บนแท่นประลอง หลังจากผู้ดำเนินการระดับผลึกประกาศสิ้นสุดการประลองแล้ว หลิ่วหมิงก็ประสานมือคารวะ และกระโดดลงจากแท่นประลอง ขณะเดียวกันก็กวาดสายตาสังเกตดูการประลองของคู่อื่นๆ
บนแท่นประลองที่อยู่ใกล้ที่สุด คู่ต่อสู้ทั้งสองยังคงคุมเชิงกันอยู่
จินเทียนชื่อยืนอยู่บนมุมหนึ่งของแท่นประลองด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะลงมือเลยแม้แต่น้อย ตรงหน้าของเขาก็คือชายหนุ่มร่างอวบที่ชื่ออู่หมิงจากสาขาเสวียนจีนั่นเอง
ก่อนหน้านั้น จินเทียนชื่อโบกแขนเสื้อเก็บอาวุธจิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามไปอย่างน่าประหลาดใจ ดูเหมือนว่าจะทำให้ชายหนุ่มร่างอวบหวาดกลัวไม่น้อย ใบหน้าอวบอ้วนดูเคร่งขรึมขึ้นมามาก
ทั้งสองคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้ ซึ่งแตกต่างจากแท่นประลองอื่นๆ ที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
“ในเมื่อเจ้าไม่ลงมือก่อน ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว!” หลังจากผ่านไปราวๆ สี่ถึงห้าอึดใจ ในที่สุดอู่หมิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ดวงตาทั้งคู่เผยแววโหดร้ายออกมา พอเขาส่งเสียงคำรามและสะบัดแขนเสื้อ ตราประทับสีดำสลัวๆ ขนาดเล็กก็พุ่งออกมา
จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังออกไปติดต่อกัน ตราประทับขนาดเล็กหมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบ และขยายใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ ท่ามกลางแสงสีดำที่เปล่งประกาย จากนั้นก็พุ่งเข้าหาจินเทียนชื่อ
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จินเทียนชื่อก็ยังไม่นำอาวุธจิตวิญญาณใดๆ ออกมา เพียงแค่จ้องมองตราประทับสีดำที่มาอยู่เหนือศีรษะด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็โบกแขนเสื้ออย่างง่ายดาย
ฉากอันน่าประหลาดใจได้เกิดขึ้นอีกครั้ง!
ตราประทับยักษ์เพียงแค่เปล่งประกายเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในแขนเสื้อขนาดใหญ่ของเขา “ฟู่!”
ครู่ต่อมา จินเทียนชื่อยกแขนอีกข้างขึ้นเบาๆ มือยักษ์สีทองสลัวๆ ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นบนอากาศเหนือศีรษะของฝ่ายตรงข้าม และตบลงมาทันที ทำให้อู่หมิงถูกส่งออกไปนอกแท่นประลองอย่างมั่นคง
พอการต่อสู้นี้เกิดขึ้น มันก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้บรรดาศิษย์ที่ชมอยู่เกิดความฮือฮาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มีคนจำนวนมากแดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา
ตอนที่อู่หมิงลงไปยืนอยู่ด้านล่างเวทีอย่างมั่นคงนั้น เขาเพิ่งจะตั้งสติได้ และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดผวา
คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ก่อนหน้านั้นตัวเขาเองได้เพิ่มยันต์ป้องกันไว้บนตัวหลากหลายชนิด แม้กระทั่งบนตัวยังสวมชุดเกราะจิตวิญญาณระดับสุดยอดอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถป้องกันมือยักษ์ของจินเทียนชื่อได้เลยแม้แต่น้อย
ขณะนี้ หลิ่วหมิงเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ในใจเขาคิดหาแผนรับมืออย่างรวดเร็ว
ขณะที่เขากำลังคิดพิจารณาอยู่นั้น การต่อสู้อย่างดุเดือดของแท่นประลองอีกสามแห่งก็ค่อยๆ สิ้นสุดลง
เป็นไปตามที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้ เจ้าอั้นอินหญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้า และโหวคุนชายหนุ่มผมขาว สามารถโจมตีศิษย์สาขาเซียวเซียงกับสาขาจิตวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างง่ายดาย
และผู้ชนะของแท่นประลองอีกแห่งกลับเป็นชายหนุ่มสาขาหงจวินที่ควบคุมกระบี่ทองแดงขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าคนผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนวิชากระบี่ด้วยเช่นกัน และก็เป็นม้ามืดที่มาใหม่ด้วย
จากการคาดการณ์ของหลิ่วหมิง อานุภาพของวิชาขี่กระบี่ที่เขาแสดงออกมา ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเองเลยแม้แต่น้อย
หลังจากทั้งสิบพักผ่อนไปหนึ่งชั่วยามแล้ว การประลองรอบที่สองก็เริ่มขึ้นอย่างคึกคัก
พอการประลองเริ่มขึ้น แท่นประลองแห่งหนึ่งก็ตัดสินผลแพ้ชนะได้แล้ว
จินเทียนชื่อใช้พลังแปลกประหลาดนั้นเก็บอาวุธจิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง จากนั้นก็ใช้มือยักษ์สีทองโจมตีผ่านอากาศ ก็สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
“พี่เจิน ท่านมองออกหรือไม่ว่าศิษย์ผู้นี้ใช้เคล็ดวิชาอันใด?” พอผู้อาวุโสคิ้วเหลืองบนแท่นหยกเห็นว่าศิษย์ในสาขาตนเองถูกโจมตีพ่ายแพ้เช่นนี้ ก็หันไปถามชายอ้วนเตี้ยด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดเล็กน้อย
“ลวดไม้ลายมือของคนผู้นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก แม้นิกายเราจะมีวิชาหลายอย่างที่คล้ายคลึง แต่ว่ามีเงื่อนไขในเรื่องของพลังจิตค่อนข้างสูง ทั้งยังดูเหมือนว่าจะมีแค่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อย่างพวกเราเท่านั้นที่มีคุณสมบัติฝึกฝนได้ การฝึกฝนของศิษย์ผู้นี้อยู่ที่ระดับของเหลวอย่างแน่นอน คิดว่าคงมีวาสนาได้ฝึกฝนวิชาอื่นที่พวกเราไม่รู้จัก” ชายอ้วนเตี้ยส่ายหน้าตอบ จากนั้นก็มองไปยังแท่นประลองที่โหวคุนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ในบรรดาศิษย์ที่อยู่ในสิบอันดับแรกนี้ มีโหวคุนแค่คนเดียวที่ไม่ต้องใช้อาวุธจิตวิญญาณ แต่ใช้วิชาห้าธาตุประกอบกับยันต์ในการรับมือศัตรู บางทีเขาอาจจะมีโอกาสในการเอาชนะจินเทียนชื่อก็ได้
ขณะเดียวกัน บนแท่นประลองที่โหวคุนทำการต่อสู้อยู่ มีแสงทรงกลดห้าสีปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง ในระหว่างที่รู้สึกละลานตาไปหมดนั้น อสรพิษน้อยหลากสีจำนวนมาก ก็พุ่งออกจากค่ายกลที่เปล่งแสงแวววาวเหล่านี้ ดูเหมือนว่าเขาจะแสดงค่ายกลยันต์ห้าธาตุบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง
และคู่ต่อสู้ของโหวคุนในรอบนี้ กลับเป็นเจ้าอั้นอิน หญิงสาวจากสาขาเสวียนจีที่มีแผลเป็นบนใบหน้า
ขณะนี้ ร่างของนางปราดเปรียวยิ่งนัก ในระหว่างที่ขยับร่างไปมา อสรพิษหลากสีที่พุ่งเข้ามาเหล่านั้น ก็ไม่สามารถจับต้องนางได้
และในขณะเดียวกัน แสงสีเงินแคบยาวกลุ่มหนึ่ง ก็ส่งแสงกระพริบหลบหลีกอสรพิษน้อยเหล่านี้อย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าจะเข้าใกล้โหวคุนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น โหวคุนก็ชี้ไปยังค่ายกลแห่งหนึ่งอยู่หลายครั้ง อสรพิษน้อยโปร่งแสงห้าตัวพุ่งออกมา และหายไปในพริบตา
ครู่ต่อมา มีเสียงดังมาจากบริเวณรอบๆ กลุ่มแสงสีเงินที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ไกล เสาหินสีเทาห้าต้นพุ่งขึ้นจากพื้นในทันที และรวมตัวกันตรงกลางจนดูคล้ายกรงขัง
พอแสงสีเงินดับลง เสือดาวสีเงินที่ยาวหนึ่งจั้งกว่าก็ปรากฏออกมา แต่กลับถูกเสาหินทั้งห้าล้อมรอบไว้
โหวคุนโบกแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ยันต์จำนวนมากกระพริบออกมา และค่อยๆ จมหายไปในเสาหินทั้งห้า
แต่พอมีเสียงดัง “หวึ่ง!” บนพื้นผิว อักขระสีเขียว แดง เหลือง ขาว ดำ ที่เป็นสัญลักษณ์ของธาตุทั้งห้า ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา เสาหินทั้งห้าก่อตัวเป็นค่ายกลห้าธาตุที่มีขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ
ภายใต้วงล้อมของเสาหิน เสือดาวสีเงินก็ส่งเสียงคำรามออกมาเป็นระยะๆ ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหลุดออกมาได้
ขณะนี้ เจ้าอั้นอินทำราวกับไม่ได้ยิน ยังคงหลบหลีกการโจมตีของอสรพิษน้อยจำนวนมาก แต่ในมือกลับทำท่ามือบางอย่างอยู่
พอชายอ้วนเตี้ยบนแท่นหยกเห็นการประลองนี้ ใบหน้าของเขาก็ดูเบิกบานใจมาก ประจักษ์ชัดว่าโหวคุนที่เป็นศิษย์ในสาขาเขานั้น มีพลังแข็งแกร่งเหนือความคาดหมายของเขา
และหญิงงดงามจากสาขาเสวียนจีกลับมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ดวงตางดงามของนางเปล่งประกาย ซึ่งไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ในขณะที่คนส่วนมากต่างก็คิดว่าเจ้าอั้นอินไม่มีทางชนะแล้วนั้น พลันมีเสียงร้องแหลมดังมาจากกลางค่ายกลห้าธาตุ
ครู่ต่อมา แสงสีเงินขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ก็พุ่งออกจากกรงขังห้าธาตุ ส่วนบนของกรงขังที่แข็งแกร่งจนยากจะทะลวงได้ ถูกโจมตีจนเป็นรูขนาดใหญ่
กลางอากาศด้านบนกรงขัง หลังจากแสงสีเงินสลายไปแล้ว กลับมีนกอินทรียักษ์สีเงินปรากฏออกมาตัวหนึ่ง ภายใต้การกระพือปีกทั้งสอง ดูเหมือนว่ามันจะมีขนาดสามสี่จั้ง ด้านบนถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายจิตวิญญาณสีทอง กรงเล็บสีเงินทั้งคู่แหลมคมจนไม่อาจต้านทานได้ แสงสีเขียวหมุนวนอยู่ในดวงตาทั้งคู่ไม่หยุด
นกอินทรียักษ์ชูคอแผดเสียงออกมา จากนั้นก็หุบปีกทั้งสองแล้วพุ่งไปยังชายหนุ่มผมขาว
โหวคุนเห็นเช่นนี้กลับยกมือข้างหนึ่งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เขาปล่อยพลังใส่ค่ายกลยันต์ทั้งสองอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีแสงแวววาวเปล่งประกาย วิหคขาวสิบกว่าตัวก็บินออกจากค่ายกลยันต์ และพุ่งออกไปรับมือกับนกอินทรียักษ์สีเงิน
ลวดลายจิตวิญญาณสีทองเปล่งประกายบนพิ้นผิวนกอินทรียักษ์สีเงิน ปีกทั้งสองพัดลงด้านล่างอย่างรุนแรง ทันใดนั้น สายฟ้าขนาดเท่าปากถ้วยจำนวนมากที่ผสมปนเปกับพายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวออกมา
วิหคขาวสิบกว่าตัวที่บินมาถึง ถูกพายุบ้าระห่ำม้วนตัวใส่จนเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้าง จากนั้นก็กลายเป็นยันต์ขาดๆ สิบกว่าผืนและร่วงลงด้านล่าง
เกิดเสียงดังโครมครามติดต่อกัน!
พายุบ้าระห่ำที่ผสมปนเปกับสายฟ้าม้วนตัวตามมาติดๆ และดูเหมือนว่าจะทำลายค่ายกลยันต์ห้าหกหลังตรงหน้าชายหนุ่มจนพังพินาศ และแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนกลายเป็นแสงหลากสี
ชายหนุ่มผมขาวรู้สึกตกใจมาก เขาเปลี่ยนท่ามือเพื่อจะกระตุ้นค่ายกลยันต์หลังอื่นๆ
แต่ขณะนั้นเอง เขารู้สึกว่ามีพายุบ้าระห่ำม้วนตัวผ่านเหนือศีรษะ นกอินทรียักษ์สีเงินปรากฏออกมาท่ามกลางพายุ ขณะเดียวกันกรงเล็บยักษ์สีเงินก็คว้าลงมา
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง โหวคุนทำได้แค่สะบัดแขนเสื้อปล่อยยันต์สีทองออกไปผืนหนึ่ง จากนั้นมันก็กลายเป็นม่านแสงปกคลุมเขาไว้
แต่หลังจากมีเสียงดังขึ้นมา ม่านแสงสีทองก็ถูกกรงเล็บยักษ์สีเงินตะกุยจนแตกกระจาย
ชายหนุ่มผมขาวได้เปิดเผยตัวด้านล่างนกอินทรียักษ์โดยสมบูรณ์
ขณะที่ผู้คนรอคอยว่าโหวคุนจะยังเหลือท่าไม้ตายหรือไม่นั้น ชายหนุ่มผมขาวกลับดวงตาเป็นประกาย ทันใดนั้นเขาก็กล่าวออกมาอย่างสงบ
“ข้ายอมแพ้!”
จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากแท่นประลองท่ามสายตาประหลาดใจของศิษย์จำนวนมาก
พอเจ้าอั้นอินโบกมือข้างหนึ่ง นกอินทรียักษ์สีเงินก็กลายเป็นกรงเล็บสีเงินอีกครั้ง หลังจากมองดูชายหนุ่มผมขาวด้านล่างแท่นประลองแล้ว นางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“การประลองในรอบนี้ เจ้าอั้นอินจากสาขาเสวียนจีชนะ!”
หลังจากได้ยินผู้ดำเนินการระดับผลึกประกาศผลการประลองแล้ว หญิงงดงามบนแท่นหยกถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ
ชายอ้วนเตี้ยกลับมีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา
เดิมทีเขาหวังว่าม้ามืดอย่างโหวคุนจะสามารถชิงอันดับหนึ่งมาได้ แต่ทว่าการประลองรอบที่สองเมื่อครู่กลับพ่ายแพ้ให้กับศิษย์สาขาเสวียนจี เขาย่อมรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
……
บนแท่นประลองอีกแห่ง ชายหนุ่มชุดเขียวกำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้อย่างดุเดือด
ชายหนุ่มชุดเขียวย่อมเป็นหลิ่วหมิงนั่นเอง และคู่ต่อสู้ของเขาก็เป็นอู่หมิงจากสาขาเสวียนจี
ศึกในก่อนหน้าที่พ่ายแพ้ให้กับจินเทียนชื่อ ไม่ได้ทำให้อู่หมิงรู้สึกหน้าม่อยคอตกแต่อย่างใด แต่ในทางตรงข้ามกลับดูเหมือนว่าจะกระตุ้นอารมณ์การต่อสู้ที่ฮึกเหิมกว่าเดิม
นิ้วทั้งสอบของเขาในขณะนี้เคลื่อนไหวราวกับล้อรถ และกระตุ้นตราประทับสีดำให้ปล่อยแสงสีดำออกมาต่อสู้กับหลิ่วหมิงอย่างดุเดือด
หลิ่วหมิงก็ใช้วิชาเปลี่ยนร่างแปลกประหลาดหลบหลีกการโจมตีของม่านแสงสีดำที่ม้วนตัวเข้ามา ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถฝ่าด่านสกัดกั้นไปได้ชั่วขณะ
จากการสังเกตการณ์ของเขาในก่อนหน้านั้น แสงสีดำที่ตราประทับปล่อยออกมา ไม่เพียงแต่จะสะท้อนการโจมตีของอาวุธจิตวิญญาณทั่วไปเท่านั้น ทั้งยังดูเหมือนว่าจะสร้างความเสียหายให้กับจิตวิญญาณของอาวุธจิตวิญญาณเองด้วย
ในขณะที่หลิ่วหมิงหลบหลีกแสงสีดำลำหนึ่งที่ม้วนตัวเข้ามาได้นั้น อู่หมิงก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาด้วยแววตาเฉียบขาด จากนั้นมันก็กลายเป็นหมอกโลหิตจมหายไปในตราประทับสีดำ
หลังจากตราประทับยักษ์หมุนติ้วๆ กลางอากาศ แสงสีดำก็ขยายใหญ่อย่างบ้าคลั่งจนมีขนาดเท่าหอหลังหนึ่ง ดูเหมือนว่ามันจะมีขนาดใหญ่กว่าตอนที่ต่อสู้กับจั้งเสวียนเล็กน้อย
อู่หมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วชี้ไปกลางอากาศ
ตราประทับสีดำส่งเสียงดัง “ตู้ม!” และพุ่งมาทางหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าตอนนี้ไม่อาจหลบหลีกได้แล้ว ภายใต้การครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็กระโดดขึ้นบนอากาศ และร่นถอยออกไป ขณะเดียวกัน หมอกดำก็พวยพุ่งออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงดังกรอบแกรบบนร่างของเขา แขนทั้งสองขยายใหญ่ขึ้นมาหนึ่งเท่าตัว
………………………………