จี้หยกนี้มีที่มีมาอันยิ่งใหญ่ เป็นป้ายคำสั่งเป๋ยโต่วที่ออกมาจาก ‘หอเป๋ยโต่ว’ ที่มีอิทธิพลเก่าแก่และลึกลับที่สุดในแผ่นดินจงเทียน
ว่ากันว่าหอนี้เป็นกลุ่มอิทธิพลที่มีมาแต่สมัยบรรพกาล หากคำเล่าลือนี้เป็นจริงล่ะก็ มันดำรงมายาวนานกว่านิกายยอดบริสุทธิ์และบรรดาสี่ยอดนิกายใหญ่ของมนุษย์เสียอีก
นอกจากนี้ความแข็งแกร่งที่อยู่เบื้องหลังนั้นยังไม่อาจหยั่งรู้ได้ แม้กระทั่งพูดได้ว่าอาจจะมีผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อยู่ด้วยก็ได้
และหอเป๋ยโต่วจะเรียกตนเองว่า ‘หอเฉียบแหลม’ เลื่องชื่อว่าไม่มีเรื่องใดในใต้หล้าที่พวกเขาไม่รู้
แม้คำพูดนี้จะดูโอ้อวดไปหน่อย แต่ว่าหอเป๋ยโต่วรู้ข่าวของสถานที่ต่างๆ ในแผ่นดินจงเทียนรวดเร็วมาก ผู้ที่ไปสอบถามส่วนมากจะได้คำตอบกลับมา
ตั้งสมัยโบราณมา หอเป๋ยโต่วปล่อยป้ายคำสั่งเป๋ยโต่วออกมาทั้งหมดหนึ่งหมื่นแปดพันอัน เพียงแค่ในมือถือป้ายคำสั่งเป๋ยโต่ว ก็จะเป็นแขกระดับสูงของหอแห่งนี้ แต่หากจะสอบถามข้อมูลต่างๆ ก็ต้องจ่ายหินจิตวิญญาณเป็นค่าตอบแทนจำนวนไม่น้อย
อีกอย่างหอแห่งนี้ยอมรับแต่ป้าย ไม่ยอมรับคน หากไม่มีป้ายเป๋ยโต่ว ต่อให้จะเป็นผู้ที่มีที่มาอันยิ่งใหญ่ ก็ไม่อาจซื้อข้อมูลจากหอแห่งนี้ได้
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าป้ายคำสั่งเป๋ยโต่วจะมีจำนวนไม่น้อย กลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง แต่สำหรับแผ่นดินจงเทียนแล้ว มันยังคงเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง หากผู้ฝึกฝนอิสระโดยทั่วไปอยากได้สักอัน เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มนิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้กลับมีป้ายคำสั่งเป๋ยโต่ว ช่างเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงเป็นอย่างมาก
แต่สำหรับเขาในตอนนี้ ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขากำลังต้องการพอดี
หลิ่วหมิงชื่นชมจี้หยกในมือด้วยสีหน้าเฉียบขาด
สามวันต่อมา หลิ่วหมิงขี่แสงสีดำออกจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณอย่างไร้สุ้มเสียง
เพื่อรักษาความลับ เขาไม่ได้ใช้ค่ายกลส่งตัวของนิกาย แต่กลับเปลี่ยนโฉมรูปร่างมายังตลาดขนาดกลางที่อยู่นอกนิกาย หลังจากใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมากจ่ายค่าค่ายกลส่งตัวไปหลายครั้ง ครึ่งเดือนให้หลังก็มาถึงตลาดวารีมืดที่อยู่ห่างจากเขาหมื่นวิญญาณไปล้านลี้
ตลาดวารีมืดดูธรรมดามาก มีขนาดไม่ถึงครึ่งของตลาดฉางหยางที่เขาเคยอยู่ในก่อนหน้านั้น สิ่งก่อสร้างในตลาดก็ดูทรุดโทรมและมืดมน พอมองดูไกลๆ จากบนอากาศ มันดูคล้ายกับสระน้ำสีดำแห่งหนึ่ง
ตอนนี้หลิ่วหมิงแปลงโฉมเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำเดินเตร่อยู่บนท้องถนนในตลาด และทำการสังเกตดูร้านค้าสองข้างทางอยู่ตลอดเวลา
หลังจากเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยุดอยู่หน้าประตูหอเล็กๆ สีเทาที่สูงสองชั้น
หน้าประตูใหญ่ของหอมีป้ายสีเทาแขวนอยู่แผ่นหนึ่ง ด้านในมีแสงขมุกขมัวเล็กน้อย ดูจากภายนอกมองเห็นอะไรในนั้นไม่ค่อยชัดเจน ดูคล้ายกับเป็นหอน้ำชาโดยทั่วไป
พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูบนแผ่นป้าย ก็ต้องเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา จากนั้นก็ก้าวยาวๆ เข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ด้านในหอน้ำชาจัดการได้ค่อนข้างเป็นระเบียบ มีโต๊ะเก้าอี้ไม้หลายตัววางอยู่อย่างง่ายๆ ด้านหลังตู้วางของมีคนที่ดูคล้ายเถ้าแก่กำลังเอามือข้างหนึ่งเท้าคางหลับปุ๋ยอยู่
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี ในร้านมีแขกอยู่บางตา ซึ่งนั่งอยู่ตามโต๊ะต่างๆ และต่างก็จิบน้ำชาไม่สนใจใคร
“แขกผู้นี้ เชิญเข้ามานั่งด้านในก่อน มาลองชิม ‘ชาจิตวิญญาณเจ็ดดารา’ ของร้านเรา รับรองว่าท่านจะต้องพอใจ!” ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังกวาดสายตามองไปรอบด้านนั้น ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นลูกจ้างก็เดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูบนตัวคนผู้นี้ ใจเขาก็รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย
ชายหนุ่มผู้นี้รูปร่างหน้าตาพื้นๆ แต่กลับมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น ไม่รู้ว่าฝึกฝนเคล็ดวิชาซ่อนเร้นพลังอะไร คลื่นพลังเวทบนตัวถึงได้ดูคลุมเครือเช่นนี้ หากไม่ใช่ว่าพลังจิตของเขาเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันล่ะก็ คงไม่อาจค้นพบได้
แต่เช่นนี้แล้ว เขาก็ยืนยันได้ว่าตนเองไม่ได้มาผิดที่
หอน้ำชาแห่งนี้เป็นสาขาย่อยแห่งหนึ่งของหอเป๋ยโต่ว
แต่ไหนแต่ไรมา หอเป๋ยโต่วก็ทำตัวลึกลับมาโดยตลอด ผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปไม่รู้แม้กระทั่งการดำรงอยู่ของหอแห่งนี้ ที่ทำการใหญ่ของมันตั้งอยู่ที่ใด ยิ่งไม่มีคนรู้จักเข้าไปใหญ่ หลิ่วหมิงใช้แต้มคุณูปการไปไม่น้อย ถึงหาสาขาย่อยของหอแห่งนี้มาจากวิหารกลลับสวรรค์ในนิกายยอดบริสุทธิ์ได้
หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว หลิ่วหมิงก็ยื่นป้ายคำสั่งเป๋ยโต่วให้ชายหนุ่มตรงหน้าดู
“ที่แท้ก็เป็นแขกระดับสูง เชิญท่านไปนั่งที่ชั้นสอง” ชายหนุ่มตาเป็นประกาย เขาจำป้ายในมือหลิ่วหมิงได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที หลังจากทำการโค้งคารวะด้วยสีหน้านอบน้อมแล้ว ก็หมุนตัวเดินไปยังบันไดที่อยู่ด้านในหอน้ำชา
หลิ่วหมิงเดินตามเข้าไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ชายหนุ่มพาหลิ่วหมิงขึ้นไปชั้นสองจนมาถึงประตูห้องแห่งหนึ่ง และเคาะประตูห้องสามที
จากนั้นประตูห้องก็ค่อยๆ เปิดออกมา
“เชิญสหายเข้าไปเถอะ!” ชายหนุ่มกล่าว จากนั้นก็ทำความเคารพแล้วหมุนตัวเดินลงจากหอไป ทิ้งหลิ่วหมิงไว้หน้าประตูเพียงคนเดียว
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พอมองเข้าไปด้านในแล้ว ก็เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ในห้องมีโต๊ะเก้าอี้จัดวางอยู่ ดูคล้ายห้องห้องสือทั่วไป ตรงหน้าฉากบังลมขนาดใหญ่ยังมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่ตั้งอยู่สองแถว บนนั้นมีคัมภีร์หนาๆ ประเภทต่างๆ จัดวางอยู่เต็มไปหมด ซึ่งต่างจากที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้มาก
“สหายผู้นี้ เชิญนั่ง” ชายวัยกลางคนสวมชุดสีขาวที่ดูสง่างาม ค่อยๆ เดินออกมาจากฉากบังลม หลังจากมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็ชี้ไปยังเก้าอี้ด้านข้างแล้วกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงนั่งลงด้วยแววตาประหลาดใจ กลิ่นไอของคนผู้นี้ลึกล้ำมาก ซึ่งมีการฝึกฝนระดับผลึกแล้ว
“ที่สหายมาในครั้งนี้ ต้องการสอบถามเรื่องอันใดหรือ?” หลังจากชายวัยกลางคนนั่งลงไปแล้ว ก็ถามอย่างราบเรียบ
“ข้าน้อยอยากทราบเบาะแสและข่าวของคนคนหนึ่ง” หลิ่วหมิงพูดออกมาตามตรง
“หาคน? ในเมื่อสหายมีป้ายคำสั่งเป๋ยโต่วที่หอเป๋ยโต่วเราส่งออกไป สหายย่อมรู้กฎดี ข้าจะตรวจสอบป้ายคำสั่งสักหน่อย จากนั้นท่านก็เขียนชื่อแซ่และที่มาของคนผู้นั้นไว้ในนี้” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าสงบ และหยิบกระดาษสีขาวออกมายื่นให้
หลิ่วหมิงนำจี้หยกออกมามอบให้ฝ่ายตรงข้าม และรับกระดาษขาวมา จากนั้นก็เขียนอักษรลงในนั้นสองสามแถวโดยไม่ต้องคิด
ขณะนี้ ไม่รู้ว่าชายชุดขาวตรงหน้าใช้เคล็ดวิชาอะไรตรวจสอบจี้หยกจนเสร็จ และพยักหน้าก่อนยื่นให้หลิ่วหมิง ขณะเดียวกันก็รับกระดาษสีขาวมากวาดสายตาดูสองสามที
……
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงจากหอเป๋ยโต่วไปอย่างเงียบๆ หินจิตวิญญาณบนตัวเขาในขณะนี้หายไปสามแสนหินจิตวิญญาณ แต่ก็ได้ข้อมูลที่ตนเองต้องการมาได้สำเร็จ
จากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่อยู่ที่ตลาดวารีมืดนานมากนัก และขี่เมฆทะยานไปยังทิศทางบางแห่ง
……
สองเดือนต่อมา ท่ามกลางทะเลทรายเปล่าเปลี่ยวที่ห่างไกลผู้คน มีแสงหลบหลีกสีแดงเลือดลำหนึ่งพุ่งเข้ามากลางอากาศ
ทันใดนั้นก็มีแสงสีเงินพุ่งออกจากทะเลทรายที่อยู่ด้านล่าง และพุ่งตรงเข้าใส่แสงสีเลือดกลางอากาศอย่างฉับไว
“เฮ้ย! อะไรนี่!”
มีเสียงเกรี้ยวกราดดังออกมาจากแสงหลบหลีกสีแดง จากนั้นแถบสีเลือดก็หวดใส่แสงสีเงิน
แสงสีเงินเหมือนถูกกระแทกอย่างแรง ทำให้กระเด็นกลับไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่าตอนพุ่งเข้ามา ที่แท้มันก็คือแมงป่องที่มีขนาดหนึ่งจั้ง ตัวของมันเป็นสีเงินแวววาว
และพอแสงหลบหลีกสีเลือดดับลง ก็เผยให้เห็นเงาร่างของคนที่อยู่ในนั้น เขาเป็นชายฉกรรจ์ที่มีรูปร่างกำยำล่ำสันผู้หนึ่ง สวมเสื้อคลุมยาวทั้งตัว เท้าเหยียบอยู่บนขวานยักษ์สีแดงเล่มหนึ่ง ขณะนี้กำลังจ้องมองด้านล่างด้วยสีหน้าดุร้าย
หากศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์อยู่ที่นี่ จะต้องจำได้ว่าชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำผู้นี้ก็คือปีศาจขวานโลหิตที่มีรายชื่ออยู่ในอันดับที่เก้าของบัญชีความเป็นความตายนั่นเอง
“ฟู่!”
มีคลื่นก่อตัวด้านหลังชายฉกรรจ์ จากนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏออกมา มีเสียงแหลมดังกลางอากาศ กำปั้นที่มีไอดำลอยวนเป็นเกลียวพุ่งเข้าใส่ท้ายทอยของชายฉกรรจ์ด้วยพลังอันหนักแน่นราวกับภูเขาไท่ซาน
ปีศาจขวานโลหิตรู้สึกขนลุกขนพอง พอหันหน้ากลับมาและคิดจะหลบหลีก ก็สายเกินไปเสียแล้ว ทำได้แค่เอาแขนทั้งสองมาป้องไว้ตรงหน้าเท่านั้น
“ตู้ม!”
ราวกับว่ามีหินหนักหมื่นชั่งมาวางอยู่บนตัว ปีศาจขวานโลหิตถูกโจมตีกระเด็นออกไปในทันที และตกลงบนพื้นทะเลทรายอย่างรุนแรง
มีเงาร่างสีดำเคลื่อนไหวกลางอากาศ พริบตาเดียวก็ร่วงลงพื้น
ท่ามกลางไอดำที่พวยพุ่งเป็นเกลียว เผยให้เห็นชายหนุ่มใบหน้าไร้ความรู้สึกผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
“สมควรตาย!”
เสียงตะคอกอันดุร้ายดังออกจากหมอกควันและภัสมธุลีที่กระเด็นออกไป ปีศาจขวานโลหิตจับขวานสีแดงเล่มนั้นไว้แน่น และโบกสะบัดขวานสีแดงจนกลายเป็นเงาพัดสีแดงฟันเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกลับเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว พอร่างของเขาพร่ามัวก็หลบหลีกแสงสีเลือดไปได้ ขณะเดียวกัน พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองสี่ลำก็พุ่งออกมา และกลายเป็นหุ่นสีทองอร่ามสี่ตัว พวกมันพากันยืนล้อมรอบปีศาจขวานโลหิตไว้
“ขึ้น!”
หลังจากหลิ่วหมิงส่งเสียงออกมา ค่ายกลสีทองหลังหนึ่งก็ก่อตัวขึ้น และปกคลุมปีศาจขวานโลหิตไว้
ครู่ต่อมา เงาขวานสีทองเจิดจ้าก็ค่อยๆ ฟันลงบนม่านแสงสีทอง แต่กลับกระตุ้นให้แสงสีทองสั่นไหวได้ครู่หนึ่งเท่านั้น
“เจ้าเป็นใครกัน? ข้าไม่มีบุญคุณความแค้นกับเจ้ามาก่อน ใยต้องดักโจมตีข้า?” ปีศาจขวานโลหิตจ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านนอกค่ายกลด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
หลิ่วหมิงกลับไม่มีอารมณ์จะพูดจาไร้สาระกับเขา พอตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว ไอดำก็เปล่งประกาย หัวบินพุ่งตรงออกไป และปล่อยผมยาวสีเขียวแทงเข้าไปในม่านแสง
อีกด้านหนึ่ง แมงป่องกระดูกที่ถูกโจมตีจนกระเด็นไปในตอนแรก ก็โจมตีเข้ามาจากอีกฝั่ง หางตะขอสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นมันก็ปล่อยเส้นสีดำออกไปหลายสิบเส้น
ม่านแสงสีทองสามารถต้านทานการโจมตีจากภายในได้ แต่กลับไม่ต่อต้านหัวบินกับแมงป่องกระดูกเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่ได้มีม่านแสงอยู่จริงๆ
ปีศาจขวานโลหิตมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา พอสะบัดขวานยักษ์บนมือ แสงสีเลือดอันเจิดจ้าก็เปล่งประกายบนพื้นผิว และกลายเป็นเงาขวานปั่นเส้นผมสีเขียวกับเส้นสีดำที่พุ่งเข้ามาจนแหลกละเอียดได้อย่างง่ายดาย
เกิดเสียงดัง “หวึ่ง!”
เงาขวานยักษ์สีเลือดถูกแสงสีเทากวาดเข้ามาจนสลายไปกว่าครึ่งหนึ่ง และแสงกระบี่สีเทาก็ฟันเฉียงเข้าใส่ปีศาจขวานโลหิตพร้อมกับเสียงอันแหลมดัง
พอปีศาจขวานโลหิตคำรามออกมา ขวานยักษ์สีเลือดก็ขยายใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า และต้านทานแสงกระบี่สีเทาไว้
แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ปีศาจขวานโลหิตจึงไม่อาจสนใจการป้องกันรอบตัวได้ พอหางตะขอของแมงป่องกระดูกสั่นสะท้าน เส้นเล็กๆ สีดำสิบกว่าเส้นก็กระพริบผ่านไป
ปีศาจขวานยักษ์เพียงแค่รู้สึกเย็นที่แขน จากนั้นก็มีรูเลือดสีดำปรากฏอยู่บนนั้นสิบกว่ารู ของเหลวพิษสีดำม่วงไหลออกมาอยู่ไม่หยุด แขนที่ยกขึ้นก็อ่อนแรงลงในฉับพลัน และดูแข็งทื่อขึ้นมา
………………………………