบนแท่นสีขาวหยก หลังจากแสงแวววาวดับลงแล้ว ก็เผยให้เห็นร่างของผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้อีกหลายคน
หนึ่งในนั้นเป็นเด็กชายอายุสิบสองสิบสามปีกับชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีขาว และถือพัดสีเขียวอยู่ด้ามหนึ่ง พวกเขาก็คือผู้อาวุโสแซ่หลูกับทารกเฮ่าเยวี่ยที่เป็นผู้อาวุโสของหุบเขาเมฆาหยกนั่นเอง ด้านข้างยังมีหญิงวัยกลางคนสวมชุดสีเขียว อายุราวๆ สามสิบกว่าปี ใบหน้างดงามอยู่ด้วยผู้หนึ่ง
คนเหล่านี้พูดคุยกับคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นอย่างคุ้นเคยสองสามประโยค จากนั้นก็ไปรอคอยอยู่บนมุมแท่นสูง
หนึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อยอดเขาทั้งลูกเต็มไปด้วยคนจำนวนมาก ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้บนแท่นสูงที่หัวหน้าสาขาทั้งแปดอยู่ ก็มีมากถึงห้าหกสิบคน
แน่นอนว่าคนเหล่านี้ไม่อาจเป็นตัวแทนของยอดเขาทั้งหมดในนิกายยอดบริสุทธิ์ เพียงแต่มีจำนวนศิษย์สายในอยู่ในมือ ทั้งยังมีความสนใจต่อการประลองใหญ่ในครั้งนี้ จึงได้ส่งคนมาดู
ขณะนี้ หญิงสาวงดงาม รูปร่างค่อนข้างดีที่ยืนอยู่ในบรรดาหัวหน้าสาขาทั้งแปดได้เงยหน้าขึ้นมาดูสีของท้องฟ้า ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาอย่างทนรำคาญไม่ได้
“ได้เวลาพอประมาณแล้วล่ะ”
“อืม! เวลาไม่เช้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันเถอะ!” ชายอ้วนเตี้ยที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ
เจียงจ้งและหัวหน้าสาขาคนอื่นๆ ย่อมพยักหน้าโดยไม่มีข้อคัดค้านใดๆ
ดังนั้นชายอ้วนเตี้ยจึงก้าวไปด้านหน้าสองก้าว และกระแอมไอเบาๆ ก่อนประกาศออกมา
“การประลองใหญ่ของแปดสาขาที่สิบปีมีครั้ง จะถูกจัดขึ้นที่นี่ในวันนี้ ตอนนี้ข้าเป็นตัวแทนของทั้งแปดสาขามาประกาศกฎการประลองใหญ่”
แม้น้ำเสียงของชายอ้วนเตี้ยจะไม่ดังมาก แต่ดังสะเทือนไปทั่วทั้งยอดเขา ทำให้ศิษย์ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน
ทันใดนั้น ศิษย์ทั้งหมดก็ค่อยๆ เงียบลง และมองไปยังแท่นสูงสีขาวหยก
ชายอ้วนเตี้ยกวาดสายตามองดูหนึ่งรอบ จากนั้นก็ประกาศต่อ
“กฎการประลองใหญ่ในครั้งนี้ ส่วนใหญ่จะเหมือนกับที่ผ่านมา ศิษย์สายนอกของสาขาทั้งแปดทุกคนต่างก็สามารถเข้าร่วมได้ รอบแรกจะใช้ระบบคัดออก ศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมจะต้องเสี่ยงทายหาคู่ต่อสู้ก่อน หลังจากทำการต่อสู้กันแล้ว ผู้ชนะเข้ารอบต่อไป และใช้ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนได้หนึ่งร้อยอันดับแรก”
“การแข่งขันรอบก่อนชิงชนะเลิศ จะใช้การเสี่ยงทายต่อสู้อีกครั้ง เพื่อหาสิบอันดับแรก ผู้ชนะสิบอันดับแรกจะทำการหมุนเวียนกันต่อสู้ ส่วนรายละเอียดกฎเกณฑ์นั้น จะอธิบายอย่างละเอียดอีกทีเมื่อตัดสินสิบอันดับแรกได้แล้ว”
“นอกจากนี้ผู้ชนะร้อยอันดับแรก จะได้รับหินจิตวิญญาณและแต้มคุณูปการเป็นรางวัล และผู้ชนะสิบอันดับแรกจะได้รับหินจิตวิญญาณและแต้มคุณูปการที่มากยิ่งกว่า และยังได้รับรางวัลอื่นๆ ที่ทางนิกายเตรียมไว้ให้ ด้วยเหตุนี้จึงหวังว่าทุกคนจะทำอย่างสุดความสามารถ นอกจากนี้ในระหว่างที่ทำการประลอง ต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง แต่หากศิษย์คนใดตั้งใจทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือสังหารพวกพ้องเดียวกันตามอำเภอใจล่ะก็ จะถูกลงโทษสถานหนัก อย่างเบาก็แค่ถูกส่งไปที่คุกห้าขุนเขาสองขั้ว อย่างหนักก็ถูกทำลายพลังเวท และขับไล่ออกจากนิกาย”
“สำหรับกฎการต่อสู้ มีอธิบายอยู่บนกำแพงหินตรงแท่นประลองแล้ว อีกครึ่งชั่วยามให้หลังจะทำการเสี่ยงทาย ครึ่งวันให้หลังจะเริ่มการประลองทั้งสิบแท่นประลองพร้อมกัน”
หลังจากชายอ้วนเตี้ยพูดออกไปจำนวนมากภายในอึดใจ เขาก็ถอยหลังไปสองสามเก้า และพูดคุยสัพเพเหระกับหัวหน้าสาขาคนอื่นๆ
และบรรดาศิษย์ที่อยู่บนยอดเขาก็เกิดความฮือฮาขึ้นมาทันที แม้ว่าจะรู้กฎการประลองอย่างแจ่มแจ้งตั้งแต่แรกแล้ว แต่ยังคงกรูกันไปดูที่กำแพงหินใหญ่อย่างอดไม่ได้
……
“หัวหน้าเจียง ได้ยินมาว่าช่วงนี้สาขาห่านฟ้าของท่านมีผู้มีความสามารถคับคั่ง! นอกจากจะมีโจวเทียนรุ่ยที่ติดสิบอันดับแรกของงานประลองใหญ่ในครั้งก่อนแล้ว ช่วงนี้ยังมีศิษย์แซ่หลิ่วเพิ่มขึ้นมาอีกคน คิดไม่ถึงว่าจะผ่านการทดสอบในวังมายานภาหยกมาได้” บนแท่นหยก ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองกำลังกล่าวกับเจียงจ้งด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง
“ที่ไหนกัน หัวหน้าเฉินชมเกินไปแล้ว! ข้ากลับได้ยินมาว่าสาขาวายุทะยานฟ้าของท่านมีศิษย์แซ่หลินที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ซึ่งก็เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหนือกว่าผู้อื่นเช่นกัน ทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาต่างๆ ของสายปีศาจ นอกจากนี้เฉินเติงที่เป็นหลานของท่าน ก็มีชื่อเสียงขจรไกลมาตั้งนานแล้ว วิชาค่ายกลของเขายากที่จะหาใครมาเทียบได้ มีทั้งสองคนนี้อยู่ คิดว่างานประลองใหญ่ในครั้งนี้ สาขาวายุทะยานฟ้าจะต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน” เจียงจ้งกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
พอคนอื่นๆ ได้ยินต่างก็ยิ้มบางๆ และไม่กล่าวอะไรออกมา
หญิงงดงามวัยกลางคนผู้นั้นกลับเม้มปากกลั้นหัวเราะเอาไว้
หัวหน้าสาขาทั้งแปดย่อมให้ความสำคัญกับการประลองใหญ่เป็นอย่างมาก ศิษย์ที่เข้ารอบสิบอันดับแรกได้ ไม่เพียงแต่จะได้รับทรัพยากรจำนวนมากเท่านั้น สาขาที่สังกัดอยู่ก็จะได้รับการยกย่องจากนิกาย และได้รับทรัพยากรจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาของสาขาในสิบปีให้หลังมาก
หากศิษย์โชคดีได้ชนะเลิศมา ก็ไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มเรื่องทรัพยากรฝึกฝนในช่วงสิบปีให้หลังอีก
จุดสำคัญอีกอย่างก็คือ ผลลัพธ์ของการประลองใหญ่ในแต่ละครั้ง จะตัดสินชื่อเสียงและผลประโยชน์ของพวกเขาในนิกาย ดังนั้นพวกเขาย่อมให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ของการประลองใหญ่มาก
พริบตาเดียว เวลาครึ่งชั่วยามก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างเวลานั้น หลิ่วหมิงก็ไปอ่านประกาศของการประลองรอบแรกบนกำแพงหินอย่างละเอียดอีกครั้ง
การประลองรอบแรกแบ่งออกเป็นสิบเขต ใช้วิธีการต่อสู้เป็นคู่ๆ สิบคนสุดท้ายที่เหลือจะเป็นผู้ชนะสิบอันดับแรกของเขตนั้นๆ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นผู้แข็งแกร่งหนึ่งร้อยอันดับแรกขึ้นมา
และหลังจากคัดผู้แข็งแกร่งร้อยอันดับแรกมาได้แล้ว ก็จะทำการเสี่ยงทายอีกครั้ง ซึ่งยังคงต่อสู้กันเป็นคู่ๆ เพื่อตัดสินผู้แข็งแกร่งสิบอันดับแรก
สุดท้ายหลิ่วหมิงก็กวาดสายตามองไปทางฝูงชนสองสามที จากนั้นก็เดินไปหน้าแผ่นศิลาที่สูงสิบกว่าจั้งตรงด้านหนึ่งของยอดเขา เพื่อทำการเสี่ยงทาย
ขณะนี้ แผ่นบนศิลามีชื่อของศิษย์จำนวนมากปรากฏอยู่เต็มไปหมด
เขานำป้ายนิกายที่อยู่บนเอวออกมา และโบกไปยังแผ่นศิลา จากนั้นแสงสีเขียวก็กระพริบหายเข้าไปในนั้น
มุมขวาล่างของม่านแสงสีเทาที่ปกคลุมศิลาจารึกอยู่ มีชื่อหลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าปรากฏอยู่เขตที่เก้า
“เขตที่เก้า”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค
ขณะนั้นเอง ไม่รู้ว่าเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นเดินออกจากฝูงชนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมองเห็นฉากที่หลิ่วหมิงเสี่ยงทายพอดี
“เอ๋! ของศิษย์น้องหลิ่วเป็นเขตที่เก้า” เยี่ยนหมิงมองดูแผ่นศิลาแล้วกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่เยี่ยนกับศิษย์น้องเสวี่ย ท่านทั้งสองทำการเสี่ยงทายหรือยัง?” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วถามออกไป
“พวกข้าทั้งสองกำลังมาเสี่ยงทาย และมาเจอกับศิษย์น้องหลิ่วพอดี” เสวี่ยนอวิ๋นที่สวมชุดสีขาวยิ้มให้เล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
ขณะที่พูดทั้งสองก็พากันนำป้ายนิกายโบกไปยังแผ่นศิลา
สีแสงสีเขียวสองลำกระพริบออกมาแล้วจมหายเข้าไปในแผ่นศิลาเช่นกัน
จากนั้นชื่อของทั้งสองก็ดูเหมือนจะปรากฏออกมาพร้อมกัน เยี่ยนหมิงถูกแยกไปอยู่เขตที่ห้า และเสวี่ยอวิ๋นก็ถูกแยกไปอยู่ที่เขตที่หนึ่ง
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขตที่ห้า” เยี่ยนหมิงจ้องมองแผ่นศิลาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
หลิ่วหมิงชำเลืองมองแผ่นศิลาทีหนึ่ง ในเขตที่ห้ามีชื่อผู้แข็งแกร่งสองคนที่เยี่ยนหมิงเคยพูดถึงในก่อนหน้านั้น
“ศิษย์พี่เยี่ยน การประลองใหญ่ของนิกายเป็นการแลกมือกันเท่านั้น หากเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ก็ให้คิดเสียว่าเป็นประสบการณ์ต่อสู้จริงที่หาได้ยากก็พอแล้ว” ดูเหมือนเสวี่ยอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างจะอ่านความในใจของเยี่ยนหมิงออก นางจึงเอ่ยคำพูดปลอบใจออกมา
เยี่ยนหมิงหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับ
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูรายชื่อบนเขตที่เก้าอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากดวงตาของเขาเป็นประกาย ก็ค้นพบว่ามีชื่อของจั้งเสวียนอยู่ในนั้นด้วย
นอกจากนี้แล้ว ยังมีศิษย์อีกสองคนที่เยี่ยนหมิงบอกว่ามีชื่อเสียงไม่เบา ส่วนคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
แต่ว่าทุกเขตการประลองต่างก็มีสิบตำแหน่งที่เข้าเป็นผู้แข็งแกร่งร้อยอันดับแรก ดังนั้นก่อนเข้าสู่ร้อยอันดับแรก ก็ใช่ว่าเขาจะได้เจอกับคนเหล่านี้เสมอไป
………………………………