ผู้อาวุโสร่างผอมสูงลังเลอยู่พักใหญ่ๆ ถึงพยักหน้า
ทั้งสองแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็ว หลังจากหลิ่วหมิงนำกล่องไม้ที่บรรจุหลินจือแฝงตะวันเข้าไปในแหวนย่อส่วนแล้ว ถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
แม้ว่าการแลกเปลี่ยนนี้ เขาจะเสียเปรียบไปหน่อย แต่ว่าโอสถผลึกเย็นสามารถปรุงใหม่ได้ตลอดเวลา ได้สิ่งของจิตวิญญาณฟ้าดินมาช่วยทะลวงระดับผลึกหนึ่งชิ้น เขาก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
การแลกเปลี่ยนยังคงดำเนินต่อไป การปรากฏตัวของโอสถผลึกเย็นกับหลินจือแฝงตะวัน ทำให้บรรยากาศเร่าร้อนขึ้นมาทันที
แต่สำหรับงานแลกเปลี่ยนในช่วงหลัง หลิ่วหมิงรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว สิ่งของอย่างอื่นแม้จะล้ำค่า แต่กลับไม่เข้าตาเขา
ครึ่งชั่วยามผ่านไป งานแลกเปลี่ยนก็ดำเนินมาถึงช่วงท้าย
ผู้ฝึกฝนหญิงที่ปิดบังใบหน้าในก่อนหน้านั้น กำลังจะเก็บขวดที่ไม่มีคนถามหา แต่กลับมีน้ำเสียงดังขึ้นด้านหลัง
“ช้าก่อน! สหายผู้นี้ ข้าเอาสุราคุณภาพเยี่ยมขวดนี้ แต่ว่าข้าไม่มีแก่นอสูรคางคกเพลิง เชิญท่านเสนอราคาเถอะ!” เป็นหลิ่วหมิงที่หยุดหญิงสาวไว้
“หก…….ไม่! ห้าแสนหินจิตวิญญาณก็แล้วกัน” ผู้ฝึกฝนหญิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก หลังจากมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวด้วยความลังเล
สุราคุณภาพเยี่ยมหนึ่งขวดราคาห้าแสนหินจิตวิญญาณ นับว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดเล็กน้อย
หลิ่วหมิงได้ยินก็พลิกฝ่ามือหยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงยื่นให้ห้าสิบก้อนโดยไม่พูดอะไรให้มากความ
หลังจากทั้งสองทำการแลกเปลี่ยนอย่างราบรื่น หญิงที่ปิดบังใบหน้าก็พยักหน้าให้หลิ่วหมิงด้วยความซาบซึ้งใจ จากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงถือขวดหยกอยู่ในมือ แต่พอรู้สึกว่ามีไอเย็นแทรกซึมออกมาจากด้านใน เขาก็คิดใคร่ครวญดูเล็กน้อย จากนั้นก็ใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน
“สหายเย่ ช้าก่อน!”
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปนั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นข้างหู พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็ค้นพบว่าฝูอวิ๋นจื่อผู้นั้นกำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม และหญิงสาวชุดขาวก็ตามติดอยู่ด้านหลัง
“ที่แท้ก็เป็นสหายฝูอวิ๋นจื่อ ไม่ทราบว่าเรียกข้ามีธุระอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และถามอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่อยากจะถามอะไรสักเล็กน้อย บนตัวของสหายยังมีโอสถผลึกเย็นอยู่หรือไม่ ข้าน้อยอยากจะแลกสักหน่อย ส่วนเรื่องของราคานั้นท่านวางใจได้เลย จะต้องไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน” ฝูอวิ๋นจื่อมองดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้านอบน้อมและจริงใจ
หญิงชุดขาวที่อยู่ด้านหลังของเขา ก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความหวัง
“คงต้องทำให้ทั้งสองผิดหวังแล้วล่ะ บนตัวข้ามีโอสถผลึกเย็นแค่หกเม็ดเท่านั้น ท่านทั้งสองก็เห็นแล้วว่าเมื่อครู่ข้าได้แลกไปหมดแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวในเชิงขอโทษ
“บนตัวสหายไม่มีจริงๆ หรือ? ต่อให้ไม่ใช่โอสถระดับพสุธาก็ได้” หญิงสาวชุดขาวถามอย่างอดไม่ได้
“ไม่มีแล้ว โอสถทั้งหกเม็ดนั้น ข้าซื้อมาจากตลาดด้วยราคาที่สูงในหลายปีก่อน หากไม่ใช่ว่าต้องทะลวงคอขวดระดับผลึกล่ะก็ ข้าก็ไม่อยากเอาออกมาหรอก” หลิ่วหมิงส่ายหน้าถอนหายใจออกมา
“สหายเย่ได้โอสถผลึกเย็นมาจากที่ใด ไม่ทราบว่าสามารถบอกได้หรือไม่?” ฝูอวิ๋นจื่อซักถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“หากท่านทั้งสองอยากได้โอสถนี้ ก็ลองไปเสี่ยงดวงดูที่เทือกเขาต้นกล้าเขียวแถวตลาดฉางหยางได้ เท่าที่ข้าทราบมา ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้จะมีโอสถผลึกเย็นปล่อยออกมาไม่น้อย ระดับสูงก็มีไม่น้อยเช่นกัน” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
ฝูอวิ๋นจื่อกับหญิงสาวชุดขาวได้ยินเช่นนี้ ก็มองหน้ากันครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เพราะโอสถผลึกเย็นที่มีผลลัพธ์ระดับนี้ ทั้งยังเป็นโอสถที่ปรุงได้ยากเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยปรากฏออกมาจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน
พอเห็นสีหน้าของทั้งสอง หลิ่วหมิงก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากประสานมือคารวะทั้งสองแล้ว ก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินออกจากวังหยกขาว หลิ่วหมิงก็ทำท่ามือทันที และขี่แสงหลบหลีกสีดำพุ่งขึ้นฟ้า
หลิ่วหมิงรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างในสายตาของฝูอวิ๋นจื่อและหญิงชุดขาว ดูท่าหอการค้าเชียนเหมิงยังคงไม่ละทิ้งการสืบหาเบาะแสของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่ปรากฏตัวในตลาดฉางหยางปีนั้น
วันนี้ตนเองนำโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาออกมาหกเม็ด ประจักษ์ชัดว่าได้สร้างความสงสัยให้กับพวกเขาแล้ว
แต่ว่าเรื่องราวเหล่านี้ เขาไม่อาจกังวลกับมันได้อีกต่อไป ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการเข้าสู่ระดับผลึก มิเช่นนั้นทุกอย่างจะสูญเปล่า
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ภายในห้องโถงข้างวังหยกขาว ฝูอวิ๋นจื่อที่สวมชุดสีแดงกับหญิงชุดขาวกำลังยืนอยู่ตรงข้ามกัน
“อาจารย์ ท่านคิดว่าคนผู้นั้นพูดจริงหรือไม่?” หญิงสาวชุดขาวมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามอย่างอดไม่ได้
“คำพูดของคนผู้นั้นเหมือนมีอะไรแอบแฝงอยู่ คาดว่าคงไม่อยากบอกที่มาที่แท้จริงของโอสถผลึกเย็น แต่ว่าเขาพูดถึงตลาดฉางหยาง ตอนที่วังมายานภาหยกเปิดในตอนนั้น ที่นั่นมีผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผลึกเย็นท่านหนึ่งปรากฏออกมาจริงๆ บางทีเขาอาจจะไม่ได้โกหกพวกเรา” ฝูอวิ๋นจื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“หรือว่าจะเป็นคนที่เบื้องบนขอให้พวกเราให้ความสนใจผู้นั้น?” ดูเหมือนว่าหญิงสาวชุดขาวจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“ไม่ผิด! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จำเป็นต้องตรวจสอบให้ดีๆ สักรอบ เพราะโอสถผลึกเย็นระดับพสุธามีส่วนช่วยในการเข้าสู่ระดับผลึกของเจ้าเป็นอย่างมาก” ฝูอวิ๋นจื่อค่อยๆ กล่าวออกมา
“ขอบคุณอาจารย์ที่คิดถึงเรื่องนี้” หญิงสาวชุดขาวกล่าวด้วยความดีใจ
……
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงที่จากนิกายไปสองปี ก็กลับถึงเทือกเขาหมื่นวิญญาณในที่สุด
แต่ว่าเขาไม่ได้กลับไปยังถ้ำที่พักก่อน แต่กลับมุ่งตรงไปยังหอความเป็นความตาย
สถานที่แห่งนี้ยังคงมีหมอกดำลอยวนจางๆ และอึมครึมเป็นอย่างมาก เทียบกับสถานที่อื่นๆ ของเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่มีผู้คนจำนวนมากแล้ว ช่างแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ภายในหอ ผู้ดำเนินการวัยกลางคนผู้นั้นกำลังนั่งว่างอยู่หลังโต๊ะหิน ในมือกำลังพลิกอ่านคัมภีร์ที่ดูขาดๆ เล่มหนึ่ง
“ผู้ดำเนินการฟาง” พอหลิ่วหมิงก้าวเข้ามาในประตูใหญ่ ก็ทักทายจากที่ไกลๆ
การมาหอความเป็นความตายในหลายครั้งก่อน โดยเฉพาะหลังจากมาส่งมอบศีรษะของหลวงจีนกระดูกแห้งและคนอื่นๆ แล้ว หลิ่วหมิงกับผู้ดำเนินการวัยกลางคนผู้นี้ ก็ค่อยๆ คุ้นเคยกันขึ้นมา
คนผู้นี้แซ่ฟาง ชื่อหลิน แม้จะมีท่าทีเฉยเมย แต่การปฏิบัติตัวไม่เลว หลังจากจ่ายแต้มคุณูปการในครั้งนั้นแล้ว จนบัดนี้ศิษย์ทั่วไปยังไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่สังหารหลวงจีนกระดูกแห้งคือหลิ่วหมิง
ทำให้เขาลดปัญหาไปได้มาก
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเจ้า ที่มาในครั้งนี้ไม่ทราบว่าสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายคนใดกัน?” พอผู้ดำเนินการฟางกวาดสายตามองดู ก็ค้นพบว่าเป็นหลิ่งหมิง ทันใดนั้น เขาก็วางคัมภีร์ไว้บนโต๊ะ และลุกขึ้นมา จากนั้นก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย ดูเหมือนว่าจะรู้สึกลุ้นเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเต้นอย่างอดไม่ได้ เขาได้ยินมาคร่าวๆ ว่าผู้ดำเนินการฟางผู้นี้ จงเกลียดจงชังผู้ฝึกฝนชั่วร้ายมาก หลายปีก่อนถึงกับทิ้งสวัสดิการของศิษย์สายในมารับตำแหน่งศิษย์ดำเนินการในหอความเป็นความตายนี้ ดูท่าคงจะเป็นดังคำเล่าลือจริงๆ
เขายิ้มให้เล็กน้อยแล้วชี้มือลงบนโต๊ะหิน ทันใดนั้นศีรษะหลายใบที่เปียกโชกไปด้วยเลือดกับเนื้อเหลว ก็เรียงรายอยู่บนโต๊ะหิน
“ครั้งนี้เจ้าเก็บเกี่ยวได้เยอะมาก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนชั่วร้ายในบัญชีความเป็นความตาย ดูเหมือนว่าจะจัดอยู่ในร้อยอันดับแรกด้วย……อืม?” ผู้ดำเนินการฟางกวาดสายตาผ่านศีรษะทีละใบ พอมาถึงก้อนเนื้อเหลวเหล่านั้น ก็มีสีหน้าชะงักลง
แต่ว่าครู่ต่อมา เขาก็ยกแขนขึ้นมาโดยฉับพลัน นิ้วมือนิ้วหนึ่งจิ้มลงไปในเนื้อเหลว แหวนหยกเขียวที่ดูธรรมดาเปล่งแสงออกมา อักขระสีเขียวสิบตัวล่องลอยออกมา พริบตาเดียวก็จมหายไปในเนื้อเหลว
เหตุการณ์อันเหลือเชื่อได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
ภายใต้การห่อหุ้มเนื้อเหลวของแสงสีแดงเข้ม ทำให้เคลื่อนไหวขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นศีรษะที่ดูราวกับมีชีวิต แม้ทั่งใบหน้าเหลือเชื่อก่อนตายยังคงสภาพเดิมไว้
“นี่……หรือว่านี่จะเป็นราชาโลหิตที่มีชื่ออันดับหนึ่งในบัญชีความเป็นความตาย!” ผู้ดำเนินการฟางเงยหน้าขึ้นมาทันที และสูดหายใจอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา
“ถูกต้อง” หลิ่วหมิงสบตาชายวัยกลางคนอย่างไม่สะทกสะท้าน และกล่าวอย่างไม่ลังเล
“ดี! ดีมาก! สหายช่างมีความสามารถจริงๆ คิดไม่ถึงว่าราชาโลหิตก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า เจ้าอมนุษย์ผู้นี้อยู่ในบัญชีความเป็นความตายมาเกือบร้อยปีแล้ว แม้ว่าระดับผลึกในนิกายเราจะออกมือเอง ก็ไม่อาจสังหารได้ นับว่าครั้งนี้เจ้าได้สร้างคุณูปการให้กับนิกายเราแล้ว” ดูเหมือนว่าผู้ดำเนินการฟางจะรู้จักกับหลิ่วหมิงใหม่อีกครั้ง หลังจากสำรวจดูตัวเขาอยู่พักหนึ่งแล้ว ถึงแหงนหน้าหัวเราะออกมา จากนั้นถึงดึงนิ้วออกจากศีรษะ
“ข้าน้อยก็แค่โชคดีพบเจอเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ดี! เจ้านำป้ายประจำตัวมาเถอะ” ผู้ดำเนินการฟางเห็นหลิ่วหมิงไม่ยอมพูดอะไรมาก ย่อมไม่ซักถามให้มากความ จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ผ่านไปสักพัก ป้ายบนตัวหลิ่วหมิงก็มีแต้มคุณูปการเพิ่มขึ้นมาหนึ่งล้านห้าหมื่นแต้ม
“ต้องขอบคุณผู้ดำเนินการฟางมาก ใช่สิ! เรื่องนี้ยังคงต้องขอให้ท่านรักษาเป็นความลับต่อไป อย่าได้แพร่งพรายชื่อของข้า” ขณะที่พูด หลิ่วหมิงก็มอบแต้มคุณูปการให้ผู้ดำเนินการฟางห้าพันแต้ม
“ย่อมเป็นเช่นนั้น เพียงแค่เจ้ายอมเสียแต้มคุณูปการเล็กน้อย ทางหอเราย่อมช่วยท่านปกปิดเป็นความลับ นี่ก็เป็นหนึ่งในกฎของหอเรา” ผู้ดำเนินการฟางพยักหน้าตอบรับ
หลิ่วหมิงยิ้มให้เล็กน้อย และเตรียมจะเดินออกไปด้านนอก
“เตือนเจ้าสักประโยค ราชาโลหิตผู้นี้มีที่มาลึกลับมาก ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายทั่วไป เบื้องหลังคงมีที่มาอันยิ่งใหญ่ หากครั้งหน้าศิษย์น้องออกไปข้างนอก ต้องระมัดระวังให้มาก” ผู้ดำเนินการฟางส่งเสียงดังมาจากด้านหลัง
“ขอบคุณที่เตือน” หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน หลังจากหันกลับมากุมคารวะแล้ว ก็หมุนตัวเดินไปยังประตูใหญ่
ขณะที่เขาเดินทางไปยังทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์นั้น แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงรูปหน้า แต่ยังคงถูกราชาโลหิตและคนอื่นๆ มองออกอยู่ดี ดูท่าต่อไปจะต้องหาวิชาสำหรับแปลงโฉมแล้ว
หลังออกจากหอความเป็นความตาย หลิ่วหมิงก็กลับไปยังถ้ำที่พักบนยอดเขาลั่วโยวอย่างเงียบๆ
เวลาต่อมาในอีกหลายเดือน นอกจากเขาจะไปตลาดในนิกายหนึ่งครั้งแล้ว ก็ไม่ได้ไปไหนอีก แต่กลับนั่งพักผ่อนอยู่ในถ้ำ และเตรียมการเข้าสู่ระดับผลึกครั้งสุดท้าย
หกเดือนต่อมา หลิ่วหมิงที่สวมชุดศิษย์สายในของยอดเขาลั่วโยว ก็มาปรากฏตัวท่ามกลางระหว่างยอดเขาสูงชันสองลูกที่อยู่ในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
หลิ่วหมิงลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ และแหงนหน้ามองขึ้นด้านบนท่ามกลางพายุที่โบกสะบัดเสื้อผ้าของเขา
แต่จะเห็นว่าอากาศเหนือยอดเขาทั้งสองลูก มีวังสีขาวเงินลอยอยู่หนึ่งหลัง สูงราวๆ ร้อยจั้ง วังทั้งหลังสร้างขึ้นจากหยกขาวบริสุทธิ์สวยงาม และเปล่งประกายจางๆ ดูวิจิตรงดงามเป็นอย่างยิ่ง
พอหลิ่วหมิงเพ่งตามองออกไป ก็มองเห็นอย่างชัดเจน ประตูหลักของวังมีป้ายหยกดำขนาดใหญ่แขวนอยู่ บนนั้นมีอักขระสีทองเขียนติดว่า ‘วังหลีเหอ’
………………………………