เสียงดังตูมตามหยุดลงในทันที!
ภายใต้การควบคุมมนุษย์ทองแดงยักษ์ของชายหนุ่มหน้าซื่อ มันก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ลูกแสงสีแดงตรงหน้าอกที่ทำการโจมตีอยู่ก็หยุดลงเช่นกัน และเขาก็มองหลิ่วหมิงกับราชาโลหิตด้วยความฉงนสนเท่ห์
ทั้งสี่ต่างก็จ้องมองกันไกลๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง โดยไม่มีใครยอมใคร
หลิ่วหมิงจ้องมองคนทั้งสามตรงหน้า และครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ในตอนนี้ซับซ้อนเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่าราชาโลหิตกับเซียนหงส์ดำต่างก็มาเพราะเขา แต่ดูจากน้ำเสียงของราชาโลหิตในก่อนหน้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าทั้งสองไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่เนื่องจากเป็นผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเช่นกัน มีโอกาสเป็นอย่างมากที่ทั้งสองจะร่วมมือกัน
แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มหน้าซื่อที่สวมชุดชาวนาผู้นั้น จะไล่ล่าเซียนหงส์ดำมาถึงที่นี่ได้ พลังของเขาจะต้องไม่อ่อนแออย่างแน่นอน ยังไม่อาจตัดสินได้ว่าจะเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร
ขณะที่พวกเขาเหล่านี้ต่างก็ตาเป็นประกายอยู่ไม่หยุดนั้น ราชาโลหิตก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา “ฮึ!” จากนั้นแสงสีเลือดก็เปล่งประกายบนตัว และกลายเป็นแสงสีเลือดลำหนึ่งพุ่งจากไป
เซียนหงส์ดำเห็นเช่นนี้ ก็กลอกลูกตาไปมา และส่งเสียงหัวเราะ “อิๆ!” จากนั้นแสงสีดำก็เปล่งประกาย และพุ่งหนีไปอีกทิศทางหนึ่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นจุดสีดำหายไปจากทุ่งหญ้าบริเวณนั้น
ชายหนุ่มบนศีรษะมนุษย์ทองแดงยักษ์เห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แต่หลังจากมองดูแสงสีเลือดที่พุ่งออกไปไกลๆ กับหลิ่วหมิงที่อยู่บริเวณนั้นทีหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้กระตุ้นมนุษย์ทองแดงยักษ์ให้ตามไป แต่กลับเอามือลูบท้ายทอยแล้วเอ่ยปากพูดกับหลิ่วหมิง
“ในที่สุดเจ้าสองคนนั่นก็ไปแล้ว พวกเราควรจะแนะนำตัวกันสักหน่อย ข้าเผิงเยวี่ยจากนิกายเทียนกง ท่านสามารถรับมือกับราชาโลหิตได้โดยที่ไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง คิดว่าคงไม่ได้เป็นผู้ไร้นามแต่อย่างใด ไม่ทราบท่านมีนามว่าอย่างไร?”
“ที่แท้ก็เป็นสหายจากนิกายเทียนกง ข้าหลิ่วหมิงจากนิกายยอดบริสุทธิ์” หลิ่วหมิงได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และประสานมือคารวะตอบกลับไป
พอได้ยินว่าคนผู้นี้เป็นศิษย์นิกายเทียนกง เขาก็แอบโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
ในบรรดาสี่ยอดนิกายใหญ่ นิกายยอดบริสุทธิ์กับนิกายเทียนกงมีความสัมพันธ์กันไม่เลว และหุ่นสี่ทิศที่เขาได้มาจากปีศาจหยินหยางนั้น ก็สร้างมาจากผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งที่อยู่ในนิกายเทียนกง
เช่นนี้แล้ว คิดว่ามนุษย์ทองแดงยักษ์ก็เป็นหุ่นยักษ์บางอย่างของนิกายเทียนกงเช่นกัน
“ที่แท้ก็เป็นสหายนิกายยอดบริสุทธิ์ ช่างน่ายินดียิ่งนัก ก่อนหน้านั้นไม่นาน ข้าบังเอิญผ่านมาพบเซียนหงส์ดำพอดี นางเคยสังหารศิษย์สายในนิกายข้าไปไม่น้อย ในเมื่อข้าได้เจอกับนางแล้ว ย่อมไม่อาจปล่อยให้หลุดรอดไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงต่อสู้อย่างดุเดือดจนมาถึงที่นี่ และพบกับสหายหลิ่วที่กำลังต่อสู้กับราชาโลหิตพอดี ช่างเป็นเรื่องบังเอิญยิ่งนัก” เผิงเยวี่ยหัวเราะกล่าวออกมา จากนั้นก็กระโดดลงจากศีรษะมนุษย์ทองแดงยักษ์ และยกมือปล่อยพลังออกไป
มนุษย์ทองแดงยักษ์ปล่อยแสงทรงกลดสีเหลืองออกมา หลังจากมีเสียงเครื่องกลดังคล่อกแคล่ก! มันก็กลายเป็นมุกกลมๆ ขนาดเท่ากำปั้น และถูกเผิงเยวี่ยสะบัดแขนเสื้อเก็บเข้าไป
“หุ่นกลของนิกายเทียนกงมีชื่อเสียงสมจริงมาก สหายเผิงควบคุมหุ่นตัวนี้จนกดดันเซียนหงส์ดำได้ถึงขั้นนี้ ดูท่าพลังของมันคงน่าตกใจจริงๆ” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็อ้าปากดูดไอดำที่กลายร่างมาจากโล่เก้ากะโหลกเข้าไปในปาก
“สหายกล่าวเช่นนี้ คงหยอกล้อข้าเล่นแล้ว การฝึกฝนของราชาโลหิตยังคงเหนือกว่าเซียนหงส์ดำ สหายสามารถต่อสู้กับเขาอย่างดุเดือดโดยที่ไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ” เผิงเยวี่ยได้ยินก็ส่ายหน้าและกล่าวออกมาอย่างสุภาพเช่นกัน
หลิ่วหมิงย่อมตอบกลับอย่างนอบน้อมไปหนึ่งประโยค
พวกเขาพูดคุยเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งดูเหมือนจะถูกคอกันเป็นอย่างมาก
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เผิงเยวี่ยก็กวาดสายตามองศพของผู้ฝึกฝนที่ถูกดูดจนแห้ง และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“ใช่สิ! ไม่ทราบว่าสหายหลิ่วจะไปสถานที่ใดกัน?”
“ที่ข้าออกมาในครั้งนี้ ก็เพื่อไปทำเรื่องบางอย่างที่ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์” หลิ่งหมิงได้ยินก็ตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“อ้อ! ช่างบังเอิญเสียจริง ข้าเองก็คิดอยากจะไปดูสถานที่แห่งนี้พอดี ได้ยินว่าทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์อุดมไปด้วยม้าจิตวิญญาณชนิดพิเศษ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องไปทำไปก่อน มิเช่นคงได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับสหายแล้ว” เผิงเยวี่ยได้ยินก็กล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! ในเมื่อสหายเผิงยังจะไปทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์อยู่ ไม่แน่พวกเราอาจจะได้พบกันก็ได้” หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามประโยค จากนั้นเผิงเยวี่ยก็บอกลา และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีเหลืองพุ่งขึ้นฟ้าไป
หลิ่งหมิงยืนดูจนแสงสีเหลืองหายลับขอบฟ้าไปแล้ว ถึงก้มหน้าคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำบนตัวก็พวยพุ่ง ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระดูกดังกรอบแกรบภายในร่าง
ครู่ต่อมาหลิ่งหมิงก็กลายเป็นผู้ฝึกฝนวัยกลางคนที่มีผิวสีเหลืองผู้หนึ่ง หลังจากเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวแล้ว ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
จากนั้นร่างของเขาก็สั่นไหวเบาๆ เมฆดำก้อนหนึ่งยกร่างเขาขึ้นมา และพุ่งไปทางทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์
……
ขณะเดียวกัน ห้องลับแห่งหนึ่งภายในหอเป๋ยโต่วที่ไม่รู้ว่าห่างออกไปกี่หมื่นลี้ พลันมีเสียงหวึ่งๆ ดังขึ้นมาทำลายความเงียบ
ใจกลางห้องลับ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ใส่เครื่องประดับหยกบนศีรษะ กำลังนั่งหลับตาเข้าฌานอยู่ พอลืมตาทั้งคู่ขึ้น ก็มองไปยังค่ายกลขนาดจั้งกว่าๆ ที่อยู่ด้านข้าง แต่จะเห็นว่ามีแผ่นหยกสีขาวหนึ่งอันอยู่ท่ามกลางแสงสีขาวที่เปล่งประกาย
พอชายวัยกลางคนกวักมือข้างหนึ่ง แผ่นหยกก็ถูกดูดเข้ามาในมือ และถูกนำไปแปะบนหน้าผากโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ราชาโลหิตก็ทำอะไรหลิ่วหมิงผู้นี้ไม่ได้ การต่อสู้ของทั้งสองไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้……” ชายวัยกลางคนหยิบแผ่นหยกออก และพูดพึมพำเบาๆ
หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ชายวัยกลางคนก็ลุกขึ้นมา และผลักประตูออกไป ไม่นานก็มาถึงห้องสงบจิตที่ดูสว่างไสวแห่งหนึ่ง
“ผู้อาวุโสอวี้” ชายวัยกลางคนคารวะผู้อาวุโสผมขาวที่เอนพิงตัวอยู่บนเก้าอี้
“เจ้าก็ได้รับข่าวแล้วหรือ?” ชายผมขาวเหลือบมองชายผู้นี้ทีหนึ่ง และกล่าวอย่างราบเรียบ
“ใช่แล้ว คิดไม่ถว่าอจ้าเด็กนี่จะมีพลังระดับนี้ แม้แต่ราชาโลหิตก็ทำไรไม่ได้” ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับไป จากนั้นถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา
“วิชาที่ราชาโลหิตฝึกฝนนั้นพิเศษมาก ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเขาจะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นปลาย แต่พลังแท้จริงไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายเลย แม้กระทั่งผู้ฝึกฝนขั้นปลายทั่วไปก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ในเมื่อเจ้าเด็กนี่ต้านทานการโจมตีของเขาได้ ดูท่าเราคงจะต้องระมัดระวังบ้างแล้ว เอาล่ะข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าเด็กนี่ได้บันทึกลงในคัมภีร์เฉียบแหลมแล้ว อีกอย่างแจ้งผู้คนสาขาอื่นๆ ว่าให้ความสำคัญกับข้อมูลเจ้าเด็กนี้ให้มาก หากมีคนสอบถามเบาะแสของเขา ต้องได้รับอนุญาตจากประมุขหอก่อนถึงจะบอกได้” ผู้อาวุโสผมขาวลุกขึ้นมากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทราบ!” ชายวัยกลางคนตอบรับอย่างนอบน้อม
……
หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่า ข้อมูลเกี่ยวกับเขาได้ดึงดูดความสนใจของหอเป๋ยโต่วเป็นพิเศษ แม้กระทั่งแขกระดับสูงคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ รับรู้ชื่อของเขาในไม่นาน
สองเดือนต่อมา หลิ่วหมิงเดินทางอ้อมและผ่านการส่งตัวของค่ายกลจนมาถึงทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ของแผ่นดินจงเทียนในที่สุด
ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ตั้งอยู่บริเวณขอบกลางของแผ่นดินจงเทียน มีชื่อเสียงในการผลิตอาชาจิตวิญญาณพิเศษที่สามารถผลิตเมฆจิตวิญญาณได้
ทั่วทั้งทุ่งหญ้ามีปราณจิตวิญญาณหนาแน่น ทั้งยังมีพืชจิตวิญญาณพิเศษอยู่หลายชนิด ส่วนลึกของทุ่งหญ้ายังมีซากวัตถุในสมัยบรรพกาลสองสามแห่ง
เมืองโบราณเทียนเหย่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดผู้ฝึกฝนจากภายนอกมาล่าสัตว์ และสำรวจสมบัติที่นี่จำนวนไม่น้อย
นานเข้านานเข้า ทุ่งหญ้าที่ดูเหมือนจะเป็นทุ่งร้าง ก็ค่อยๆ เฟื่องฟูขึ้นมา
ปัจจุบันนี้ ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ถูกควบคุมโดยสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ กลุ่มแรกเป็นนิกายขวานทองคำที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หมื่นปี อีกกลุ่มกลับเป็นสระหมื่นปี หนึ่งในกลุ่มอิทธิพลของเผ่าปีศาจที่พบเจอในแผ่นดินจงเทียนไม่มากนัก
กลุ่มอิทธิพลทั้งสองตั้งอยู่ทั้งสองด้านของทุ่งหญ้า ซึ่งทำให้ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์อยู่ตรงกลางพอดี ด้วยเหตุนี้จึงมีศิษย์นิกายขวานทองคำกับสระหมื่นปีปรากฏตัวบนทุ่งหญ้าบ่อยๆ ส่วนผู้ฝึกฝนภายนอกที่อยากเข้าไปในทุ่งหญ้า จะต้องชำระหินจิตวิญญาณจำนวนมากให้กับทั้งสองกลุ่มอิทธิพล
เพื่อป้องกันไม่ให้อาชาจิตวิญญาณในทุ่งหญ้าถูกผู้ฝึกในระดับสูงกวาดไปจนหมด ทั้งสองกลุ่มอิทธิพลจึงร่วมกันกำหนดกฎเกณฑ์ ไม่ให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเข้าไปข้างใน ด้วยเหตุนี้ค่ายกลที่ส่งตัวมายังทุ่งหญ้าล้วนถูกติดตั้งเป็นพิเศษ ทำให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปไม่อาจถูกส่งมาที่นี่ได้
หากผู้ฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปอยากจะเหินเวหามายังทุ่งหญ้าล่ะก็ ค่ายกลส่งตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างถึงหมื่นพันลี้ ในระหว่างทางก็ค่อนข้างอันตรายเป็นอย่างมาก
อีกอย่างต่อให้จะมีผู้แข็งแกร่งจากภายนอกบุกเข้าทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ด้วยพลังของตนเอง แต่พอถูกคนของนิกายขวานทองคำกับสระหมื่นปีพบเข้า ก็จะถูกทั้งสองกลุ่มอิทธิพลส่งคนมารัดคอตายอย่างไม่ปราณี
ข้อมูลเหล่านี้ หลิ่วหมิงย่อมตั้งใจสืบหาเป็นพิเศษก่อนออกเดินทาง
……
ภายในตลาดเล็กๆ แห่งหนึ่งตรงขอบทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ มีลำแสงเจิดจ้าภายในบ้านหินบางแห่ง จากนั้นผู้ฝึกฝนหกคนก็ถูกส่งออกมาจากค่ายกลส่งตัวบนพื้น
หลิ่วหมิงก็อยู่ในนั้นด้วย ซึ่งเขายังคงแปลงโฉมเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าเป็นสีเหลืองผู้นั้น
พอเขากวาดสายตามองออกไป ก็ค้นพบว่าภายในบ้านหินมีชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าแพรสีเหลืองผู้หนึ่ง กำลังยืนด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย
“ยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ ข้าน้อยหวังจิ่นจากนิกายขวานทองคำ” พอชายวัยกลางคนเห็นว่ามีคนถูกส่งออกมาอีกหกคน เขาก็รีบกล่าวอย่างราบเรียบ บนแขนเสื้อข้างหนึ่งของเขามีรูปขวานทองคำขนาดหลายชุ่นประทับอยู่
“ที่แท้ก็เป็นสหายจากนิกายขวานทองคำ” ใครบางคนกล่าวออกมาทันทีด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ตามกฎเดิม ทุกคนต้องชำระสามหมื่นหินจิตวิญญาณถึงจะอนุญาตให้เข้าไปในทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ได้” ชายวัยกลางคนกวาดสายตามองดูคนทั้งหก จากนั้นก็โบกมือกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“อะไรนะ! นิกายขวานทองคำของพวกเจ้าละโมบไปหรือเปล่า ยังไม่ได้เข้าทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ ก็ต้องการสามหมื่นหินจิตวิญญาณแล้ว” ชายหนุ่มผมแดงผู้หนึ่งได้ยินเช่นนี้ ก็ตะโกนออกมาทันที
“ทุ่งหหญ้าอาชาสวรรค์อยู่ในอาณาเขตของนิกายข้า หากทุกท่านไม่อยากมอบหินจิตวิญญาณให้ ก็จะสามารถส่งตัวกลับได้ทันที แต่ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการส่งตัวกลับไปด้วย” ชายชุดผ้าแพรทำตามองบนและพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ชายหนุ่มผมแดงได้ยินก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
“สหายผู้นี้ หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ หลายปีก่อนที่มาทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์เก็บค่าเข้าแค่สองหมื่นหินจิตวิญญาณนี่ ทำไมตอนนี้ถึงเก็บสามหมื่นแล้ว?” ชายฉกรรจ์ที่ดูค่อนข้างสุขุมถามออกมา
“นั่นเป็นเพราะพวกเจ้ามาไม่ประจวบเหมาะกับเวลาเอง ทางนิกายเพิ่งส่งข่าวให้เพิ่มราคาเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง ยังคงคำพูดเดิม หากใครไม่ยอมจ่ายก็จะส่งตัวกลับ ไม่ต้องมาเอะอะโวยวายที่นี่” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างทนรำคาญไม่ได้
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตาเป็นประกาย
………………………………