“ศิลาปีศาจ?” หลิ่วหมิงมองดูสิ่งที่อยู่บนเสาหินแล้วขมวดคิ้วถาม
“นี่ไม่ใช่ศิลาปีศาจอะไร แต่เป็นผลึกหินสีดำที่พิเศษหน่อยก็เท่านั้น ในระหว่างผลึกหินชนิดนี้ สามารถเกิดการเชื่อมต่อบางอย่างได้ จัดวางในตำแหน่งที่แตกต่างกัน ก็สามารถสร้างเกราะป้องกันบางอย่างขึ้นมาได้ ตรงหน้าของเจ้าก็เป็นเกราะป้องกันบางอย่าง เป็นเพราะมีเกราะป้องกันนี้อยู่ แท่นบูชานี้ถึงยังคงมีสภาพสมบูรณ์มาจนถึงทุกวันนี้” หลัวโหวอธิบายอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หากข้าทำลายมัน ก็จะพบเจอกับไอปีศาจแท้แล้วใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงค่อยๆ ถามออกมา
“ไม่ผิด! ภาระอันเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือ ก่อนที่คนอื่นจะมาถึง เจ้าต้องรีบทำลายเกราะป้องกันกับผนึกนี้ เพื่อให้ไอปีศาจแท้ไหลออกมา แต่ข้าขอเตือนเจ้าหนึ่งประโยค พอไอปีศาจแท้เปิดเผยออกมา มีความเป็นไปได้ที่ผู้ฝึกฝนสายปีศาจคนอื่นจะรับรู้ถึงมัน และจะหาที่นี่เจออย่างรวดเร็ว” หลัวโหวเตือนหลิ่วหมิงอีกครั้ง
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า และก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พอสะบัดแขนเสื้อมุกพลังวารีสองเม็ดก็ร่วงลงมา หลังจากเอามือทั้งสองถูกัน มันก็รวมกันเป็นหนึ่ง
หลังจากรวมมุกพลังวารีเข้าด้วยกัน และกำอยู่ในมือแล้ว หลิ่วหมิงก็เริ่มร่ายคาถาออกมา ไอดำพวยพุ่งออกจากแขน เขาตะคอกเสียงต่ำออกมา และทุบออกไปอย่างรุนแรง จากนั้นไอดำก็ม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ตู๊ม!”
อากาศตรงหน้าแท่นบูชาสั่นสะเทือน ม่านแสงไร้รูปปรากฏออกมา การโจมตีของมุกพลังวารีที่เสริมด้วยเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำได้แค่เกิดระลอกคลื่นปรากฏบนม่านแสงเท่านั้น
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พอยกแขนอีกข้างขึ้นมา และชี้นิ้วข้างหนึ่งไปทางอากาศ ปราณกระบี่รูปเกลียวก็พุ่งออกไปในพริบตา
“ฟิ้ว!”
ภายใต้การพุ่งออกไปของปราณกระบี่ มันสามารถทะลุม่านแสงได้อย่างง่ายดาย แต่พริบตาเดียวรูบนม่านแสงก็ปิดสนิทดังเดิม
“เกราะป้องกันของเผ่าปีศาจบรรพกาลไม่สามารถทำลายได้ง่ายดายเช่นนี้หรอก กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณให้โจมตีจุดใดจุดหนึ่งอย่างต่อเนื่อง พอพลังของจุดนี้หมดสิ้น ก็ทำลายเกราะป้องกันได้แล้ว” หลัวโหวกล่าวอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน เพียงแค่กำมุกพลังวารีโจมตีเกราะป้องกันตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง
……
ขณะเดียวกัน ภายในห้องโถงขนาดใหญ่บางแห่งในซากโบราณ ตรงหน้าชายสี่คนที่สวมชุดนิกายเดียวกัน มีอสูรคางคกสีดำ ลำตัวแห้งเหี่ยว สูงหนึ่งจั้งกว่าๆ นอนหมอบอยู่
เห็นได้ชัดว่าอสูรตัวนี้เป็นอสูรศพปีศาจเหมือนกับศพอสรพิษที่หลิ่วหมิงพบเจอในก่อนหน้า และมันก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาไม่หยุด
“พี่รอง หากวันนี้พวกเราสามารถจัดการกับศพอสูรตัวนี้ได้ และนำแก่นปีศาจของมันมาปรุงเป็นโอสถยอดปีศาจระดับสูงได้สองสามเม็ดล่ะก็ การทะลวงคอขวดระดับผลึกคงจะมีความหวังขึ้นมาแล้ว” ชายที่ดูมุทะลุดุดันผู้หนึ่งจ้องมองอสูรยักษ์ตรงหน้า และหัวเราะก่อนกล่าวออกมาเบาๆ
“ร่างของอสูรตัวนี้ถูกไอปีศาจกัดกร่อนมานานแล้ว จึงกลายเป็นปีศาจตัวหนึ่ง ตอนนี้เพิ่งจะทะลวงระดับผลึก หากพวกเราทั้งสี่สามารถร่วมมือกันนำมันไปปรุงโอสถได้ ย่อมดีกว่าผู้ฝึกฝนที่ดูดซับไอปีศาจมาก แต่ว่าพิษของมันร้ายแรงมาก อย่าได้โดนตัวเป็นอันขาด” ชายร่างกำยำอีกคนเตือนอย่างระมัดระวัง
อีกสามคนที่เหลือได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับและพากันนำอาวุธจิตวิญญาณออกมาโจมตีใส่อสูรคางคก
……
ห้องลับใต้ดินบางแห่งที่อยู่ในซากโบราณ ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีม่วงกำลังชื่นชมกระบี่โบราณสีดำที่ถืออยู่บนมือ ซึ่งมีสภาพชำรุดเล็กน้อย บนด้ามกระบี่มีภาพหัวปีศาจประทับอยู่หนึ่งตัว
“แม้ดาบเล่มนี้จะเสียหายจนไม่อาจใช้งานได้โดยตรง แต่มันหลอมขึ้นมาจากวัสดุล้ำค่าของเผ่าปีศาจบรรพกาล หากนำกลับไปหลอมใหม่ ไม่แน่อาจจะได้วัสดุล้ำค่าบางอย่างก็ได้” ชายหนุ่มชุดม่วงพูดพึมพำออกมา
ขณะนั้นเอง แสงโลหิตลำหนึ่งก็เปล่งประกายออกมา ชายหนุ่มไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนอง ก็มีรูเลือดขนาดครึ่งฉื่อปรากฎบนคอ หลังจากอ้าปากพะงาบๆ แล้ว ก็ล้มลงไปในกองเลือด มือขวายังคงจับกระบี่โบราณสีดำเล่มนั้นไว้แน่น
“ฮึ! ไม่คณามือ” ครู่ต่อมา แสงสีเลือดกลางอากาศบริเวณนั้นก็ดับลง เผยให้เห็นชายหนุ่มรูปงามเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือราชาโลหิตนั่นเอง
เขาโบกมือข้างหนึ่งไปทางชายชุดม่วง ทันใดนั้นโลหิตก็ทะลักออกจากคอในทันที และกลายเป็นเส้นโลหิตจำนวนมากจมเข้าไปในมือของเขา
เวลาเพียงแค่สองสามอึดใจ ชายชุดม่วงก็ถูกดูดจนกลายเป็นศพแห้งๆ
ขณะนี้ พลันมีเสียงเท้าหนักหน่วงดังมาจากห้องโถงภายในห้องลับที่อยู่ไม่ไกล ทุกย่างก้าวราวกับภูเขาไท่ซานที่กดทับลงมา ทำให้พื้นบริเวณนั้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่สูงสิบกว่าจั้งพุ่งมาทางห้องลับอย่างรวดเร็ว
“มาอีกคนแล้วหรือ ช่างไม่รู้จักประมาณพลังของตนเองเลย?” พอราชาโลหิตได้ยินเสียงภายในห้องลับ ก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น หลังจากเก็บกระบี่โบราณที่ชำรุดเข้าไปแล้ว ก็พุ่งออกไปท่ามแสงแสงสีเลือดที่เปล่งประกาย
ครู่ต่อมา พอแสงสีเลือดดับลง เขาก็มาปรากฏตัวด้านนอกห้องลับ มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่อยู่ไม่ไกลกำลังก้าวมาทางเขา
“ราชาโลหิต!”
พอเผิงเยวี่ยมองเห็นราชาโลหิต ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่อยู่ด้านล่างก็หยุดนิ่งอยู่กับที่
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า! ดีมาก ผู้ที่สามารถควบคุมหุ่นระดับนี้ได้ จะต้องเป็นศิษย์สายในนิกายเทียนกงอย่างแน่นอน โลหิตบริสุทธิ์ของเจ้าข้ารับไว้แล้ว” พอราชาโลหิตเห็นเผิงเยวี่ยก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นปราณโลหิตบนตัวก็ควบแน่นขึ้นมา พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น ฝ่ามือโลหิตยักษ์ที่มีขนาดหลายจั้ง ก็ตบไปทางเผิงเยวี่ยทันที
เผิงเยวี่ยได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง ไม่เห็นว่าเขาจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่มนุษย์ทองแดงยักษ์ใต้ร่างกลับขยับแขนในฉับพลัน มือยักษ์สีเหลืองอร่ามพุ่งออกไปรับมือกับฝ่ามือโลหิต
“ตู๊ม!”
ภายใต้การม้วนตัวพวยพุ่งของแสงสีเลือดกับเมฆโลหิต ทำให้มนุษย์ทองแดงยักษ์สั่นสะเทือนเล็กน้อย และราชาโลหิตก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา ทั้งยังร่นถอยออกไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
และขณะนั้นเอง ลวดลายจิตวิญญาณสีทองจางๆ บนร่างมนุษย์ทองแดงยักษ์ก็เปล่งประกาย มันยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบไปทางราชาโลหิต ความเร็วของมันรวดเร็วกว่าผู้ฝึกฝนที่แท้จริงสามส่วน
ราชาโลหิตทำเสียงฮึดฮัด และยังไม่ทำการหลบหลีก แต่กลับทำท่ามืออย่างรวดเร็ว แสงสีเลือดม้วนตัวเหนือศีรษะ และเมฆโลหิตกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา
เกิดเสียงดังขึ้น
เท้าขนาดใหญ่ของมนุษย์ทองแดงร่วงเหนือร่างราชาโลหิต แต่กลับไม่สามารถร่วงลงต่อไปได้อีก เพราะถูกต้านทานไว้กลางอากาศ
ราชาโลหิตยิ้มมุมปากเล็กน้อย ปราณโลหิตรอบตัวพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง เมฆโลหิตกลางอากาศหมุนวนหนึ่งรอบ จากนั้นก็กลายเป็นมือโลหิตยักษ์คว้าเท้าของมนุษย์ทองแดงไว้ และกระตุกอย่างรุนแรง
พลังมหาศาลพวยพุ่งใต้เท้ามนุษย์ทองแดงยักษ์ แสงสีทองรอบตัวเปล่งประกาย หลังจากร่นถอยออกไปสามสี่ก้าว ถึงพอจะทรงตัวไว้ได้
ขณะนี้ ไอหมอกรอบตัวราชาโลหิตกลับพวยพุ่งขึ้นมา และกลายเป็นมือยักษ์สีแดงสองข้างที่มีขนาดจั้งกว่าๆ และพุ่งไปยังหน้าอกของมนุษย์ทองแดงด้วยเสียงอันดัง
พอเห็นฉากตรงหน้า สีหน้าเผิงเยวี่ยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาปล่อยพลังใส่มนุษย์ทองแดงยักษ์อีกครั้ง มนุษย์ทองแดงยักษ์อ้าปากพ่นลำแสงสีทองขนาดเท่าปากถ้วยออกมา
“ตู๊ม!”
ลำแสงสีทองปะทะกับฝ่ามือยักษ์สีเลือด จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีทองกับสีแดงก่อนระเบิดออกมา
หลังจากมีเสียงดัง “ตุบ!” มนุษย์ทองแดงก็ร่นถอยออกไปหลายก้าว รอยฝ่ามือตรงหน้าอกเห็นได้อย่างชัดเจน
“เจ้า……”
เผิงเยวี่ยดวงตาเป็นประกาย และเผยสีหน้าโมโหออกมา นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ ร่างขนาดใหญ่ของมนุษย์ทองแดงพร่ามัว และมาปรากฏตัวตรงหน้าราชาโลหิตเพียงลัดมือเดียว พอแขนทั้งสองพร่ามัว กำปั้นยักษ์จำนวนมากก็โจมตีออกไป
ราชาโลหิตเผยรอยยิ้มเยือกเย็น พอสะบัดไหล่ ปราณโลหิตก็พวยพุ่งออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง หลังจากม้วนตัวไปหนึ่งรอบ ระลอกคลื่นสีเลือดขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นมา และม้วนเอาเผิงเยวี่ยกับมนุษย์ทองแดงยักษ์เข้าไปในนั้น
และราชาโลหิตเองก็จมหายไปในปราณโลหิตอย่างไร้ร่องรอย
……
มีเสียงดัง “โครมคราม!” บริเวณผนึกแท่นบูชา
ระลอกคลื่นกลางอากาศขยายออกไปรอบด้าน
ครู่ต่อมา เงาร่างสีเขียวก็เผยตัวตนออกมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ก่อนหน้านั้นเขาทำการโจมตีอยู่ไม่หยุด ในที่สุดก็อาศัยพลังของมุกพลังวารีกับพลังของตัวเอง ทำลายเกราะป้องกันไร้รูปที่ผนึกอยู่นอกแท่นบูชาได้
หลิ่วหมิงมองดูค่ายกลปิดผนึกสีม่วงใต้แท่นบูชาที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ทีหนึ่ง พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีเขียวด้ามหนึ่งก็พุ่งยิงออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีเขียวที่มีขนาดสองสามจั้ง
“ฟัน!”
เขาตะคอกเสียงออกมา
กระบี่ยักษ์สีเขียวฟันลงบนผนึกอย่างรุนแรง
“เพล้ง!” แท่นบูชาแตกกระจายออกมาราวกับเป็นชามกระเบื้อง
ค่ายกลแปลกประหลาดด้านล่างแท่นบูชากลับสั่นสะเทือนเล็กน้อย แสงสีม่วงหมุนวนอยู่บนพื้นผิวชั่วขณะหนึ่ง และมีรอยกระบี่ปรากฏอยู่จางๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เก็บกระบี่เล็กเข้าไป จากนั้นนิ้วทั้งสิบก็เปลี่ยนท่ามืออย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วสีขาวทั้งสิบมีปราณกระบี่ไร้รูปก่อตัวขึ้นมา และพุ่งยิงออกไป “ฟิ้วๆ!”
เกิดเสียงระเบิดดังติดต่อกัน มุมหนึ่งของผนึกมีแสงสีม่วงเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และเริ่มส่งเสียงดังหวึ่งๆ
พอเห็นว่าการโจมตีของตนเองได้ผล หลิ่วหมิงก็เผยแววตาดีใจออกมา ทันใดนั้นก็ดีดนิ้วทั้งสิบติดต่อกันด้วยท่าทีฮึกเหิม และมีเสียงดังติดต่อกันอย่างไม่ขาดสาย
ผ่านไปสักพัก ก็มีเสียงดังมาจากค่ายกล
ไม่นาน มุมหนึ่งของผนึกก็มีรอยร้าวขนาดฉื่อกว่าๆ ปรากฏออกมา
ขณะเดียวกัน ไอหมอกที่ดูคล้ายกับไหมดำก็ค่อยๆ พุ่งออกจากรอยร้าว และเปล่งแสงสีดำแวววาวออกมา
“ไม่ผิด! เป็นไอปีศาจแท้ที่บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก!”
น้ำเสียงของหลัวโหวที่เต็มไปด้วยความดีใจดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง ขณะเดียวกัน ทะเลจิตวิญญาณตรงท้องของเขาก็สั่นสะเทือนขึ้นมา ฟองอากาศแวววาวปรากฏตัวอย่างไร้สุ้มเสียง
ไอปีศาจแท้ที่ดูคล้ายกับไหมดำเหล่านั้นดูราวกับมีชีวิตในทันที ทันใดนั้น มันก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง และจมหายไปในทะเลจิตวิญญาณของเขา
หากคนอื่นมองจากที่ไกลๆ จะรู้สึกเหมือนเห็นหลิ่วหมิงกำลังดูดซับไอปีศาจแท้เหล่านี้อยู่
……
ผ่านไปสักพัก
ท่ามกลางหอทรุดโทรมภายในซากโบราณ มีเงาดำเงาหนึ่งกำลังพุ่งไปอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ ซึ่งนางก็คือเซียนหงส์ดำนั่นเอง
ห่างออกไปด้านหน้าหลายสิบจั้ง มีแสงหลบหลีกสีเหลืองกำลังหลบหนีอยู่
ผู้ที่อยู่ท่ามกลางแสงสีเหลืองก็คือ เผิงเยวี่ยที่ต่อสู้กับราชาโลหิตอย่างดุเดือดในก่อนหน้านั้น
แต่ทว่าในตอนนี้ เสื้อผ้าของเขาไม่เพียงแต่จะขาดรุ่งริ่งเท่านั้น ทั้งยังกระอักเลือดออกมาอยู่ไม่หยุด มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่ตามติดเขา ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
………………………………