ตามที่หลิ่วหมิงทราบมา เพื่อป้องกันการกัดกร่อนร่างของปราณหยิน ศิษย์ที่เข้าไปในทางปีศาจร้ายทั้งหมดจะต้องลงนามสัญญาบางอย่าง และถูกประทับอะไรบางอย่างไว้บนตัว แต่ก็เป็นเพราะสัญญาลงนาม ผู้ฝึกฝนทั้งหมดที่เข้าไปในทางปีศาจร้าย จะต้องอยู่ในนั้นสิบกว่าปีขึ้นไปถึงจะเป็นอิสระออกไปได้
ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ประกอบกับการที่ปีศาจร้ายในนั้นมีพลังไม่ด้อยไปกว่าศิษย์ของนิกายทั้งสี่เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งยังมีปีศาจระดับดาราพยากรณ์ประจำการอยู่ด้วย ดังนั้นหลังจากเข้าไปแล้ว อาจจะผ่านการต่อสู้ความเป็นความตาย และเผชิญกับโอกาสอันดีต่างๆ ทำให้พลังเพิ่มขึ้นจนสามารถทะลวงคอขวดได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้มาก ที่จะถูกฝังอยู่ในนั้นตลอดกาล และไม่อาจออกไปได้
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่กล้าเข้าไปในทางปีศาจร้าย หากไม่ใช่ศิษย์ของแต่ละนิกายที่ถูกทำโทษให้เข้าไปในนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็จะเป็นผู้ที่สามารถละชีวิตกับความตายได้ หรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีความมั่นใจเป็นอย่างมาก
จึงไม่แปลกที่อินจิ่วหลิงจะเผยสีหน้าลังเลออกมาเมื่อได้ยินว่าศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของตนเองจะไปยังสถานที่แห่งนี้
“ศิษย์หยุดอยู่ที่ระดับผลึกขั้นปลายมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่อาจทะลวงคอขวดได้ หลังจากคิดไปคิดมา ก็มีแค่การไปฝึกฝนในทางปีศาจร้ายสักรอบ ลองดูว่าจะหาโอกาสอันดีในช่วงระหว่างความเป็นความตายได้หรือไม่ หวังว่าอาจารย์จะสนับสนุนเสี่ยวอู่” เสี่ยวอู่กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล ดวงตาทั้งคู่ดูหนักแน่นเป็นอย่างมาก
อินจิ่วหลิงครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงถอนหายใจออกมา พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ป้ายที่เปล่งแสงสีเลือดก็ปรากฏออกมา พอดีดมันเบาๆ ก็กลายเป็นแสงแวววาวร่วงลงในมือเสี่ยวอู่
“ขอบคุณอาจารย์” เสี่ยวอู่มองป้ายสีเลือดในมือด้วยความดีใจ และพูดขอบคุณออกมาอีกครั้ง
อินจิ่วหลิงกลับส่ายหน้า และเอามือข้างหนึ่งลูบหลังกวางจิตวิญญาณเก้าสีสองสามที พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวก็ม้วนเอากวางจิตวิญญาณเข้าไปในถุงที่อยู่บนเอว จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรออกมา
ครู่ต่อมา ห้องข้างห้องโถงก็เหลือแค่หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่เท่านั้น
“ศิษย์น้องหลิ่ว มีโลหิตบริสุทธิ์ของกวางจิตวิญญาณเก้าสีแล้ว เจ้าคงมีความมั่นใจในการทะลวงระดับผลึกเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง หวังว่าเมื่อเจอกันในสิบกว่าปีให้หลัง เจ้าจะเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว” เสี่ยวอู่ยิ้มให้หลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมา
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ให้ความกรุณาและสนับสนุน หวังว่าการไปทางปีศาจร้ายในครั้งนี้ จะสามารถทะลวงระดับคอขวดได้” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าวกับเสี่ยวอู่
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น รักษาตัวด้วย!” พอเสี่ยวอู่ได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป นางพูดออกมาอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็หายวับไปปรากฏตัวตรงประตู และกะพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงจ้องมองเงาร่างของเสี่ยวอู่ที่จากไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด หลังผ่านไปสักพักถึงค่อยๆ เดินออกไปด้านนอก และขี่เมฆกลับไปยังถ้ำที่พัก
เช้าตรู่วันที่สอง หลังจากหลิ่วหมิงเก็บของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากยอดเขาลั่วโยวไปอย่างเงียบๆ
ครึ่งเดือนต่อมา เขาก็เปลี่ยนรูปโฉมเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำผู้หนึ่ง และเข้าไปในหอน้ำชาเล็กๆ ของหอเป๋ยโต่วในตลาดวารีมืดอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาไม่เจอชายชุดขาวบนห้องหนังสือชั้นสองอีก แต่กลับเป็นหญิงวัยแต่งงานที่มีอายุราวๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหกปี
หญิงนางนี้มีคิ้วยาวไปถึงจอนผม อุปนิสัยไม่ธรรมดา หลังจากตรวจสอบป้ายหยกที่หลิ่วหมิงแสดงออกมา และรับกระดาษขาวจากมือเขาไปดูแล้ว ก็พูดออกมาอย่างราบเรียบ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านหลังฉากบังลม
หลิ่วหมิงเองก็ไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก จึงรู้ว่านางไปหาข้อมูลอยู่ เขาจึงยกชาตรงหน้าขึ้นมาจิบสองสามที และหลับตาพักผ่อน
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป หญิงผู้นี้ก็เดินออกจากฉากบังลม และถือแผ่นหยกสีขาวแวววาวเหมือนกับชายวัยกลางคนในก่อนหน้านั้น
“สหายรอนานแล้ว ข้อมูลในครั้งนี้ต้องจ่ายแปดแสนหินจิตวิญญาณ” พอหญิงนางนี้นั่งลงแล้ว ก็เอ่ยปากออกมา
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะไม่ได้เผยสีหน้าแปลกใจออกมาเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่กลับรู้สึกตกใจเล็กน้อย
ตัวเลขจำนวนนี้สามารถซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดธรรมดาได้หนึ่งชิ้น คิดไม่ถึงว่าหอเป๋ยโต่วจะจับเสือมือเปล่าโดยเสนอราคาสูงเช่นนี้ ช่างมีวิธีการหาเงินทองจริงๆ
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองแล้ว ก็หยิบแปดแสนหินจิตวิญญาณออกจากแหวนย่อส่วนมาวางไว้บนโต๊ะ
หญิงผู้นั้นใช้จิตกวาดดู และพยักหน้าก่อนสะบัดแขนเสื้อเก็บหินจิตวิญญาณเข้าไป ขณะเดียวกันก็มอบแผ่นหยกให้กับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเองก็ไม่พูดอะไรมาก เขานำแผ่นหยกวางไว้บนหน้าผาก และนำจิตจมดิ่งเข้าไปในนั้น เขาค้นพบว่าสิ่งที่อยู่ด้านในเป็นแผนที่แผ่นหนึ่ง และบนแผนที่ก็ทำเครื่องหมายไว้บนจุดที่ซากโบราณของเผ่าปีศาจในสมัยบรรพกาลอาจจะปรากฏ ซึ่งมีชื่อว่าเมืองโบราณเทียนเหย่
ครู่ต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงจดจำแผนที่ทั้งหมดได้แล้วก็ดึงจิตกลับมา และแผ่นหยกก็เผาไหม้ตนเองจนกลายเป็นขี้เถ้า
“ขอบคุณมาก” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ และบอกลาหญิงผู้นี้ก่อนออกจากหอน้ำชาไป
พอออกจากตลาดวารีมืด เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นเมฆดำก้อนหนึ่งก็พยุงตัวเขาขึ้นมา และเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
……
หลังจากหลิ่วหมิงออกไปจากเขตหอโป๋ยโต่วแล้ว ภายในห้องลับหลังฉากบังลมบนชั้นสอง หญิงที่พูดคุยกับหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ในมือกำลังถือแผ่นหยกสีขาวเทา และหรี่ตาทั้งคู่ราวกับกำลังคิดไตร่ตรองอะไรบางอย่างอยู่
ตรงหน้าของนางเป็นค่ายกลขนาดเล็กที่เปล่งแสงสีเทาสลัวๆ หลังหนึ่ง
ทันใดนั้นค่ายกลก็เปล่งประกายออกมา ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ
นางเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น ปากสีแดงค่อยๆ ขยับ และกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“เมื่อครู่ผู้ที่ถูกสงสัยว่าสังหารหลวงจีนกระดูกแห้งในก่อนหน้านั้นมาที่นี่ ทั้งยังสอบถามตำแหน่งซากโบราณของเผ่าปีศาจบรรพกาล คาดว่าขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างทางไปเมืองโบราณเทียนเหย่ เอาล่ะ! ข่าวก็ได้บอกเจ้าไปแล้ว ทางหอเรากับเจ้าก็ได้ชำระสินค้ากันเรียบร้อยแล้ว หากครั้งหน้ามีข่าวเช่นนี้ให้สืบอีก ทางหอเราจะไม่รับเป็นครั้งที่สองแล้ว”
“เข้าใจแล้ว เฮ่อๆ! ครั้งเดียวก็เพียงพอ” มีน้ำเสียงแหบแห้งที่เต็มไปด้วยความมั่นใจดังมาจากด้านในค่ายกล
……
สามวันต่อมา ท้องฟ้าเหนือป่าดงดิบแห่งหนึ่ง มีเงาร่างหนึ่งกำลังขี่เมฆพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ดูจากข้อมูลที่ได้รับมาจากหอเป๋ยโต่ว ขณะนี้เขากำลังเดินทางไปยังซากโบราณที่ปรากฏขึ้นมา ซึ่งเขามีเวลาอย่างเพียงพอ ขณะเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจของสายตาผู้คน จึงไม่ได้ใช้เรือหยกจันทรา แต่กลับขี่เมฆในการเดินทาง และยังสูญเสียหินจิตวิญญาณไปกับค่ายกลส่งตัวไม่น้อย เพื่อรีบไปเมืองโบราณเทียนเหย่
ทันใดนั้น เขาก็หยุดการเหินเวหาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป หลังจากกวาดสายตามองดูป่าดงดิบด้านล่างแล้ว ก็ดีดนิ้วทั้งสิบลงไปด้านล่าง ทันใดนั้น ปราณกระบี่สีเขียวสลัวๆ ก็เปล่งประกายออกมา และกวาดลงไปยังป่าดงดิบด้านล่าง
บริเวณที่แสงสีเขียวเคลื่อนตัวผ่าน ทำให้ต้นไม้แต่ละต้นถูกตัดจนเกลี้ยง และล้มลงท่ามกลางเสียงที่ดังโครมคราม
“ออกไปเถอะ! เห็นชัดว่าเจ้าเด็กนี่ค้นพบพวกเราแล้ว” มีน้ำเสียงแหบแห้งดังออกมา จากนั้นเงาดำจำนวนมากก็พุ่งขึ้นมาจากใบไม้ด้านล่าง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”
ครู่ต่อมา คนเหล่านี้ก็ล้อมรอบหลิ่วหมิงไว้ ซึ่งมีมากถึงหกคน
หลิ่วหมิงเอามือไขว้หลังโดยไม่เผยสีหน้าแปลกใจออกมาเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่หรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูผู้ไม่ประสงค์ดีทั้งหก
คนเหล่านี้ต่างก็สวมชุดสีดำ และไม่ปิดบังใบหน้า แต่ละคนล้วนดูดุร้าย และจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างไม่ละสายตา
คนที่เป็นหัวหน้ามีตุ่มหนองสีเลือดเต็มใบหน้า อีกคนก็มีตาแค่ข้างเดียว คนอื่นๆ ต่างก็มีใบหน้าแปลกประหลาด ทั้งยังอ้วนผอมแตกต่างกันไป
“ท่านทั้งหลายขัดขวางข้าเช่นนี้ หรือว่าไม่คิดจะพูดอะไรก่อนหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยรอยยิ้ม
“พูดอะไรหน่อย? รอเด็ดหัวเจ้าได้แล้ว พวกเราจะพูดกับเจ้าเอง” ชายคิ้วเหลืองที่มีตาข้างเดียวผู้นั้นหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
และชายที่มีตุ่มหนองสีเลือดก็อ้าปากในฉับพลัน ระฆังสีเขียวแปลกประหลาดอันหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากสั่นสะเทือนกลางอากาศเล็กน้อยแล้ว แสงทรงกลดสีเขียวก็ปะทุออกมา อากาศบริเวณรอบๆ มีระลอกคลื่นไร้รูปก่อตัวขึ้น
หลิ่วหมิงรู้สึกหนักใจเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงแรงกดดันแปลกประหลาด เกือบจะในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าแขนขาแข็งขึ้นมา
ประจักษ์ชัดว่าระฆังเล็กแปลกประหลาดเป็นอาวุธจิตวิญญาณบางอย่างที่โจมตีด้วยพลังจิต
แต่ด้วยระดับความแข็งแกร่งของพลังจิตหลิ่วหมิง เขารีบปล่อยพลังเวทใส่โซ่ตรวนสะกดวิญญาณที่อยู่ในทะเลจิตรับรู้ทันที
ทันใดนั้น ความรู้สึกเย็นชุ่มชื่นก็ม้วนตัวออกจากโซ่ตรวน ทำให้แรงกดดันในตอนแรกหายไปจนหมดสิ้น
“เฮ่อๆ! รีบลงมือ เจ้าเด็กนี้ถูกระฆังวิญญาณปีศาจของข้าเล่นงานแล้ว คงไม่อาจเคลื่อนไหวได้ รีบจัดการเขาซะ หินจิตวิญญาณนับล้านอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว” เห็นได้ชัดว่าชายที่มีตุ่มหนองไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงอาศัยพลังจิตที่แข็งแกร่ง และโซ่ตรวนสะกดวิญญาณกำจัดการโจมตีทางจิตของอาวุธจิตวิญญาณของเขาแล้ว แต่กลับเห็นว่าสีหน้าของหลิ่วหมิงค่อยๆ เปลี่ยนไป จึงกล่าวออกมาอย่างโหดเหี้ยม
หลังจากได้ยินคำสั่งของชายที่มีตุ่มหนอง ชายอีกห้าคนที่เหลือก็สบตากันทีหนึ่ง และต่างก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา กระบี่สามเล่มกับดาบสองเล่มที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณกลายเป็นแสงหลากสี และม้วนตัวเข้าหาหลิ่วหมิงจากทั่วทิศ
ขณะที่การโจมตีต่างๆ อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ถึงครึ่งจั้งนั้น เขาก็เลิกคิ้วขึ้นมา พอขยับไหล่ ไอดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง และกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม และกลายเป็นเงาดำสองเงา พริบตาเดียวก็หายตัวไปท่ามกลางการโจมตีของอาวุธจิตวิญญาณทั้งห้าอย่างไร้ร่องรอย
คนทั้งหกเห็นเช่นนี้ต่างก็รู้สึกตกใจมาก
ขณะที่พวกเขายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ เงาสีดำเงาหนึ่งก็มาปรากฏตัวตรงหน้าชายตาเดียวอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ พอชี้นิ้วข้างหนึ่งออกไป ปราณกระบี่ที่มีลักษณะเป็นเกลียวก็พุ่งออกไป มันกระพริบแค่ทีเดียวก็เจาะทะลุหน้าอกของชายผู้นี้
“ฟิ้ว!” มีรูขนาดชุ่นกว่าๆ ปรากฏบนหน้าอกของคนผู้นี้ โดยที่ปราณแกร่งคุ้มร่างของเขาไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เงาร่างอีกเงาก็หายวับมาปรากฏตัวด้านข้างชายร่างสูงผู้หนึ่ง พอยกแขนเสื้อขึ้น กระบี่เล็กสีเขียวเล่มหนึ่งก็พุ่งยิงออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวม้วนตัวออกไป
ชายร่างสูงส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ร่างของเขา และโล่เล็กที่อยู่ตรงหน้าถูกฟันออกเป็นสองส่วนพร้อมกัน
นอกจากชายมีตุ่มหนองที่เป็นหัวหน้ากับชายตาเดียวที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น ซึ่งไม่อาจมองเห็นตำแหน่งที่แท้จริงของหลิ่วหมิงที่แสดงวิชาเงาร่างสามส่วนได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกเขาวางแผนซ้อนแผนโจมตีกลับในฉับพลัน
………………………………