หญิงสาวดวงตาสีเขียวรีบกระตุ้นร่มยักษ์สีแดงด้วยความตกใจ พริบตาเดียวก็กลายเป็นกลุ่มเมฆอัคคีม้วนตัวออกไปรับมือแสงสีทอง
แต่ฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
หญิงสาวรู้สึกตกใจจนไม่ทันได้ตั้งตัว ทันใดนั้น อากกาศตรงหน้าก็บิดเบี้ยวขึ้นมาฉับพลัน แสงสีทองจำนวนมากปรากฏออกมาอีกครั้ง และโจมตีลงบนม่านแสงเจ็ดสีราวกับพายุกระหน่ำ
หญิงดวงตาสีเขียวรีบทำท่ามือด้วยมือเดียวด้วยความตกใจ และกระตุ้นพลังเวทใส่ม่านแสงตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง
เสียงฝนตกกระทบรั้วดังอยู่ครู่หนึ่ง แสงสีทองเปล่งประกายบนม่านแสงเจ็ดสีอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกัน พลังมหาศาลก็ทะลักออกมา ทำให้หญิงสาวไม่อาจทรงตัวได้ และต้องถอยออกไปสองก้าว
หญิงสาวทั้งตกใจทั้งโมโห ขณะที่กำลังจะแสดงวิชาบางอย่างเพื่อโจมตีกลับไปนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็พุ่งเอียงออกไปด้านข้าง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน มีคลื่นสั่นสะเทือนเหนือศีรษะของนาง เงายอดเขาสีเหลืองที่สูงเจ็ดแปดจั้งปรากฏออกมา และกดลงด้านล่าง
“ตู๊ม!” หญิงสาวอาศัยดวงตาแห่งความว่างเปล่า ทำให้หลบการโจมตีจากด้านบนได้อย่างฉิวเฉียด และเงายอดเขาก็ร่วงลงด้านล่างอย่างรุนแรง
ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ไอดำม้วนตัวรอบตัวหญิงสาว จากนั้นเงาร่างของหลิ่วหมิงสี่เงาก็ปรากฏออกมาราวกับปีศาจ และต่างก็ทุบกำปั้นออกไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หญิงสาวดวงตาสีเขียวมีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา แสงสีเขียวเปล่งประกายในดวงตาทั้งคู่ นางไม่สนใจหลิ่วหมิงอีกสามคน แต่กลับหมุนตัวสะบัดแขนเสื้อใส่หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นไหมเงินกลุ่มหนึ่งก็พุ่งยิงออกไป
หลิ่วหมิงอีกสามคนสลายตัวอย่างไร้สุ้มเสียง และหลิ่วหมิงเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่เห็นเช่นนี้กลับยิ้มเล็กน้อย ร่างของเขาพร่ามัวในทันที
“ฟู่!”
หญิงสาวรู้สึกตกใจจนไม่ทันได้ตั้งตัว ทันใดนั้นอากาศตรงหน้าก็พร่ามัวขึ้นมา
“ฟิ้ว!” ไหมเงินเจาะทะลุร่างของหลิ่วหมิง แต่ร่างของเขากลับสลายกลายเป็นจุดแสงในทันที
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง กำปั้นที่มีเกล็ดปกคลุม ก็โจมตีลงบนม่านแสงเจ็ดสีพร้อมกับไอดำที่พวยพุ่งอย่างรุนแรง
หญิงสาวรู้สึกว่ามีเสียงดังหวึ่งที่หูทั้งสองข้าง ม่านแสงเจ็ดสีถูกโจมตีจนแตกกระจาย ขณะเดียวกันพลังมหาศาลก็ถาโถมเข้ามา หลังจากนางทำเสียงฮึดฮัดแล้ว ก็พุ่งถอยออกไปทันที
……
“การประลองรอบที่สาม นิกายยอดบริสุทธิ์ชนะ” หลังจากแสงสีดำภายในค่ายกลสีทองดับลง และหลวงจีนอวิ๋นกังกวาดสายตามองดูแล้ว ก็ประกาศผลออกมาอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงยังคงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางค่ายกลด้วยสีหน้าสงบ และหญิงสาวดวงตาสีเขียวก็ล้มอยู่บริเวณขอบค่ายกลด้วยสีหน้าซีดขาว มือข้างหนึ่งค้ำยันร่างไว้ อีกข้างก็กุมหน้าท้องอยู่ นางดูมีสีหน้าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก มีคราบเลือดจางๆ ปรากฏอยู่บนเสื้อ
ผลแพ้ชนะชัดเจนเป็นอย่างมาก
หลังจากหลิ่งหมิงกล่าวอย่างถ่อมตนแล้ว ก็ประสานมือคารวะก่อนเดินออกจากค่ายกล
เขารู้สึกพอใจกับพลังคุกมืดที่แสดงออกมาในเมื่อครู่มาก แม้ว่าด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้จะยังไม่อาจสร้างปีศาจระดับพลทหาร และระดับขุนพลขึ้นมาได้ แต่การใช้พลังนี้ปลดปล่อยวิชาบดบังสายตาร่วมกับการโจมตีของตัวเอง ยังคงให้เป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
หญิงสาวดวงตาสีเขียวทำเสียงฮึดฮัดออกมา หลังจากรับประทานโอสถเม็ดหนึ่งอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา และเดินไปอยู่ด้านหลังกู่เจวี๋ยด้วยสีหน้าอับอาย
กู่เจวี๋ยย่อมมีสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างมาก ศิษย์ชายผู้นั้นยิ่งเงียบกว่าเดิม
ในทางตรงกันข้าม ใบหน้าแห้งเหี่ยวของอินจิ่วหลิงกลับเผยสีหน้าพอใจออกมา ดวงตางดงามทั้งคู่ของเสี่ยวอู่ก็เปล่งประกายไม่หยุด และเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“การประลองสามรอบ นิกายยอดบริสุทธิ์ชนะสองรอบ ตามที่ตกลงกันไว้ กวางจิตวิญญาณเก้าสีตัวนี้ก็เป็นของเหลวสหายอินแล้ว คิดว่าสหายกู่เจวี๋ยคงไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ใช่หรือไม่?” หลวงจีนอวิ๋นกังค่อยๆ กวาดสายตาดูอินจิ่วหลิงกับกู่เจวี๋ย และประกาศผลออกมาในที่สุด
พอกล่าวจบจะเห็นว่าเขายกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงสีทองในค่ายกลสีทองก็ดับลง ลูกประคำที่อยู่ด้านล่างพุ่งขึ้นมา และค่อยๆ หมุนวนจนกลายเป็นสร้อยลูกประคำขนาดปกติก่อนพุ่งกลับมาในมือเขา
“ในเมื่อข้ารู้ตัวว่าด้อยกว่า ย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด ครั้งนี้ลำบากหลวงจีนอวิ๋นกังที่มาเป็นผู้ดำเนินการประลองแล้ว ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อน หากวันหน้ามีเวลาจะต้องไปเยี่ยมเยียนที่เขาถานกวงอย่างแน่นอน” กู่เจวี๋ยกันมากุมมือคารวะหลวงจีนอวิ๋นกัง แต่กลับไม่มองอินจิ่วหลิงเลยแม้แต่น้อย
“สหายกู่เกรงใจเกินไปแล้ว” หลวงจีนอวิ๋นกังประนมมือพยักหน้าให้เขา และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
กู่เจวี๋ยจ้องมองกวางน้อยเก้าสีที่นอนหมดสติอยู่ในกรงด้วยความไม่พอใจ พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวก็ม้วนตัวลงมา และกลายเป็นนกกระยางขาวตัวหนึ่งที่มีขนาดสิบกว่าจั้ง
วิหคจิตวิญญาณพยุงตัวกู่เจวี๋ยและศิษย์สองคนที่อยู่ด้านหลังขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีขาวพุ่งออกไป
“ดี ดี พวกเจ้าทั้งสองทำได้ดีมาก” หลังจากเห็นกู่เจวี๋ยจากไปแล้ว อินจิ่วหลิงก็ไม่ปิดบังความดีใจของตนเองอีก ขณะเดียวกันก็จ้องมองลูกกวางเก้าสีด้วยแววตาเร่าร้อน
ภายในกรงห้าสี กวางจิตวิญญาณเก้าสีที่ถูกยันต์สีเหลืองควบคุมไว้ยังคงมีท่าทีเหนื่อยหน่าย แต่แสงแวววาวบนตัวยังคงดูละลานตาเป็นอย่างมาก สมกับเป็นหนึ่งในอสูรจิตวิญญาณฟ้าดิน
“ในเมื่อสหายอินได้รับชัยชนะการประลองครั้งนี้ ก็สามารถนำกวางจิตวิญญาณตัวนี้ไปได้” หลวงจีนอวิ๋นกังยิ้มบางๆ และตบกรงห้าสีเบาๆ หลังจากร่ายคาถาออกมาสองสามทีแล้ว กรงห้าสีก็สลายตัวกลายเป็นจุดๆ จากนั้นแสงจิตวิญญาณก็กระพริบหายไปในแขนเสื้อ
พออินจิ่วหลิงโบกมือ กวางจิตวิญญาณเก้าสีก็กลายเป็นแสงหลากสีม้วนตัวเข้าไปในถุงหนังแวววาวที่อยู่บนเอว
อสูรตัวนี้ถูกยันต์ควบคุมไว้แล้ว หลังจากนี้ก็ทำให้มันยอมรับเป็นเจ้าของก็พอแล้ว
“ครั้งนี้รบกวนสหายอวิ๋นกังแล้ว หากวันใดสหายผ่านเทือกเขาหมื่นวิญญาณ เชิญมานั่งที่ยอดเขาของเรา ข้าจะต้อนรับอย่างดี” อินจิ่วหลิงประวานมือคารวะ และกล่าวกับหลวงจีนอวิ๋นกังอย่างนอบน้อม
“สหายอินเกรงใจเกินไปแล้ว วันนี้อาตมาได้รู้จักกับสหายและศิษย์ทั้งสอง นับว่าเป็นวาสนาเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะศิษย์หลานผู้นี้ นับว่ามีวาสนากับพระพุทธศาสนามาก วันหน้าหากมีวาสนาคงได้พบกัน” หลวงจีนอวิ๋นกังประนมมือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ใจเต้นตึกตัก ขณะเดียวกันก็คิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าหลวงจีนอวิ๋นกังผู้นี้จะสังเกตเขาตั้งแต่เริ่มต้น หรือค้นพบว่าบนตัวเขามีความลับอะไรบางอย่าง
แต่ดีที่ดูเหมือนว่าอินจิ่วหลิงไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ หลังจากพูดกับหลวงจีนอวิ๋นกังอย่างนอบน้อมไปสองสามประโยคแล้ว ก็ปล่อยเรือเหาะออกมา และพาหลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่นั่งเรือเหาะจากไป ครู่ต่อมาก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเทาหายไปท่ามกลางภูเขา
“คิดไม่ถึงว่าศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์จะมีไอปีศาจแท้อยู่บนตัว ช่างน่าสนใจยิ่งนัก”
หลังจากทั้งสามจากไปแล้ว หลวงจีนอวิ๋นกังก็ยืนพูดพึมพำอยู่ที่เดิม จากนั้นถึงโยนสร้อยลูกประคำออกไป และเขาก็กลายเป็นแสงห้าสีก่อนหายวับไปในพริบตา
ครึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงทั้งสามโดยสารเรือเหาะกระดูกมาปรากฏในเทือกเขาหมื่นวิญญาณอีกครั้ง
ครึ่งวันต่อมา ห้องข้างห้องโถงภายในยอดเขาลั่วโยวที่มีขนาดสิบกว่าจั้ง อินจิ่วหลิงกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก และจ้องมองลูกกวางจิตวิญญาณเก้าสีตรงหน้าด้วยความพอใจ
ตอนนี้อสูรจิตวิญญาณได้ยอมรับเขาเป็นเจ้าของแล้ว มันกำลังงอแขนงอขาหมอบอยู่ตรงเท้าอินจิ่วหลิงอย่างเรียบร้อย ดวงตาทั้งคู่จ้องมองรอบด้านด้วยความแปลกใจ
“ชัยชนะการประลองในครั้งนี้ ต้องยกความดีความชอบให้ทั้งสอง ยอดเขาเรารับปากแล้วจะไม่คืนคำ เจ้าทั้งสองอยากได้อะไรก็เอ่ยปากมาเถอะ!” ผ่านไปสักพักอินจิ่วหลิงก็ละสายตากลับมา และเงยหน้ามองหลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างก่อนกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เรียนผู้ควบคุมยอดเขา ศิษย์ไม่มีข้อเสนออื่น เพียงแค่ต้องการโลหิตบริสุทธิ์ของกวางจิตวิญญาณเก้าสีจำนวนหนึ่งเท่านั้น” หลิ่วหมิงสบตาศิษย์พี่ที่อยู่ด้านข้างทีหนึ่ง พอเห็นว่านางพยักหน้าให้ตนพูดก่อนได้ เขาจึงเอ่ยปากอย่างไม่ลังเล
“โลหิตบริสุทธิ์ของกวางจิตวิญญาณเก้าสี ไม่เลว! สิ่งนี้สามารถช่วยเจ้าทะลวงคอขวดระดับผลึกได้เล็กน้อย คำขอนี้ไม่เกินขอบเขตเกินไป ข้าอนุญาต” อินจิ่วหลิงพยักหน้า พอโบกแขนเสื้อ มีดขนาดเล็กแวววาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา แสงแวววาวบนพื้นผิวของมันดูสลัวๆ พอมองก็รู้ว่าไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณธรรมดา
จากนั้นอินจิ่วหลิงก็เผยแววตาลังเลเล็กน้อย และกวาดสายตาลงบนตัวกวางจิตวิญญาณเก้าสีอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็กรีดลงหลังคอของมันเบาๆ พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ โลหิตก็พุ่งออกจากบาดแผลมาสายหนึ่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นก้อนโลหิตกลมๆ ขนาดครึ่งชุ่นลอยอยู่บนมือเขา
กวางจิตวิญญาณเก้าสีไม่ส่งเสียงใดๆออกมาเลยแม้แต่น้อย ยังคงหมอบอยู่ตรงเท้าให้อินจิ่วหลิงลงมือได้ตามใจ
หลิ่วหมิงหยิบขวดเล็กสีเขียวหยกออกจากแขนเสื้อ และยื่นให้อินจิ่วหลิงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มองดูกวางน้อยจิตวิญญาณเก้าสีทีหนึ่ง จะเห็นว่าบาดแผลบนหลังของมันได้สมานกันดังเดิมแล้ว โดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลยแม้แต่น้อย
ครู่ต่อมา อินจิ่วหลิงพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งตบก้อนโลหิตใส่ลงไปในขวดเล็กเบาๆ และยื่นคืนให้หลิ่วหมิง
“ขอบคุณท่านผู้ควบคุมยอดเขา” หลิ่วหมิงรับขวดเล็กๆ กลับมาแล้วกุมมือคารวะด้วยความดีใจ
เพราะว่าโลหิตอสูรจิตวิญญาณฟ้าดินนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก เขาได้มันมารวดเร็วเช่นนี้ ก็นับว่าโชคดีไม่น้อยแล้ว
“เอาล่ะเสี่ยวอู่ถึงตาเจ้าแล้ว เจ้าอยากได้อะไรเป็นรางวัลก็พูดมาได้เลย” อินจิ่วหลิงลูบหลังอสูรจิตวิญญาณเก้าสีเบาๆ จากนั้นก็หันไปถามเสี่ยวอู่ที่อยู่ด้านข้าง
“เรียนอาจารย์ ศิษย์อยากขอให้อาจารย์มอบป้ายผ่านทางเพื่อทดสอบในทางปีศาจร้ายหนึ่งครั้ง” เสี่ยวอู่กระพริบตาและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ทางปีศาจร้าย? เสี่ยวอู่เจ้าลองพิจารณาดูอีกที เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถิด!” พออินจิ่วหลิงได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที
และหลังจากหลิ่วหมิงฟังแล้ว ก็เผยสีหน้าตกใจเล็กน้อย
เรื่องราวเกี่ยวกับทางปีศาจร้าย เขาก็เพิ่งรู้มาจากศิษย์พี่เฟิงผู้นั้นมาบ้างหลังจากเข้าเป็นศิษย์สายในแล้ว
ทางปีศาจร้ายที่กล่าวถึงคือแดนปีศาจร้ายที่ว่ากันว่าสามารถทะลุไปถึงแดนปรโลกได้ และควบคุมโดยสี่ยอดนิกายใหญ่
ศิษย์สายในขึ้นไปของสี่ยอดนิกายใหญ่ สามารถเข้าไปสังหารกลุ่มทหารปีศาจในทางปีศาจร้ายได้ โดยผ่านการอนุญาตจากนิกาย
ทหารปีศาจในทางปีศาจร้ายได้รับพลังและเติบโตโดยการกลืนกินเลือดเนื้อของผู้ฝึกฝน และผู้ฝึกฝนที่เข้าไปในนั้นก็สังหารปีศาจร้าย เพื่อเอาแก่นหยินปีศาจที่มีมูลค่าสูงสุด และวัสดุหายากอื่นๆ
และในทางปีศาจร้ายก็เต็มไปด้วยปราณหยิน ซึ่งมีประโยชน์กับผู้ฝึกฝนสายปีศาจ และพลังธาตุหยินเป็นอย่างมาก
………………………………