เห็นได้ชัดว่าอาชาจิตวิญญาณที่เหลือสองตัว ค้นพบว่าสหายของตนเองถูกล้อมจับแล้ว ดังนั้นมันจึงส่งเสียงร้องอย่างกระสับกระส่าย จากนั้นก็เพิ่มความเร็วขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ว่าหมอกควันได้แผ่กระจายออกไปรอบด้านแล้ว ในที่สุดอาชาจิตวิญญาณตัวหนึ่งก็ไม่อาจหนีไปได้ จึงถูกหมอกควันรอบด้านปกคลุมไว้ หลังจากดิ้นรนสองสามครั้งแล้ว ก็หมดเรี่ยวแรงล้มลงพื้นไป
อีกตัวโชคดีหน่อย ก่อนที่หมอกควันสีเทาจะดับลง เท้าหลังของมันก็กระแทกพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็กลายเป็นแถบสีขาวกระโดดออกมา แต่ทิศทางที่มันไปคือทางด้านหลิ่วหมิงพอดี
อาชาจิตวิญญาณตัวนี้คิดว่าหลิ่วหมิงก็เป็นผู้ที่มาล้อมจับมันเช่นกัน ทันใดนั้น มันก็อ้าปากพ่นคมวายุสีเขียวที่มีขนาดหลายฉื่อออกมาเจ็ดแปดสาย และพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วทันที หนวดสัมผัสสีดำหลายเส้นพุ่งออกจากตัว พอสะบัดเบาๆ มันก็กวาดคมวายุเหล่านี้หายไปจนหมด
อาชาจิตวิญญาณหยุดชะงักลง มันรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงในทันที ความเชื่องช้าของอาชาจิตวิญญาณยังกำหนดชะตากรรมของมันด้วย
“ฟู่!”
ตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ผืนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง พอแสงสีทองเปล่งประกายมันก็คลุมร่างของอาชาจิตวิญญาณไว้
ครู่ต่อมา มีเงาร่างคนผู้หนึ่งร่อนลงจากบนอากาศ และอยู่ห่างจากตรงหน้าหลิ่วหมิงไปไม่ไกล พอลำแสงดับลงก็เผยให้เห็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำในชุดคลุมสีทองผู้หนึ่ง ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมา คงมีการฝึกฝนระดับของเหลวขึ้นกลาง
“ฮ่าๆ! ขอบคุณสหายที่ยื่นมือเข้าช่วย” ชายฉกรรจ์มองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“สหายเกรงใจไปแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
ที่เขาลงมือในเมื่อครู่ก็แค่ปัองกันตัวเท่านั้น
ชายร่างกำยำได้ยินก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม มือข้างหนึ่งก็ปล่อยพลังออกมา
ตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ห่ออาชาจิตวิญญาณไว้แน่น และถูกเรียกกลับเข้าไปในถุงหนังที่อยู่บนเอว
พอคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลมองเห็นหลิ่วหมิง ก็เหาะเข้ามาด้วยความระมัดระวัง หญิงสาวที่อยู่ในนั้นถึงกับจับจี้หยกบนเอวไว้แน่น
“เมื่อครู่สหายผู้นี้ได้ยื่นมือเข้าช่วยไว้ อย่าได้เสียมารยาทกับเขา” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วตำหนิทันที
กลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มนี้ มีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางเพียงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนมีพลังระดับของเหลวขั้นต้น
นับว่าเป็นกลุ่มล่าอสูรที่ค่อนข้างอ่อนแอในทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์แห่งนี้
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ ย่อมมีความรู้ไม่ธรรมดา ลำพังแค่ฉากที่หลิ่วหมิงโจมตีคมวายุเจ็ดแปดสายในเมื่อครู่ ก็รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องมีระดับการฝึกฝนไม่ด้อยไปกว่าตัวเองอย่างแน่นอน
“คนหนุ่มสาวไม่ค่อยรู้เรื่อง ขอท่านอย่าได้ถือสา ใช่สิ! สหายดูหน้าใหม่มาก คิดว่าเพิ่งมาถึงทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์สินะ สนใจร่วมมือจับอาชาจิตวิญญาณด้วยกันหรือไม่ ?” หลังจากชายฉกรรจ์ตะคอกใส่คนที่อยู่ด้านหลังแล้ว ก็เชิญชวนหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เกรงว่าคงไม่อาจหน่วงเหนี่ยวอยู่ที่นี่ได้ คงได้แต่ขอบคุณความหวังดีของสหายแล้ว” หลิ่วหมิงย่อมปฏิเสธกลับไป
เขาไม่ได้มาทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์เพียงเพื่อหินจิตวิญญาณอันน้อยนิดเหล่านี้ หากไม่ใช่ว่าเขาอยากเห็นอาชาจิตวิญญาณอันเลื่องชื่อ คงไม่คิดหยุดนิ่งอยู่ที่นี่เลยแม้แต่น้อย
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้าถูหย่วนเจิน นับว่ามีชื่อเสียงเล็กๆ ในตลาดบริเวณแม่น้ำมืดอยู่บ้าง หากสหายเปลี่ยนใจก็มาหาข้าได้ตลอดเวลา” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเผยสีหน้าผิดหวังออกมา แต่ยังคงกล่าวอย่างอบอุ่น
หลิ่วหมิงพยักหน้า และประสานมือคารวะ จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งไปทางเมืองโบราณเทียนเหย่ต่อ
หลังจากเหินเวหาไปได้หลายวัน ในที่สุดก็มาถึงบนพื้นที่สูงแห่งหนึ่ง
พอมองออกไป จะเห็นว่ามีเมืองใหญ่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างขนาดต่างๆ ตั้งตระหง่าน ป้อมปราการสร้างจากหินที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสูงพันจั้ง ราวกับว่าเป็นยอดเขาลูกหนึ่งที่ก้มมองทุกสิ่งบนทุ่งหญ้า
แต่ว่าพื้นผิวของสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ถูกลมโกรกจนผุกร่อน มีจำนวนไม่น้อยที่แตกและพังทลายลง สามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองจากระยะไกลๆ เท่านั้น และเห็นถึงความรุ่งเรืองของเมืองนี้ในอดีตได้อย่างเลือนลาง
ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ประวัติของเมืองโบราณแห่งนี้ สามารถย้อนกลับไปได้มากกว่าหนึ่งหมื่นปีก่อน เคยมีคนจำนวนไม่น้อยอาศัยอยู่เมืองนี้ มีทั้งคนธรรมดาและผู้ฝึกฝน และเคยรุ่งเรืองอยู่ระยะหนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าเหตุใดถึงล่มสลายโดยไม่คาดคิด
“ที่นี่คือเมืองโบราณเทียนเหย่” หลิ่วหมิงหยิบแผ่นหยกออกจากหน้าผากด้วยตาที่เป็นประกาย และพูดพึมพำออกมาเบาๆ
ขณะนั้นเอง ชายชุดดำผู้หนึ่งก็ขี่เมฆเหาะออกจากเมือง ดูเหมือนว่าเขาจะค้นพบหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล จึงเผยสีหน้าระแวดระวังออกมา จากนั้นก็เหาะอ้อมและพุ่งออกไปไกลๆ
หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากมองแบบผ่านๆ แล้ว ก็ละสายตากลับมา
ตามที่แสดงไว้ในแผนที่ แม้ว่าปัจจุบันเมืองโบราณเทียนเหย่จะไร้ผู้คนอยู่อาศัยมานาน แต่กลับใช่ว่าจะไม่มีคนอยู่เลย ผู้ฝึกฝนบริเวณนี้จำนวนไม่น้อยใช้ที่นี่เป็นที่พักชั่วคราว
ด้วยจำนวนผู้คนที่ล่าอสูรในทุ่งหญ้าเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เมืองโบราณที่ถูกทิ้งร้างเหล่านี้ ก็เป็นสถานที่ที่มีการแลกเปลี่ยนสิ่งของกันเองอยู่บ้าง ซึ่งไม่อาจนับว่าเป็นตลาดอะไร นานวันเข้า นิกายขวานทองคำกับสระหมื่นปีก็ยอมรับปรากฏการณ์เช่นนี้โดยปริยาย
เมื่อหลิ่วหมิงทะยานเข้าไปในเมือง ถึงค้นพบว่าที่นี่ไม่ได้เปล่าเปลี่ยวอย่างที่เขาคิด สามารถพบเห็นผู้ฝึกฝนหนึ่งถึงสองคนปรากฏตัวบนถนนในตลาดเป็นครั้งคราว แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็มีท่าทีระแวดระวังกันและกัน และรักษาระยะห่างไว้
นอกจากนี้ ข้างทางยังมีร้านค้าเบ็ดเตล็ดอยู่สองสามแห่ง
แต่ว่าโดยรวมแล้ว เมืองนี้ยังคงเป็นเมืองที่รกร้างว่างเปล่าเป็นพิเศษ
แม้ว่าบนท้องถนนจะมีคนน้อย หลิ่วหมิงกลับรับรู้ได้ว่ามีสายตามองมาจากภายในบ้านเก้าทรุดโทรมจำนวนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
นี่ก็ไม่แปลก ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ผ่านมาจะซ่อนตัวอยู่ในสิ่งก่อสร้างร้างบางแห่งในเมือง เพื่อเป็นฐานพักผ่อนชั่วคราว มีหลายคนที่รวมตัวเป็นกลุ่มเล็กๆ และบางคนก็เดินทางคนเดียวเช่นกัน
หลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ สถานการณ์ในที่นี้แตกต่างจากที่เขาคิดไว้เล็กน้อย
ทันใดนั้น เขาก็เพิ่มความเร็วในการเหาะมากขึ้นกว่าเดิม ไม่นานก็เข้าไปในส่วนลึกของเมือง และหาบ้านที่ค่อนข้างสมบูรณ์และเงียบสงบก่อนร่อนลงบริเวณนั้น
พอหลิ่วหมิงเข้าไปในห้อง ก็กวาดสายตาดูรอบๆ เล็กน้อย และหยิบธงค่ายกลสองชุดออกมาวางชั้นจำกัดไว้ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิหลับตาพักผ่อน
ตลอดการเดินทาง เขาทั้งต่อสู้และรีบเดินทางโดยที่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลย ตอนนี้จึงรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเข้าฌานไปหนึ่งคืน พอวันที่สองกำลังวังชาถึงฟื้นคืนกลับมา และทำการคิดไตร่ตรองหนึ่งรอบ
แม้เขาจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่ซากโบราณของเผ่าปีศาจบรรพกาลปรากฏตัวเพียงคร่าวๆ แต่ดูสภาพของสถานที่แห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีวี่แววการปรากฏตัวของซากโบราณเลยแม้แต่น้อย
เช่นนี้ล่ะก็ เกรงว่าเขาต้องอยู่ในเมืองนี้อีกสักระยะแล้ว
พอหลิ่วหมิงคิดเสร็จ ก็ตัดสินใจไปสืบดูสถานการณ์ภายในเมืองทันที
ไม่นาน ขณะที่เขาเข้ามาในเมืองนั้น ก็มองเห็นถนนเก่าๆ สายหนึ่งที่มีร้านค้าเบ็ดเตล็ดอยู่สองสามแห่ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาก็เดินออกจากร้านค้าแห่งหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ทะยานกลับที่พักทันที
ร้านค้าที่สามารถเปิดทำการในสถานที่แห่งนี้ได้ เถ้าแก่ร้านจะต้องไม่ธรรมดา แต่ในขณะเดียวกัน ก็ล้วนเป็นคนที่ชอบเงินทองเป็นอย่างมาก จ่ายหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง ก็ได้รับข้อมูลที่อยากรู้อย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกฝนในเมืองโบราณเทียนเหย่ในตอนนี้เพิ่มขึ้นกว่าปกติหลายเท่าตัวอย่างน่าประหลาดใจ และคิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกส่วนมากจะฝึกฝนพลังสายปีศาจ
จุดประสงค์การมาที่นี่ของคนกลุ่มนี้เหมือนกันกับเขา ซึ่งพวกเขารู้เรื่องการปรากฏตัวของซากโบราณของเผ่าปีศาจผ่านช่องทางต่างๆ ถึงได้มารวมตัวกันที่นี่
อย่างไรก็ตามซากโบราณขนาดเล็กชนิดนี้มักจะปรากฏในแผ่นดินจงเทียนอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งไม่นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แต่อย่างใด
ซากโบราณขนาดเล็กโดยทั่วไป ชั้นจำกัดส่วนมากเสียหายไปหมดแล้ว เนื่องจากผ่านเวลามานานเกินไป และภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีชั้นจำกัดคอยคุ้มกัน พลังของสิ่งของจำพวกโอสถและอาวุธจิตวิญญาณ ก็สูญสิ้นไปตามเวลาจนกลายเป็นสิ่งของที่ใช้การไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ฝึกฝนระดับสูงสนใจซากโบราณนี้น้อยมาก
และเหตุที่ผู้ฝึกฝนสายปีศาจมารวมตัวกันที่นี่ ไม่ใช่เพราะโอสถและอาวุธจิตวิญญาณที่ถูกทิ้งเหล่านั้น แต่เป็นเพราะหลังจากซากโบราณปรากฏออกมาแล้ว ในนั้นอาจจะมีไอปีศาจบริสุทธิ์ในสมัยบรรพกาลอยู่
สำหรับผู้ฝึกฝนสายปีศาจแล้ว ไอปีศาจบริสุทธิ์สำคัญกว่าโอสถและอาวุธจิตวิญญาณหลายร้อยหลายพันเท่า เพราะสถานที่ในแผ่นดินจงเทียนที่สามารถหาไอปีศาจบริสุทธิ์ได้นั้น มีอยู่ไม่มาก หากโชคดีล่ะก็ สามารถดูดซับไอปีศาจแท้ได้สองสามกลุ่ม ก็นับว่าเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่แล้ว
แต่เมื่อเทียบกับไอปีศาจธรรมดาแล้ว มีคนที่ค้นพบไอปีศาจแท้ได้ทันเวลาและเก็บได้สำเร็จน้อยมาก หลังจากซากโบราณปรากฏออกมาได้สองชั่วยาม มันก็จะสลายไปโดยสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ช่วงหนึ่งถึงสองชั่วยามแรกที่ซากโบราณปรากฏตัว ก็เป็นช่วงที่ผู้ฝึกฝนสายปีศาจจำนวนมากแย่งชิงกันอย่างดุเดือด ด้วยเหตุนี้การลงมืออย่างหนักก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด
หลังจากหลิ่วหมิงเข้าใจข้อมูลเหล่านี้แล้ว ก็สงบใจลง จากนี้ไปจะพักอยู่ในเมืองโบราณไม่ออกไปข้างนอกอีก เพื่อตั้งหน้าตั้งตารอคอยการปรากฏตัวของซากโบราณ
ขณะที่เวลาค่อยๆ ผ่านไป และผู้ฝึกฝนก็เข้ามาอยู่ไม่หยุดนั้น เมืองโบราณเทียนเหย่ก็ค่อยๆ เกิดความวุ่นวายขึ้น มักจะได้ยินเสียงระเบิดดังออกมาอยู่บ่อยๆ
จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้ฝึกฝนสายปีศาจสองคนต่อสู้กันบริเวณบ้านที่หลิ่วหมิงพักอาศัยอยู่ แต่เพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบกับเขา เขาย่อมไม่ออกไปแทรกแซงแต่อย่างใด
ครึ่งเดือนต่อมา พื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งในเมืองโบราณเทียนเหย่ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าซีดขาวผู้หนึ่ง กำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนกำแพงที่พังทลายลง ชุดสีเลือดของเขาโบกสะบัดตามลมอย่างรุนแรง
และตรงหน้าของเขาก็มีเสียงระเบิดดัง “ตู๊มต๊าม!” เมฆโลหิตขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งระเบิดออกมา และกลายเป็นไอโลหิตแผ่ขยายออกไป
เมื่อไอโลหิตค่อยๆ สลายไป ชายชุดดำห้าคนก็ปรากฏออกมา เพียงแต่ว่าพวกเขาต่างก็มีสภาพกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างมาก!
คนที่เป็นหัวหน้ามีคราบเลือดเต็มตัว และกำลังหายใจหอบอยู่
อีกสี่คนก็เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซีดขาวผิดปกติ ประจักษ์ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
และบนพื้นที่คนเหล่านี้ยืนอยู่ ก็ถูกระเบิดจนเป็นหลุมขนาดใหญ่หลายจั้ง
“พวกเจ้าจะยอมหรือยัง?” ชายหนุ่มชุดสีเลือดกล่าวอย่างราบเรียบ
คนชุดดำทั้งห้าต่างก็มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปหาคนที่เป็นหัวหน้า
“คิดไม่ถึงว่าพวกเราทั้งห้าร่วมมือกัน ยังไม่สามารถแตะต้องชายเสื้อของท่านได้เลยแม้แต่น้อย สมกับเป็นราชาโลหิตผู้มีชื่อเสียงจริงๆ พวกข้าทั้งห้าจะยอมฟังคำสั่งของคุณชาย” ขณะที่พูด คนที่เป็นหัวหน้าก็โค้งคำนับลงไป
อีกสี่คนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ ก็คุกเข่าลงพื้นเช่นกัน
“ดีมาก! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รับตราประทับของข้าเถอะ” ราชาโลหิตได้ยินก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา พอยกแขนเสื้อขึ้น อักขระสีเลือดห้าตัวก็พุ่งออกไป และค่อยๆ จมหายเข้าไปในหน้าผากของคนทั้งห้า
………………………………