“ศิษย์พี่หลงคิดมากไปแล้ว ข้ามาบุกเจดีย์ซวีหลิงในครั้งนี้ ก็เพื่อจะลองดูก่อนเท่านั้น ไม่ได้หวังว่าจะทำสำเร็จในครั้งเดียว” หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา เขารู้ว่านางมีเจตนาดีกับเขา เขาจึงกล่าวออกมาอย่างไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น
ในสายตาของนาง แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเป็นศิษย์ยอดเยี่ยมในบรรดาศิษย์ระดับของเหลวด้วยกัน แต่เพราะมีระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกันมาก ตอนนี้ก็คิดจะฝืนท้าทายเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกแล้ว ออกจะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำไปหน่อย
แน่นอนหากนางรู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้สังหารหลวงจีนกระดูกแห้งลึกลับผู้นั้น จนทำให้นิกายยอดบริสุทธิ์โกลาหลในช่วงนี้ล่ะก็ ย่อมเป็นคนละเรื่องกันแล้ว
ขณะนั้นเอง อักขระบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบสี่ก็สว่างขึ้นมา
“ศิษย์น้องซาทงเทียนเข้าไปชั้นที่สามสิบสี่แล้ว”
“ซาเทียนสมกับเป็นผู้ฝึกกระบี่ ช่างมีพลังน่าตกใจจริงๆ” ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์สองคนที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยความดีใจ
ทางด้านศิษย์หญิงสองสามคนของยอดเขาเลื่อนลอยได้ยินเช่นนี้ ก็เพียงแค่มองดูทีหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังอักขระที่เปล่งประกายอยู่บนชั้นที่สามสิบห้า
ประจักษ์ชัดว่ามีศิษย์อีกคนกำลังบุกชั้นนี้อยู่ และน่าจะเป็นศิษย์ยอดเขาเลื่อนลอยด้วย
แต่ว่าการที่ซาทงเทียนบุกเจดีย์นี้ กลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หลังจากเขามองดูอักขระที่เปล่งประกายบนเจดีย์ซวีหลิงแล้ว ก็กล่าวลากับหลงเหยียนเฟยก่อนเดินตรงเข้าไปในเจดีย์
หลงเหยียนเฟยจ้องมองตามหลังเขาไป แม้ว่าจะไม่ได้ต้านทานไว้ แต่กลับต้องส่ายหน้าเบาๆ
ศิษย์คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็ทำราวกับมองไม่เห็น
หน้าป้ายหินสีเทาบริเวณฐานเจดีย์
หลิ่วหมิงหยิบแผ่นป้ายศิษย์สายนอกออกจากเอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากโบกมันเบาๆ แล้ว แสงสีเขียวลำหนึ่งก็พุ่งออกมา และจมหายไปในป้ายหิน ทำให้แต้มคุณูปการบนป้ายหายไปห้าหมื่นแต้ม
ครู่ต่อมา มีเสียงดัง “แคร่ก!”
ค่ายกลสีเลือดใต้ฐานเจดีย์สว่างขึ้นมา แสงสีเลือดจำนวนมากม้วนตัวออกมาปกคลุมหลิ่วหมิงไว้ จากนั้นก็ม้วนตัวกลายเป็นแสงสีเลือดจมหายไปในเจดีย์อย่างไร้ร่องรอย
พอเห็นว่าหลิ่วหมิงใช้แต้มคุณูปการจำนวนมากอย่างไม่ลังเลเช่นนี้ ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์กับยอดเขาเลื่อนลอยต่างก็มองมาด้วยความตกใจ
เพราะหากไม่อาจทะลวงชั้นที่สามสิบหกได้ ก็เท่ากับต้องเสียแต้มคุณูปการโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งแม้แต่ศิษย์สายในก็ยังต้องคิดชั่งน้ำหนักดูก่อน
และพวกเขาคิดว่าหลิ่วหมิงคงเสียแต้มคุณูปการโดยเปล่าประโยชน์แล้ว
ในขณะเดียวกัน ใจกลางเจดีย์ชั้นที่หนึ่ง
ไม่รู้ว่ากลุ่มแสงสีเลือดกระพริบมาจากที่ไหน พอมันดับลงก็เผยให้เห็นใบหน้าของหลิ่วหมิง
หลังจากเขาสงบจิตเล็กน้อยแล้ว ก็เริ่มตรวจสอบภายในเจดีย์อย่างละเอียด
สถานที่แห่งนี้ดูคล้ายกับวังมายานภาหยกเล็กน้อย บริเวณที่อยู่เป็นห้องโถงที่ค่อนข้างกว้างขวาง มีพื้นที่หนึ่งหมู่กว่าๆ ผนังรอบด้านมีอักขระสีดำประทับอยู่อย่างแน่นหนา
ห้องโถงทั้งหลังสูงจนมองไม่เห็นยอด ทั้งยังสว่างราวกับเป็นเวลากลางวัน!
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงหมาป่าหอนดังขึ้นมา!
มุมหนึ่งของห้องโถงที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้ง ภายใต้การเปล่งประกายของเงาสีดำ ทันใดนั้นหมาป่ายักษ์สีเทาตัวหนึ่ง ก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าดุร้าย
แต่ผิวสีขาวเทาของมันหยาบกระด้างผิดปกติ ไม่มีขนเลยแม้แต่เส้นเดียว ที่แท้มันก็เป็นแค่หุ่นอสูรเท่านั้น
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ภายใต้การกวาดจิตมองออกไป ก็ค้นพบว่าหมาป่านี้มีพลังแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น
เขายกแขนปล่อยกำปั้นออกไปหนึ่งลูกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“เพล้ง!” หลังจากมีเสียงดังเบาๆ ร่างของหมาป่ายักษ์ก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ครู่ต่อมาร่างของมันก็กลายเป็นจุดๆ ก่อนสลายไปเหมือนกับเงามายาในวังมายานภาหยก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แอบชื่นชมอยู่ในใจ
เจดีย์ซวีหลิงล้ำลึกมหัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หุ่นที่สร้างขึ้นมาเหมือนกับของจริงไม่มีผิด ดูเหมือนว่าความลี้ลับมหัศจรรย์ของมันจะเหนือกว่าวังมายานภาหยกสามส่วน
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น แสงสีเขียวก็ม้วนตัวขึ้นจากใต้เท้า และม้วนตัวเขาไว้ จากนั้นก็หายไปจากที่เดิมในพริบตา
ขณะที่หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นมานั้น ก็มาปรากฏตัวในห้องโถงที่มีลักษณะคล้ายๆ กับชั้นหนึ่งแล้ว และห่างออกไปไกลๆ ก็มีหุ่นตั๊กแตนสองตัวที่มีพลังระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นสองตัว
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว และปล่อยกำปั้นออกไปสองลูกอย่างรุนแรง ทำให้หุ่นตั๊กแตนทั้งสองถูกโจมตีจนกลายเป็นจุดแสงภายในพริบตา
ด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ ย่อมทะลุผ่านไปได้อย่างง่ายดาย และเมื่อผ่านด่านในแต่ละชั้นได้ เจดีย์ซวีหลิงก็จะส่งเขาไปชั้นต่อไปโดยตรง ขณะเดียวกัน อักขระที่อยู่ด้านนอกเจดีย์ก็จะเปล่งประกายออกมา
ชั้นที่สาม หลิ่วหมิงพบเจอกับหุ่นอสรพิษยักษ์สามตัวที่มีพลังระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้น ชั้นที่สี่เป็นหุ่นนักรบมนุษย์ที่มีพลังระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นสี่ตัว ชั้นที่ห้าก็เป็นปีศาจระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นจำนวนสี่ตัว แต่พลังของมันแข็งแกร่งกว่าหุ่นทั้งสี่ชั้นในก่อนหน้ามาก
ชั้นที่หกก็เป็นอสูรกิ้งก่าระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นจำนวนสี่ตัว มันไม่เพียงแต่มีสติปัญญาเหมือนกับปีศาจอสูรที่แท้จริงเท่านั้น ทั้งยังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พลังของมันก็เหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก ดูเหมือนว่าจะสามารถเทียบกับระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้แล้ว
ตอนขึ้นไปถึงชั้นเจ็ด ก็กลายเป็นอสูรพยัคฆ์ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางตัวหนึ่ง
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อจำนวนชั้นมากขึ้น ปีศาจอสูรกับหุ่นที่ปรากฏก็มีระดับการฝึกฝนสูงขึ้น
หลังผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม หลิ่วหมิงก็บุกขึ้นไปถึงชั้นสิบแปดแล้ว ภายในห้องโถงที่มีขนาดเหมือนกับในก่อนหน้าน้น มีปีศาจอสูรสิงโตเพลิงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายจำนวนสี่ตัวกำลังล้อมรอบเขาอยู่
หลิ่วหมิงสังเกตดูปีศาจอสูรทั้งสี่ที่ดูราวกับเปลวเพลิงนี้ และขมวดคิ้วขึ้นมา
แม้อสูรจิตวิญญาณตรงหน้าจะมีการฝึกฝนแค่ระดับจิตวิญญาณขั้นปลาย แต่กลิ่นไอเปลวไฟที่แผ่ออกมานั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าระดับของเหลวขั้นต้นเลย ทั้งยังดูเหมือนว่าปีศาจอสูรทั้งสี่จะมีจิตเชื่อมโยงกันด้วย พลังที่แท้จริงคงจะพอที่จะเทียบกับระดับของเหลวขั้นกลางได้
ตามข้อมูลที่เขาสืบมา เจดีย์ซวีหลิงมีทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดชั้น ทุกๆ สิบแปดชั้นจะเป็นหนึ่งเขตแดน และทุกๆ หกชั้นในนั้นก็จะเป็นเขตแดนเล็กๆ ทุกๆ ชั้นสุดท้ายของเขตแดนใหญ่ล้วนเป็นปีศาจอสูรสี่ตัว แต่พลังทั้งหมดทั้งมวลก็ห่างจากระดับเดียวกันในชั้นก่อนหน้ามาก ความแข็งแกร่งรวมกันของทั้งสี่พอจะเทียบกับเขตแดนถัดไปได้
“ฮึ่ม!” มีเสียงคำรามด้วยความโมโหดังเข้ามาขัดขบวนความคิดของหลิ่วหมิง
เปลวไฟสีทองเปล่งประกายในดวงตาของสิงโตเพลิงทั้งสี่ ขณะเดียวกันมันก็กลายเป็นกลุ่มเปลวเพลิงพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ลวดลายจิตวิญญาณสีดำบนแขนทั้งสองเปล่งประกาย จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม
“เพล้งๆ!” ดูเหมือนจะมีเสียงหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน!
ขณะที่กลุ่มเปลวเพลิงสองกลุ่มกระโจนขึ้นกลางอากาศและเผยร่างออกมานั้น เปลวเพลิงสีทองอีกสองกลุ่มก็ถูกเงาร่างสีดำแฉลบผ่านไป จากนั้นมันก็ระเบิดออกมาเป็นจุดแสง
ครู่ต่อมา มีเงาดำกระพริบผ่านมุมหนึ่งของห้องโถง ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
เขาที่ฝึกฝนวิชาเงาสามส่วนจนชำนาญ พริบตาเดียวก็สามารถสังหารสิงโตเพลิงระดับศิษย์จิตวิญญาณขึ้นปลายทั้งสองได้อย่างง่ายดาย พอมองดูกำปั้นสีแดงทั้งสองด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ดูเหมือนว่าจะมีบาดแผลเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง สิงโตเพลิงอีกสองตัวก็คำรามออกมา มันกลายเป็นเปลวเพลิงสองกลุ่มและรวมตัวกันกลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นลูกเปลวไฟขนาดจั้งกว่าๆ และพุ่งเข้ามาอย่างดุเดือด
หลิ่วหมิงเผยแววตาเฉียบขาดออกมา เขาหมุนตัวอย่างแปลกประหลาด พอตบฝ่ามือข้างหนึ่งผ่านอากาศ ก็มีเสียงมังกรพยัคฆ์ดังออกมา ฝ่ามือยักษ์สีเทาสลัวๆ สว่างวาบทันที
ทันใดนั้นมีเสียงดัง “ตู้ม!” ในห้องโถง จากนั้นก็ระเบิดตัวกลายเป็นสะเก็ดไฟ
ด้านนอกเจดีย์ซวีหลิง อักขระบนชั้นที่สิบแปดดับมืดลง และอักขระชั้นที่สิบเก้าก็สว่างขึ้นมา
เหยียนหลงเฟยเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าครุ่นคิด หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อยแล้ว นางก็มองไปยังอักขระบนชั้นสามสิบห้าที่เปล่งประกายออกมา
ท่ามกลางห้องโถงบนชั้นที่สามสิบห้า
แสงกระบี่สีเขียวที่ยาวสิบกว่าจั้งกระพริบผ่านไป ทำให้เกิดรูบนหน้าอกของโครงกระดูกที่สูงสองจั้ง
แต่ทว่าก่อนที่โครงกระดูกนี้จะกลายเป็นจุดแสงแวววาว ขวานกระดูกบนมือก็กลายเป็นแสงสีขาวฟันลงบนแสงกระบี่
หลังจากแสงกระบี่เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งสองสามที มันก็ดูมืดลงไปเล็กน้อย หลังจากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว มันก็ดับแสงลงและกลายร่างเป็นชายหนุ่มชุดผ้าแพร ซึ่งก็คือซาทงเทียนนั่นเอง
ขณะนี้เขากำลังถือกระบี่ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็กำหินจิตวิญญาณระดับสูงไว้ สีหน้าของเขาซีดขาวเป็นอย่างมาก และกำลังหายใจหอบอยู่ เห็นได้ชัดว่าใกล้จะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว
ตรงหน้าเขาไม่ไกล มีโครงกระดูกยักษ์อีกสองตัว ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีเทาในมือ หอกกระดูกสีเทาสองเล่มที่ยาวจั้งกว่าๆ ก็ก่อตัวขึ้นมา พอโยนออกไป มันก็กลายเป็นแสงสีเทาสองลำพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ
หอกกระดูกพร่ามัวกลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง ก็กลายเป็นเงาหอกหลายสิบเล่มที่ดูเหมือนกันไม่มีผิด และพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ซาทงเทียนหางตากระตุกเล็กน้อย พอกัดฟันทำท่าเคล็ดกระบี่ ร่างของเขาก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งออกไป ทำให้เงาหอกหลายเล่มที่พุ่งมาแตกกระจาย พอหมุนวนหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว ก็พอจะหลบหลีกเงาหอกกระดูกที่เหลือไปได้ และพุ่งเข้าใส่โครงกระดูกอีกตัวหนึ่ง
“ฟิ้ว!” แสงสีเขียวกระพริบผ่านโครงกระดูกไป ทำให้โครงกระดูกที่สูงสามจั้งระเบิดตัวเป็นจุดแสง
แต่ภายใต้แรงสะเทือนของแรงระเบิด แสงสีเขียวก็กลายเป็นเงาร่างของคนอีกครั้ง
ซาทงเทียนยังไม่ทันตั้งหลักได้ โครงกระดูกอีกตัวก็พุ่งเข้ามาถึง มันหัวเราะแปลกๆ จากนั้นค้อนกระดูกในมือก็โจมตีใส่หลังของเขาอย่างรวดเร็ว
ซาทงเทียนแอบร้องอุทานด้วยความตกใจ คิดจะแสดงวิธีการหลบหลีก แต่พลังเวทในร่างกลับหยุดชะงัก จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดที่หลัง และกระเด็นออกไปในพริบตา
เขากัดฟันหยิบยันต์หลายผืนออกจากชุดผ้าแพรด้วยความเจ็บปวด และยิงเข้าใส่โครงกระดูก จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และตะโกนคำว่า “ระเบิด!” ออกมา
“ตู้ม!”
โครงกระดูกยักษ์จมอยู่ท่ามกลางแสงไฟในพริบตา จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก
ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” ซาทงเทียนรู้สึกเจ็บที่ไหล่ซ้าย ที่แท้เขาก็ถูกลูกธนูสีขาวเจาะทะลุไป
ห่างจากเขาไปไม่ไกล ไม่รู้ว่าโครงกระดูกยักษ์ตัวสุดท้ายถือธนูกระดูกยักษ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะนี้กำลังอยู่ในท่ายิงธนูอยู่
ซาทงเทียนหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง แสงสีเขียวม้วนตัวขึ้นมาจากใต้เท้า
……
นอกเจดีย์ซวีหลิง
แสงสีเขียวม้วนตัวออกจากเจดีย์ชั้นที่สามสิบห้า พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นร่างของซาทงเทียน จากนั้นก็ตกลงพื้นอย่างหนักหน่วง
“น่าชิงชังยิ่งนัก! อีกนิดเดียวเอง”
ซาทงเทียนมีสีหน้าซีดขาว ดูเหมือนว่าพลังเวทในร่างจะถูกใช้ไปจนหมด หลังจากพลิกตัวลุกขึ้นมาได้ ก็รีบหยิบขวดเล็กสีดำออกจากยันต์เก็บของออกมาใบหนึ่ง และเทโอสถสีทองออกมาทานหนึ่งเม็ด
………………………………