ภาพตรงหน้าโจวเทียนรุ่ยพร่ามัว ทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนไปทันที ทุกหนแห่งยังคงเป็นแท่นประลอง รอบด้านเต็มไปด้วยทะเลไร้ขอบเขต คลื่นยักษ์อัดเข้ามาจากทั่วทิศ
“แย่แล้ว!”
โจวเทียนรุ่ยมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขามองไม่เห็นเงาของโหวคุนเลย แต่โชคดีที่ยังสามารถเชื่อมจิตกับหุ่นที่ปล่อยออกไปได้อย่างชัดเจน
แต่ทว่าสถานการณ์ของหุ่นเหล่านี้เหมือนกับเขาไม่มีผิด ทุกการเคลื่อนไหวหนักหน่วงราวกับหมื่นชั่ง
“น่าเกลียดชังยิ่งนัก!”
พอโจวเทียนรุ่ยสงบจิตเล็กน้อย ก็ค้นพบว่าแม้ค่ายกลชั่วคราวนี้จะมีพลังในการกักขัง แต่กลับไม่มีพลังโจมตีเลย หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็ตบน้ำเต้าในมือทันที แสงสีเหลืองม้วนตัวออกมาต้านทานคลื่นยักษ์รอบด้านไว้อย่างสุดชีวิต และเริ่มดิ้นรนให้หลุดพ้นไปจากค่ายกลนี้
จากประสบการณ์ของเขา ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลกักขังธาตุน้ำ และตัวเขาเองก็เชี่ยวชาญวิชาธาตุดิน เมื่อนำมันมาควบคุมกัน ใช้เวลาเล็กน้อยก็สามารถทำลายได้แล้ว
ในขณะเดียวกัน หลังจากชายหนุ่มผมขาวปล่อยค่ายกลยันต์ออกไปติดต่อกันสิบกว่าชุด เขาก็สูญเสียพลังเวทไปมาก หลังจากหายใจลึกๆ ด้วยสีหน้าซีดขาว ก็เอาแขนทั้งสองมาไขว้ไว้ตรงหน้าแล้วแยกออกจากกันทันที ทันใดนั้นอสรพิษเพลิงขนาดครึ่งจั้งจำนวนสิบกว่าตัวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“วิชาระดับกลาง วิชาอสรพิษเพลิง!”
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงก็คือ แม้กระทั่งวิชาระดับกลางเช่นนี้ ชายหนุ่มผมขาวก็ประทับวิชาจนสำเร็จ มิเช่นนั้นคงไม่อาจแสดงออกมาได้รวดเร็วเช่นนี้ ขณะเดียวกันยังสามารถควบคุมอสรพิษเพลิงได้จำนวนมากด้วย
ครู่ต่อมา ชายหนุ่มผมขาวดีดนิ้วทั้งสิบใส่อสรพิษเพลิงตรงหน้า ทันใดนั้นอสรพิษเพลิงสิบกว่าตัวก็ค่อยๆ รวมตัวจนกลายเป็นมังกรเพลิงขนาดใหญ่ที่ยาวสามสิบกว่าจั้ง มันดูราวกับมีชีวิต
“ไป!”
พอชายหนุ่มส่งเสียงตะคอก มังกรเพลิงก็ส่งเสียงร้องออกมาจริงๆ จากนั้นก็ส่ายหัวส่ายหางพุ่งเข้าใส่โจวเทียนรุ่ย บริเวณที่มันพุ่งผ่านถูกเผาจนกลายเป็นสีแดง
ขณะนี้ ร่างของโจวเทียนรุ่ยถูกขังอยู่ในค่ายกล แม้ว่าจะกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณอย่างเต็มที่ แต่ยังต้องใช้เวลาในการทำลายค่ายกลเล็กน้อย ทันใดนั้นกลับรู้สึกถึงคลื่นพลังเวทอันรุนแรง แสงสีแดงเปล่งประกายท่ามกลางคลื่นยักษ์ตรงหน้า หัวมังกรอัปลักษณ์พุ่งออกมาจากในนั้น และพุ่งชนเข้ามาด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด
เกิดเสียงดังโครมครามอยู่ครู่หนึ่ง!
โจวเทียนรุ่ยและหุ่นจิตวิญญาณพสุธา ถูกเมฆอัคคีอันพวยพุ่งม้วนเข้าไปในนั้น และเริ่มละลายอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันแท่นประลองก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
หลังจากเมฆอัคคีพวยพุ่งไม่กี่ที ก็มีเงาร่างดำเกรียมเล็กน้อยโผล่ออกมาบนแท่นประลอง
โจวเทียนรุ่ยในขณะนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่มีหุ่นจิตวิญญาณธาตุดินอยู่ตรงหน้าเท่านั้น กำแพงพสุธาที่ไม่รู้ว่ามาต้านทานไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กับเกราะพสุธาก็แตกสลายด้วยเช่นกัน เขาเพียงแค่มองดูชายหนุ่มผมขาวด้วยสีหน้าซับซ้อน หลังจากหัวเราะอย่างขมขื่นแล้ว ก็ล้มโครมลงพื้นทันที
บรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองต่างก็เงียบเป็นเป่าสาก ประจักษ์ชัดว่ารู้สึกตกใจต่อภาพตรงหน้าเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเองก็หดรูม่านตาลง เขาแอบคิดพิจารณาว่า หากตนเองต้องเผชิญกับวิชาอสรพิษเพลิงนี้ จะสามารถรับมือได้โดยตรงหรือไม่
……
บนแท่นหยกสูง โหวคุนชายหนุ่มผมขาวที่ได้รับชัยชนะ ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของแต่ละยอดเขาพากันวิพากษ์วิจารณ์อยู่ครู่หนึ่ง มีคนจำนวนไม่น้อยที่แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ศิษย์ผู้นี้ไม่เพียงแต่มีร่างจิตวิญญาณที่หาได้ยาก ทั้งยังดูเหมือนจะมีความเชี่ยวชาญสายยันต์อย่างลึกซึ้งด้วย” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาวเทากล่าวด้วยความเบิกบานใจ
“หรือว่าศิษย์พี่เจ้าก็ถูกใจโหวคุนผู้นี้ด้วย?” ชายชุดดำใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมที่ราวกับใช้มีดแกะสลักออกมากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฟังจากน้ำเสียงของพี่หลี่แล้ว หรือว่าคิดจะแย่งศิษย์คนนี้กับข้า?” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาวเทากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่เจ้าพูดล้อเล่นแล้ว แม้ศิษย์ผู้นี้จะมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก แต่ยอดเขากระบี่สวรรค์เราฝึกฝนสายกระบี่ ใยต้องแย่งชิงกับพี่เจ้าด้วยเล่า!” ชายชุดดำยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่างานประลองใหญ่ยังไม่เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของแต่ละยอดเขาต่างก็แอบแย่งชิงกันอย่างเงียบๆ โดยเตรียมเลือกศิษย์ที่มีพลังแข็งแกร่งและมีศักยภาพไว้ในใจแล้ว
และโหวคุนมีคุณสมบัติโดดเด่นเช่นนี้ ย่อมเป็นคนที่ถูกแย่งชิงมากที่สุด
……
ในขณะเดียวกัน บนเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างจากยอดเขาเมฆาเลิศล้ำไปไม่ไกล ชายในชุดคลุมสีเหลืองสวมห่วงสีทองยืนขวางอยู่ตรงหน้าโจวเทียนรุ่ยที่พ่ายแพ้กลับมาด้วยท่าทีหน้าม่อยคอตก
“เจ้าคือโจวเทียนรุ่ยหรือ?” ชายชุดคลุมสีเหลืองกล่าวอย่งราบเรียบ
“เรียนผู้อาวุโส ศิษย์คือโจวเทียนรุ่ย ไม่ทราบว่าท่านคือ……” ขณะนี้โจวเทียนรุ่ยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่หลังจากค้นพบว่าตนเองไม่อาจรับรู้ถึงกลิ่นไอของฝ่ายตรงข้ามได้ ก็รีบประสานมือคารวะทันที
“ดีมาก ข้าเป็นผู้อาวุโสยอดเขาสันติสงบ ได้ยินมานานแล้วว่า เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการเรียกวิญญาณธาตุดิน เดิมทีกะจะไปดูการต่อสู้ที่ยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” ชายชุดคลุมสีเหลืองได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ข้าน้อยใช้ไม่ได้ ไม่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกของงานประลองใหญ่ในครั้งนี้ เกรงว่าจะทำให้ผู้อาวุโสผิดหวัง…..” ตอนแรกโจวเทียนรุ่ยรู้สึกตกใจมาก แต่ก็รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ไม่เป็นไร คนหนุ่มประสบความพ่ายแพ้เพียงเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องหน้าม่อยคอตกเช่นนี้ ที่ข้ามาในครั้งนี้ไม่ว่าอันดับในงานประลองของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็จะรับเจ้าเป็นศิษย์ของยอดเขาสันติสงบของเราอยู่ดี เจ้าคงรู้ดีว่ายอดเขาสันติสงบของเรา เคยมีผู้เชี่ยวชาญการเรียกวิญญาณมาไม่น้อย เจ้ายินยอมเข้ายอดเขาของเราหรือไม่?” ชายชุดคลุมสีเหลืองโบกมือตัดคำพูดของโจวเทียนรุ่ย และแหงนหน้าหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ผู้อาวุโสพูดจริงหรือ?” โจวเทียนรุ่ยได้ยินย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เขายังไม่ได้เข้าสู่สิบอันดับแรก ยอดเขาสันติสงบที่มีชื่อเสียงก็รับเขาเป็นศิษย์สายในแล้ว หลังจากพะวงในเรื่องผลได้ผลเสียส่วนตัวเล็กน้อย เขาก็ถามอย่างอดไม่ได้
“ข้าเป็นถึงผู้อาวุโสในนิกาย ไหนเลยจะกล้ากล่าวเท็จ” ชายชุดคลุมสีเหลืองไม่ได้โทษศิษย์ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับโบกมือออกไป
“ศิษย์เสียมารยาทแล้ว” โจวเทียนรุ่ยรีบกราบคารวะ ความคับแค้นของเขาในขณะนี้ได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว สีหน้าดูตื่นเต้นขึ้นมา
“ผู้ควบคุมยังรอข้ากลับไปอยู่ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!” พอชายชุดคลุมสีเหลืองกล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเบาๆ จากนั้นแสงสีแดงก็พยุงทั้งสองขึ้น และพุ่งออกไปยังทิศทางบางแห่ง
……
“การประลองรอบนี้ อู่หมิงจากสาขาเสวียนจีชนะ!”
หลังจากการต่อสู้รอบสุดท้ายสิ้นสุดลง ผลการคัดเลือกสิบอันดับแรกก็ปรากฏออกมา
หลิ่วหมิง โหวคุน เจ้าอั้นอิน อู่หมิง และศิษย์สายนอกคนอื่นๆ อีกหกคน กำลังยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ตรงหน้าแท่นหยกขาวอย่างเงียบๆ
และขณะนี้ ศิษย์หลายพันคนที่ยังไม่จากไป ก็ยืนล้อมรอบแท่นหยกขาวอย่างหนาแน่น เพื่อมองดูผู้ที่ได้สิบอันดับแรกในงานประลองใหญ่ครั้งนี้
ขณะที่ชายอ้วนเตี้ยเดินมาด้านหน้าสองสามก้าว และกำลังจะประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบประลองรอบถัดไปนั้น พลันมีน้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นมา
“ช้าก่อน!”
น้ำเสียงไม่ดังมากแต่กลับชัดเจนในหูของผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น
ขณะที่ผู้คนทั้งหมดเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจนั้น แสงสีทองก็กระพริบบนขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ และพุ่งมาทางยอดเขา ครู่เดียวก็ร่วงลงบนแท่นหยก
หลังจากแสงหลบหลีกดับไป ชายหนุ่มยิ้มแป้น อายุราวๆ ยี่สิบแปดยี่สิบเก้าปี สวมชุดคลุมยาวสีทองก็ปรากฏออกมา
ชายหนุ่มไม่มองหน้าคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย แต่กลับเดินตรงไปหาชายอ้วนเตี้ยตรงหน้า หลังจากกุมมือคารวะแล้ว ก็มอบป้ายคำสั่งสีทองแวววาวให้ และพูดเบาๆ สองสามประโยค
ชายอ้วนเตี้ยได้ยินก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย หลังจากตรวจสอบป้ายคำสั่งในมืออย่างละเอียด ก็ต้องเผยสีหน้าตกใจออกมา แต่หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้วก็กระแอมไอเบาๆ
“อะแฮ่ม! ทุกท่านเงียบก่อน ตอนนี้ข้าขอประกาศว่า ศิษย์ที่ชื่อจินเทียนชื่อผู้นี้ มีสิทธิ์ท้าสู้หนึ่งในสิบอันดับแรกได้ ผู้ชนะถึงอยู่ในสิบอันดับแรกเพื่อเข้ารอบต่อไป”
“คนผู้นี้ไม่ได้เข้าร่วมประลองในก่อนหน้า ทำไมอาศัยแค่ป้ายคำสั่ง ก็มีสิทธิ์เข้าสิบอันดับแรกได้?”
“นั่นน่ะสิ! หากเป็นแบบนี้กันทุกคน การประลองในรอบแรกกับรอบก่อนชิงชนะจะมีประโยชน์อันใด?”
พอคำพูดของชายอ้วนเตี้ยดังออกมา ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างก็รู้สึกงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่พอใจ
แต่ทว่าเมื่อชายอ้วนเตี้ยกวาดสายตามองไปอย่างเยือกเย็น และตามด้วยแรงกดดันของผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ที่ถูกปล่อยออกไป บรรดาศิษย์ทั้งหลายก็พากันปิดปากเงียบ ทำให้สถานที่บริเวณนั้นเงียบเป็นเป่าสากอยู่ครู่หนึ่ง
ขณะนี้ เฮ่าเยวี่ยและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังของแท่นหยก ก็ส่งเสียงคุยกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“เฮ่าเยวี่ยเจินเหริน หรือว่าป้ายคำสั่งนี้จะเป็นป้ายไท่หวา?” ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราส่งเสียงเบาๆ ด้วยสีหน้าตกใจ
“หากข้ามองไม่ผิดล่ะก็ จะต้องเป็นป้ายนี้อย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ที่สามารถนำป้ายไท่หวาออกมาได้ ยังมีคนที่ข้าไม่รู้จักด้วย คนที่ชื่อจินเทียนชื่อผู้นี้เป็นใครกันแน่? พี่หวารู้จักหรือไม่?” เฮ่าเยวี่ยก็ส่งเสียงตอบกลับด้วยสีหน้างงงวยเช่นกัน
“แม้แต่พี่เฮ่าเยวี่ยยังไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร ข้าที่กักตัวฝึกฝนตลอดทั้งวันจะรู้ได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเครากล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนอื่นๆ ก็กระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วพากันส่ายหน้า ประจักษ์ชัดว่าไม่มีใครรู้จักชายหนุ่มชุดคลุมสีทองผู้นี้
ในระหว่างเวลานั้น จินเทียนชื่อก็เลือกคู่ต่อสู้อย่างไม่เกรงใจ ซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างกำยำผู้หนึ่ง
“ฮึ! ข้าไม่สน เจ้ามีโอกาสได้ท้าสู้เป็นกรณีพิเศษเช่นนี้ หากคิดว่าสามารถฉวยโอกาสชิงสิบอันดับแรกในงานประลองได้ล่ะก็ เจ้าคิดผิดแล้ว” หลังจากชายหนุ่มรูปร่างกำยำได้รับการท้าสู้จากจินเทียนชื่อ เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เฮ่อๆ! ข้าก็แค่อยากมาร่วมสนุกเท่านั้น” จินเทียนชื่อได้ยินก็หัวเราะราวกับไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด
ท่าทีเช่นนี้ของเขา ย่อมทำให้ชายหนุ่มรูปร่างกำยำรู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้น
“เอาล่ะ! ในเมื่อทั้งสองต่างก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แล้ว ก็เริ่มการประลองได้ ผู้ชนะจะได้เข้าร่วมประลองในรอบสิบอันดับแรก” สายตาของชายอ้วนเตี้ยที่มองจินเทียนชื่อก็ดูฉงนเล็กน้อย แต่ยังคงประกาศออกมาเช่นนี้
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็มีผู้ดำเนินการระดับผลึกคนหนึ่งเริ่มเปิดชั้นจำกัดบนแท่นประลองใหม่อีกครั้ง
จินเทียนชื่อกับชายหนุ่มรูปร่างกำยำพุ่งขึ้นบนแท่นประลองทันที
………………………………