เจ้าอั้นอินมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ข้อมือของนางชี้ออกไปติดต่อกัน ทันใดนั้นแสงเย็นสะท้านสิบกว่าลำก็ม้วนตัวออกไป ขณะเดียวกันร่างของนางก็พุ่งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายเยือกเย็น เขาเพียงแค่คว้ามือข้างหนึ่งไปบนอากาศ แสงสีทองก็ดับลง และกลายเป็นมือยักษ์สีทองข้างหนึ่งที่มีขนาดใหญ่หลายจั้ง และตบไปด้านหน้าทันที
ดาบสั้นปล่อยลำแสงเย็นสะท้านสิบกว่าลำโจมตีลงบนมือยักษ์ แต่มีแค่จุดแสงสีทองสาดกระเด็นเท่านั้น
จากนั้นฝ่ามือยักษ์ก็กางนิ้วทั้งห้าปิดกั้นการหลบหลีกบนล่างซ้ายขวาหญิงสาวไว้ และพร่ามัวไล่ตามฝ่ายตรงข้ามจนทัน
“เพล้ง!” แม้ว่าเจ้าอั้นอินจะต้านทานอย่างสุดชีวิต แต่ก็ยังถูกฝ่ามือยักษ์สีทองโจมตีจนอาวุธจิตวิญญาณในมือของนางกระเด็นออกไป และถือโอกาสตบนางจนกระเด็นออกไปนอกแท่นประลองด้วย
“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ!” ผู้ดำเนินการระดับผลึกประกาศออกมาทันที
“ออมมือแล้ว!”
หลิ่วหมิงประสานมือคารวะหญิงที่ยืนอยู่ด้านล่างแท่นประลองด้วยสีหน้าไม่พอใจ จากนั้นก็โบกมือเก็บหุ่นสี่ทิศกับทรายทองคำร่วงเข้าไป หัวบินกับแมงป่องกระดูกในขณะนี้ ก็ปล่อยหมาป่าเงินสามหัวออกมา จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำสองลำม้วนตัวเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
“เจ้าอั้นอินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์ผู้นี้……”
หลังจากหลิ่วหมิงเอาชนะในรอบนี้ได้ ย่อมทำให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายทำการวิพากษ์วิจารณ์กันอีกรอบ และดึงดูดสายตาของผู้แข็งแกร่งระดับผลึกบนแท่นหยกขึ้นมา
แต่เมื่อเทียบกับหลายครั้งในก่อนหน้านั้นแล้ว ครั้งนี้มีคนรู้สึกตกใจไม่มากนัก
“สามารถควบคุมหุ่นสี่ทิศได้อย่างชำนาญเช่นนี้ หลิ่วหมิงผู้นี้คงมีพลังจิตแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นทั่วไป” หญิงชุดแดงผู้นั้นเผยสีหน้าลังเลออกมา แต่พอนึกถึงร่างสามชีพจรจิตวิญญาณของหลิ่วหมิง นางก็ส่ายหน้าและถอนหายใจออกมาในที่สุด
หากว่าคุณสมบัติของหลิ่วหมิงสูงขึ้นอีกหน่อย เกรงว่าต่อให้เป็นแค่หกชีพจรจิตวิญญาณ นางก็จะรับเขาเป็นศิษย์อย่างไม่ลังเล
แต่ว่าการที่สามชีพจรจิตวิญญาณเข้าสู่ระดับผลึก ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีในนิกายยอดบริสุทธิ์มาก่อน แต่ล้วนเป็นตระกูลใหญ่ที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ใช้ทรัพย์สมบัติที่สะสมมาถึงทำให้บรรลุได้ แต่ก็หยุดชะงักอยู่ที่ระดับผลึกขั้นต้นตลอดชีวิต
ด้วยสถานการณ์ของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ความหวังนี้ช่างดูเลือนรางจริงๆ
ด้านล่างแท่นประลอง หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิในทันที หลังจากหยิบโอสถจินหยวนออกมาทานหนึ่งเม็ดแล้ว ก็เริ่มทำการฟื้นฟูพลังเวทโดยไม่มีเวลาไปชมการประลองคู่อื่นอีก
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม การประลองรอบที่เก้าที่เริ่มขึ้นในที่สุด
คู่ต่อสู้ของหลิ่วหมิงในรอบนี้เป็นจินเทียนชื่อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะมาโดยตลอด นี่เป็นรอบสุดท้ายที่จะตัดสินว่าอันดับหนึ่งจะเป็นของใคร
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าการประลองทั้งห้าคู่จะเริ่มขึ้นพร้อมกัน แต่นอกจากศิษย์ไม่กี่คนที่ยังอยู่ข้างแท่นประลองทั้งสี่แล้ว สายตาของคนกว่าครึ่งหนึ่งบนยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ ก็มองมาทางแท่นประลองนี้
“ก่อนหน้านั้นพี่หลิ่วต่อสู้อย่างดุเดือดติดต่อกันสองรอบ พลังเวทคงยังฟื้นฟูไม่หมดสินะ หากข้าลงมือกับพี่หลิ่วตอนนี้ มันจะดูไม่ยุติธรรมไปหน่อย” พอจินเทียนชื่อเดินขึ้นบนแท่นประลอง ก็สังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และไม่รีบลงมือแต่อย่างใด แต่กลับหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน จินเทียนชื่อยังคงยิ้มชื่นมื่น แต่สายตาของเขากลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าสามารถมองทะลุส่วนลึกของหัวใจได้
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวจินเทียนชื่อขึ้นมาไม่น้อย แต่ยังคงยิ้มโดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมา
“ศิษย์น้องหลิ่วสามารถควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้หลายชิ้น ทั้งยังเชี่ยวชาญการควบคุมหุ่น จะต้องมีพลังจิตเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันเป็นแน่ พวกเรามาแข่งเรื่องความแข็งแกร่งของพลังจิตกับพลังในการควบคุมดีไหม? ข้าจะยื่นข้อเสนอให้เปิดการประลองจิตวิญญาณบนแท่นประลองนี้ ศิษย์น้องคงไม่คัดค้านหรอกนะ?” จินเทียนชื่อเห็นหลิ่วหมิงไม่พูดอะไร เขาจึงหาวและกล่าวออกมาเช่นนี้
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้เผยสีหน้าผิดปกติใดๆ แต่กลับใจเต้นขึ้นมา
การต่อสู้อย่างดุเดือดในสองรอบก่อนหน้า ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทไปกว่าครึ่งหนึ่ง แม้ว่าจะทานโอสถจินหยวนฟื้นฟูไปหนึ่งรอบแล้ว แต่พลังเวทภายในร่างยังคงฟื้นฟูไม่ถึงขีดสุด
และคนตรงหน้ากลับเอาชนะการประลองทั้งสองรอบในก่อนหน้านั้นได้อย่างง่ายดาย วิชาแปลกประหลาดของเขาสามารถพูดได้ว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน และตัวหลิ่วหมิงเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้
แต่หากประลองพลังจิตล่ะก็ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้ที่มีพลังจิตเหนือกว่าผู้อื่นหรือว่าจะเชี่ยวชาญวิชาพลังจิตอื่นๆ แต่ด้วยพลังจิตของเขาที่พอจะเทียบกับระดับผลึกได้ ประกอบกับมีหนอนพลังจิตอยู่ในมือ คงจะไม่มีเหตุผลใดที่ต้องพ่ายแพ้
สำหรับการประลองจิตวิญญาณที่จินเทียนชื่อพูดถึง หลิ่วหมิงก็พอจะรู้อยู่บ้าง เพียงแค่อาศัยอาวุธจิตวิญญาณพิเศษบางอย่าง ซึ่งเป็นวิธีการประลองพลังจิตที่สังเกตได้ง่ายกว่า
วิธีการประลองเช่นนี้ เกิดขึ้นในระหว่างผู้ฝึกฝนระดับต่ำด้วยกันไม่มาก ส่วนมากจะแพร่หลายในผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นไป
เพราะการประลองตั้งแต่ระดับผลึกขึ้นไปจนกระทั่งถึงระดับแก่นแท้ ภายในพริบตาเดียวก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก และผู้ที่มีระดับการฝึกฝนใกล้เคียงกัน มักจะต่อสู้กันหลายวัน แม้กระทั่งอาจจะยั้งมือไม่ทัน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งการประลองจิตวิญญาณรวดเร็วและปลอดภัยกว่ามาก
ภายใต้การจับตามองของฝูงชน หลิ่วหมิงก็เงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าเอ่ยออกมา
“ในเมื่อพี่จินต้องการเช่นนี้ ข้าย่อมตอบสนองตามนั้น”
“ดี! ศิษย์น้องหลิ่วเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ผู้อาวุโสท่านนี้ รบกวนท่านนำแผ่นห้าธาตุมาชุดหนึ่งเถิด!” จินเทียนชื่อได้ยินก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสชุดเหลืองที่อยู่ข้างแท่นประลอง
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตาเป็นประกายขึ้นมา
ผู้อาวุโสชุดเหลืองผู้นี้มีสีหน้าเหลืองซีด แลดูอัปลักษณ์เล็กน้อย แต่เขาแตกต่างกับผู้ดำเนินการตัดสินระดับผลึกในก่อนหน้า ซึ่งไม่สามารถรับรู้กลิ่นไอได้เลยแม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสชุดเหลืองได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ในเมื่อทั้งสองสมัครใจจะประลองจิตวิญญาณ ข้าย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ”
พอกล่าวจบ ชายชุดเหลืองก็สะบัดแขนเสื้อ จากนั้นแผ่นกลมๆ ห้าแผ่นก็พุ่งออกมา
แผ่นกลมๆ ทั้งห้าแผ่นนี้แบ่งเป็นห้าสี ได้แก่สีเขียว แดง เหลือง ขาว และดำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังธาตุไม้ ไฟ ดิน ทอง และน้ำ
แผ่นกลมๆ ทั้งห้าพุ่งมาอยู่ตรงกลางระหว่างหลิ่วหมิงกับจินเทียนชื่อ และเรียงแถวลอยอยู่กลางอากาศ
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะทำอะไร ผู้อาวุโสชุดเหลืองก็พลิกฝ่ามือหยิบธงเล็กห้าสีออกมาหนึ่งผืน พอโยนขึ้นไปด้านบน มันก็จมเข้าไปใจกลางแท่นประลอง
ครู่ต่อมา มีแสงแปลกประหลาดพุ่งขึ้นมาจากบริเวณที่ธงเล็กๆ หายไป และขยายออกไปทั้งสองด้านกลายเป็นม่านแสงสีเหลืองสลัวๆ
ม่านแสงนี้ดูเหมือนพื้นที่เปล่าเปลี่ยวขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ทั้งยังขยายกว้างออกไปอย่างประหลาดใจ ทำให้ผู้ที่ชมอยู่รู้สึกว่ามันไร้ขอบเขต
“ค่ายกลมิติ”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน และเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาเป็นครั้งแรก
จินเทียนชื่อยิ้มเล็กน้อย และโบกมือข้างหนึ่งดูดทรงกลมสีทองมาไว้ในมือ จากนั้นก็ไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหนึ่งของม่านแสง
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็เลือกแผ่นทรงกลมสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของธาตุไฟ และไปนั่งขัดสมาธิอยู่อีกด้านของม่านแสงเช่นกัน
พอเห็นว่าทั้งสองเลือกแผ่นทรงกลมและหลับตาทั้งคู่ลงแล้ว ผู้อาวุโสชุดเหลืองก็สะบัดแขนเสื้อเก็บแผ่นทรงกลมสามแผ่นที่เหลือ หลังจากประกาศเริ่มการประลองแล้ว ก็ยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมาอีก
“ประลองจิตวิญญาณ ประลองพลังจิต……”
เดิมทีบรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองคิดว่าจะได้เห็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้
ทันใดนั้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่เผยสีหน้าผิดหวังออกมา แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีสีหน้าตื่นเต้นกับการประลองใหม่เช่นกัน
บนแท่นประลอง พอหลิ่วหมิงแตะระหว่างคิ้ว และกระตุ้นทะเลจิตรับรู้ พลังจิตก็ทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งเข้าไปในแผ่นทรงกลมสีแดงบนมือ
ลำแสงสีแดงพุ่งขึ้นฟ้าทันที และจมหายไปในม่านแสงบนแท่นประลอง
แสงสีแดงเปล่งประกายท่ามกลางทะเลทรายเปล่าเปลี่ยว ทันใดนั้นมนุษย์แสงสีแดงขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมา มองดูไกลๆ ราวกับว่ามันสูงสิบกว่าจั้ง
ขณะเดียวกัน อีกด้านของแท่นประลองก็มีลำแสงสีทองปรากฏออกมาเช่นกัน ซึ่งมาจากแผ่นทรงกลมสีทองในมือของจินเทียนชื่อ พอมันเปล่งประกาย ก็มีมนุษย์แสงสีทองปรากฏอยู่อีกด้านหนึ่งของม่านแสง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์แสงสีแดง
มนุษย์ยักษ์ทั้งสองต่างก็ยืนคุมเชิงกันอยู่ ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายแวววาวที่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกหวาดกลัว
“ฮึ่ม……!” มนุษย์แสงสีแดงส่งเสียงคำรามออกมา และก้าวยาวๆ ไปยังมนุษย์แสงสีทอง กำปั้นขนาดใหญ่ถูกแสงแวววาวห่อหุ้มไว้ และกระแทกไปที่ศีรษะของมนุษย์แสงสีทอง
มนุษย์แสงสีทองย่อตัวหลบพ้นไปได้ ขณะเดียวกันก็ปล่อยกำปั้นใส่คอของมนุษย์แสงสีแดง
มนุษย์แสงสีแดงไม่หลบหลีกเลยแม้แต่น้อย มันพลิกกำปั้นออกไปรับมือโดยตรง จากนั้นมนุษย์แสงทั้งสองก็ต่อสู้กันพัลวัน มีการแลกกำปั้นกันไปมาอย่างดุเดือด
ทันใดนั้น มนุษย์แสงสีแดงไม่ทันระวัง ไหล่ข้างหนึ่งจึงถูกฝ่ามือสีทองฟันหลุดออกมา
ทันใดนั้น มนุษย์ยักษ์สีแดงส่งเสียงคำรามและกลายเป็นอสรพิษยักษ์สีแดงตัวหนึ่ง มันรัดพันมนุษย์ยักษ์สีทองไว้อย่างแน่นหนา คมเขี้ยวแหลมคมขนาดใหญ่กัดลงบนคอหอยของมนุษย์ยักษ์สีทองอย่างไม่ปราณี
พอแสงสีทองเปล่งประกาย มนุษย์ยักษ์ก็กลายเป็นวิหคยักษ์สีทองดิ้นหลุดออกจากอสรพิษยักษ์ได้ มันกระพือปีกบินไปบนอากาศ และพุ่งเข้าใส่หัวของอสรพิษยักษ์สีแดงในทันที
ในระหว่างเวลานั้น ทั้งสองก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นอสูรประหลาดต่างๆ แสงสีแดงทองเปล่งประกายภายในม่านแสงอย่างต่อเนื่อง และทั้งสองก็ต่อสู้กันเป็นพัลวัน
อานุภาพของอสูรประหลาดเหล่านี้ มันแสดงถึงพลังทางจิตของผู้ควบคุมในระดับหนึ่ง และเพียงแค่เติมพลังจิตเข้าไปติดต่อกัน ก็จะทำการต่อสู้ได้อย่างต่อเนื่อง และในระหว่างการต่อสู้ พอถูกโจมตีก็จะทำให้พลังจิตลดลงไปมาก
แต่ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างโจมตีกันจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่มีใครอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเลยแม้แต่น้อย หลิ่วหมิงกับจินเทียนชื่อยังคงไม่มีใครตกเป็นเบี้ยล่าง
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชา พลันมีเสียง “เปรี๊ยะๆ!” ดังมาจากม่านแสง!
หมียักษ์ทางด้านจินเทียนชื่ออ้าปากขนาดใหญ่กัดคอของหมาป่ายักษ์สีแดงที่หลิ่วหมิงใช้พลังจิตสร้างขึ้นมา
หลิ่วหมิงที่นั่งอีกด้านของแท่นประลองขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายใต้แสงสีแดงที่เปล่งประกาย หมาป่ายักษ์สีแดงกลายเป็นแสงกระพริบแวววับพุ่งออกไปด้านหลัง
หลังจากแสงสีแดงเปล่งประกายอีกครั้ง บาดแผลบริเวณคอของหมาป่ายักษ์ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แต่ว่าแสงสีแดงบนตัวกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก ซึ่งมืดลงกว่าตอนแรกไม่น้อย
………………………………