“พวกเราไปกันเถอะ!” พอหญิงสาวชุดขาวจากยอดเขาเลื่อนลอยเห็นว่าคนยอดเขากระบี่สวรรค์ไปกันหมดแล้ว นางก็พูดกับเจียหลานและศิษย์หญิงคนอื่นๆ ในทันที จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกจำนวนมากพุ่งออกไปจากสถานที่แห่งนี้
……
หลังจากเสียงระฆังดังติดต่อกันสามสิบหกครั้งแล้ว เจดีย์ซวีหลิงก็กลับสู่ภาวะสงบอีกครั้ง
…….
“เสียงระฆังดังสามสิบหกครั้ง มีศิษย์สายนอกฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกสำเร็จแล้ว!”
ภายในสาขาห่านฟ้า เจียงจ้งกำลังหารืออะไรบางอย่างกับเหลียงจ้านเกออยู่ พอได้ยินเสียงระฆังดังเข้ามา สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ดูท่าคงจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์สาขาใดกันแน่?” เหลียงจ้านเกอลุกขึ้นกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“รีบไปสืบดูหน่อยเถิด!” เจียงจ้งเผยแววตาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สั่งออกไป แต่ในใจอดคิดถึงหลิ่วหมิงไม่ได้
……
ศาลาแห่งหนึ่งในสาขาวายุทะยานฟ้า มีผู้อาวุโสคิ้วเหลืองกำลังถือถ้วยชาอยู่ และมองไปทางเจดีย์ซวีหลิงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ขณะนั้นเอง มีฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น และศิษย์ผู้หนึ่งก็บุกเข้ามา
“รายงานหัวหน้าสาขา เมื่อครู่เพิ่งได้รับข่าวมาว่ามีศิษย์สายนอกฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกได้แล้ว”
“เจ้าคิดว่าข้าหูหนวกหรืออย่างไร ถึงไม่ได้ยินเสียงระฆังดังเช่นนี้ รีบไปสืบดูว่าเป็นใครแล้วค่อยมารายงานข้า” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองวางถ้วยชาลงแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
ศิษย์ผู้นี้ตกปากรับคำแล้วรีบเดินออกไปทันที
เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นในสาขาใหญ่ทั้งแปด……
……
บนยอดเขาเมฆาหยก ใต้ต้นสนโบราณต้นหนึ่ง ทารกเฮ่าเยวี่ยจ้องมองไปทางเจดีย์ซวีหลิงด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น ชุดคลุมสีเทาบนตัวโบกสะบัดตามแรงลม
เมื่อเทียบกับหัวหน้าสาขาต่างๆ เขารู้แล้วว่าผู้ที่บุกเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกเป็นใคร
“คิดไม่ถึงว่าเวลาแค่ไม่กี่ปี เจ้าเด็กนี่ก็มีพลังระดับนี้แล้ว ตัวคนเดียวก็สามารถโจมตีปีศาจอสูรที่พอจะเทียบเท่ากับระดับแก่นเสมือนได้ ดูเหมือนว่าการประลองใหญ่เมื่อเจ็ดปีก่อน พลังของเขาจะยังไม่ถึงระดับนี้ เจ้าเด็กนี่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณจริงๆ หรือ? หรือว่ามีร่างจิตวิญญาณแอบแฝงอยู่ ถึงได้ฝึกฝนได้รวดเร็วเช่นนี้” ทารกเฮ่าเยวี่ยเริ่มสงสัยว่าการทดสอบของตนเองในตอนนั้นมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า และรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก หลังการประลองใหญ่ในปีนั้น เขาควรยืนกรานรับหลิ่วหมิงเข้ายอดเขาเมฆาหยก แม้ว่าศิษย์พี่ที่เป็นผู้อาวุโสยอดเขาจะคัดค้าน ผลลัพธ์ก็คงจะดีกว่านี้
แต่ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว หลังจากหลิ่วหมิงผ่านการทดสอบของเจดีย์ซวีหลิง ก็หมายความว่าสามารถเข้าร่วมยอดเขาได้ตามต้องการ และยอดเขาเมฆาหยกก็ไม่มีโอกาสนั้นเลยแม้แต่น้อย
……
ในขณะเดียวกัน ภายในห้องโถงบนเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหก
แสงสีม่วงม้วนตัวขึ้นมาจากพื้นบริเวณนั้นภายในพริบตา และหล่นลงตรงหน้าหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่
พอลำแสงดับลง แผ่นหยกสีม่วงจางๆ ก็ปรากฏออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ปล่อยจิตออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทันใดนั้น เขาก็หยิบป้ายประจำตัวบนเอวมาโบกไปทางแผ่นหยกด้วยตาที่เป็นประกาย
จากคำแนะนำบนแผ่นหยก หากจะท้าสู้ต่อก็รออีกสิบอึดใจ แต่หากจะหยุดเพียงนี้ ก็ให้กระตุ้นชั้นจำกัดบนป้ายประจำตัว และจะถูกส่งออกไปด้านนอกเอง
ดูเหมือนว่าพลังเวทของหลิ่วหมิงในตอนนี้ จะไม่มีเหลือเลยแม้แต่หยดเดียว แม้กระทั่งโล่เก้ากะโหลกที่เขาพึ่งพิงได้มากที่สุด ก็เกิดความเสียหายเล็กน้อยแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากจะท้าสู้ต่อไปย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ชั่วเวลาสิบอึดใจผ่านไป แผ่นหยกสีม่วงก็แตกกระจายออกมา และกลายเป็นลำแสงม้วนเข้าไปในร่างของเขา
หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว จากนั้นก็ถูกส่งตัวมายังห้องโถงแปลกหน้าแห่งหนึ่ง และตัวเขาก็ยืนอยู่บนค่ายกลสีแดง
พอกวาดสายตามองดูรอบด้าน ก็ค้นพบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงทรงกระบอกสูงแห่งหนึ่ง มีเส้นผ่าศูนย์กลางยี่สิบถึงสามสิบจั้ง ผนังสีดำรอบด้านมีผลึกหินสีแดงเลี่ยมฝังอยู่ มันเปล่งประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ผู้อาวุโสชุดแดงกำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงหน้า
“เจ้าคือหลิ่วหมิงหรือ? ข้าเป็นผู้อาวุโสที่มาอยู่เวรในเจดีย์ซวีหลิง เจ้ามีอายุน้อยเช่นนี้ ก็สามารถบุกเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกได้ นับว่าทำได้ดีมาก ต่อไปก็มีสิทธิ์เรียกข้าว่าอาจารย์อาแล้ว” ใบหน้าที่ดูเหมือนเข้มงวดกลับเผยรอยยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“คำนับอาจารย์อา!” หลิ่วหมิงรีบโค้งคารวะในทันที
ผู้อาวุโสชุดแดงก็เป็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้เช่นกัน
“จะไม่พูดจาให้มากความ ตามกฎแล้วเจ้าควรจะได้รับรางวัลเป็นสิ่งตอบแทน ประการแรกเป็นแต้มคุณูปการ นอกจากจะคืนแต้มคุณูปการที่จ่ายไปในก่อนหน้าทั้งหมดแล้ว ยังจะได้รับแต้มคุณูปการอีกห้าหมื่นแต้ม” ขณะที่พูด ผู้อาวุโสชุดแดงก็โบกมือข้างหนึ่ง จากนั้นป้ายประจำตัวบนเอวหลิ่วหมิงก็มีแต้มคุณูปการเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแสนแต้ม
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา ขณะนี้ตนเองมีแต้มคุณูปการมากถึงสี่ห้าแสนแต้มแล้ว
“ประการที่สอง ตอนนี้เจ้าสามารถเลือกเข้ายอดเขาในนิกายได้ตามใจชอบ และเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายใน นอกจากนี้แล้ว หอคุมกฎจะมอบอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดให้เจ้าหนึ่งชิ้นด้วย”
“ขอบคุณอาจารย์อา” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รีบประสานมือคารวะด้วยความดีใจ
“ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ ไม่ว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติอย่างไร เพียงแค่ฝ่าด่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกได้ เจ้าก็มีสิทธิ์ได้รับทั้งหมดนี้ เจ้าตามข้ามาเถอะ” ผู้อาวุโสชุดแดงกล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อ จากนั้นแสงสีแดงจางๆ ก็ม้วนตัวหลิ่วหมิงไว้ และพุ่งออกไปนอกห้องโถงพร้อมกัน
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ทั้งสองก็มาปรากฏตัวบนยอดเขาที่หอคุมกฎตั้งอยู่
จะว่าไปแล้ว ตอนที่หลิ่วหมิงเข้านิกายได้ไม่นาน ก็ได้ติดต่อกับหอแห่งหนึ่งแล้ว แต่หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่
หอคุมกฎสร้างขึ้นบนยอดเขาสูงเสียดเมฆแห่งหนึ่ง พอมองออกไปทำให้รู้สึกถึงความหนักหน่วง และสะกดอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก
หลิ่วหมิงเคยทำความเข้าใจสถานที่แห่งนี้จากคัมภีร์มาก่อน ยอดเขาแห่งนี้มีชื่อว่ายอดเขาไท่อิน ซึ่งมีชื่อเสียงในนิกายยอดบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก และยอดเขาคุกมืดที่อยู่บริเวณนั้น ดูราวกับถูกเมฆสีดำปกคลุมไว้ทั้งยอดเขา ดูเหมือนกับว่าแสงที่ตกกระทบลงบนนั้น จะถูกกลืนเข้าไปทั้งหมด
“ไม่ต้องดูแล้ว ที่นั่นคือคุกห้าขุนเขาสองขั้ว เป็นสถานที่ลงโทษของนิกายยอดบริสุทธิ์ ไปกันเถอะ!” ผู้อาวุโสชุดแดงกล่าวอย่างราบเรียบ จากนั้นก็พาหลิ่วหมิงเข้าไปในประตูใหญ่ของหอดำเนินการ
หลิ่วหมิงรีบละสายตาออกมา และเดินตามไปด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
ผู้อาวุโสชุดแดงพาหลิ่วหมิงเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็มาถึงหน้าห้องโถงแห่งหนึ่ง หน้าประตูห้องโถงมีศิษย์ดำเนินการยืนอยู่ทั้งสองด้าน
“คารวะผู้อาวุโสเหมี่ยน” เห็นได้ชัดว่าศิษย์ดำเนินการทั้งสองรู้จักผู้อาวุโสชุดแดงผู้นี้ และพวกเขาก็คารวะอย่างนอบน้อม
“ข้ามีเรื่องสำคัญบางอย่าง พาข้าไปพบหัวหน้าหอคุมกฎหน่อย” ผู้อาวุโสชุดแดงสั่ง
“รับทราบ!” ศิษย์ดำเนินการคนหนึ่งรีบพยักหน้าตอบรับ หลังจากมองดูหลิ่วหมิงที่ตามมาด้านหลังด้วยความแปลกใจแล้ว ก็พาทั้งสองเดินเข้าไปในห้องโถง
หลิ่วหมิงตามติดผู้อาวุโสชุดแดงและศิษย์ดำเนินการที่นำทางอยู่ตรงหน้า โดยไม่กล้าชำเลืองมองข้างทางเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จิตรับรู้ก็ไม่กล้าปล่อยออกไปโดยพลการ
ไม่นาน ทั้งสามก็เดินทะลุห้องโถงมาถึงห้องที่อยู่ด้านหลัง หลังจากศิษย์ดำเนินการประสานมือคารวะผู้อาวุโสชุดแดงแล้ว ก็เดินเข้าประตูด้านข้างไป
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่เหมี่ยน เสียมารยาทที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับแล้ว ขออย่าได้ถือสา” ไม่นาน น้ำเสียงแหบแห้งก็ดังมาจากประตูด้านข้าง จากนั้นชายวัยกลางคนผมสีเทา สวมชุดสีเทาก็ค่อยๆ ก้าวออกมา
แต่จะเห็นว่าใบหน้าของเขาเป็นสีแดงเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนจะร้องไห้ก็ไม่ใช่ จะยิ้มก็ไม่เชิง
“หัวหน้าหอโอวหยาง นี่คือหลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า วันนี้ได้ผ่านการทดสอบในเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกแล้ว” ผู้อาวุโสชุดแดงกล่าวกับชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ด้วยสีหน้าปกติ
ชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ก็มองหลิ่วหมิงด้วยความตกใจระคนดีใจ และกล่าวชื่นชมเล็กน้อย
“ที่แท้เสียงระฆังที่ดังจากเจดีย์ซวีหลิงในก่อนหน้านั้น ก็เป็นฝีมือของเจ้านั่นเอง ผ่านการทดสอบของเจดีย์ซวีหลิงไปได้ พลังจะต้องเข้าสู่เหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันอย่างแน่นอน” ชายวัยกลางคนยิ้มเล็กน้อย แววตาของเขาเผยแววชื่นชมออกมา
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชื่นชม ข้าน้อยก็แค่โชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงคารวะทีหนึ่ง และตอบกลับอย่างนอบน้อม
“เฮ่อๆ! อยู่ที่นี่ไม่ต้องถ่อมตัวอะไร เอาล่ะ! เรื่องราวหลังจากนี้มอบให้ข้าเถอะ พี่เหมี่ยนไปจัดการธุระของตนเองก่อนเถอะ” หัวหน้าหอโอวหยางผู้นี้หัวเราะออกมา จากนั้นก็หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสชุดแดง
“ได้! ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน” ผู้อาวุโสชุดแดงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป
ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่มองดูจนผู้อาวุโสชุดแดงออกไปนอกห้องโถงแล้ว ถึงหันมามองหลิ่วหมิง
“ตามกฎของนิกาย ศิษย์สายนอกที่ฝ่าเจดีย์ซวีหลิงชั้นสามสิบหกได้ จะถูกรับเป็นศิษย์สายในโดยตรง จากนี้จะได้รับการปลูกฝังทั้งชีวิตและจิตใจ จุดนี้เจ้าก็คงรู้ดีใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนสังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงใจเต้นเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าอย่างนอบน้อม
ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ก็ยกแขนเสื้อขึ้น ทันใดนั้นแสงสีดำก็ม้วนตัวออกมา และเรียงตัวอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างแน่นหนา
มันคือป้ายแวววาวจำนวนมาก ซึ่งมีเกือบร้อยกว่าอัน
ที่แตกต่างจากป้ายศิษย์สายนอกก็คือ บนป้ายหยกแต่ละชิ้นจะมีชื่อของยอดเขาแต่ละแห่งสลักอยู่ ประจักษ์ชัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของศิษย์สายใน
ไม่รู้ว่ามีศิษย์จำนวนมากเท่าใด ที่ขยันฝึกฝนทุกวันเพื่อให้ได้มาเพื่อป้ายชิ้นนี้ พอเห็นฉากเช่นนี้ หลิ่วหมิงที่สงบมาโดยตลอด ก็อดใจเต้นไม่ได้
“ศิษย์หลานหลิ่ว ตอนนี้เจ้าเลือกป้ายมาหนึ่งอันเถอะ” พอเห็นว่าศิษย์ตรงหน้ามีท่าทีสงบเช่นนี้ หัวหน้าหอคุมกฎก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวอย่างราบเรียบ
“เดิมทีศิษย์ก็เป็นแค่ศิษย์สายนอกเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับยอดเขาต่างๆ หวังว่าผู้อาวุโสจะช่วยชี้แนะเล็กน้อย” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองป้าย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็กล่าวอย่างนอบน้อมและจริงใจ
“แม้ว่ายอดเขาแต่ละแห่งในนิกายเรา จะมีวิชาล้ำลึก แต่ยังคงเน้นหนักไปทางด้านการฝึกฝน บ้างก็เน้นการฝึกฝนเคล็ดวิชา บางก็เน้นการศึกษาวิชายันต์และโอสถ บ้างก็เน้นการฝึกฝนสายกระบี่ เป็นต้น อืม! ข้อมูลทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในแผ่นหยกนี้ เจ้าสามารถดูก่อนได้” หัวหน้าโอวหยางมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และพยักหน้าก่อนกล่าวออกมา
หลังจากกล่าวจบก็โยนแผ่นหยกออกไป
………………………………