หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ
พลังป้องกันของเกราะอสูรในตอนนี้ เทียบเท่ากับอาวุธจิตวิญญาณป้องกันระดับสูงเท่านั้น ซึ่งพอๆ กับเกราะหนังมังกรแดงของเขาในเมื่อก่อน
ครู่ต่อมา เขากำมือทั้งสองไว้แน่น ข้อต่อกระดูกในร่างส่งเสียงดังราวกับเสียงคั่วเม็ดถั่ว จากนั้นก็ทุบไปกลางอากาศอย่างรุนแรง
“ตู๊ม!”
ห้องลับสั่นสะเทือน!
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บกำปั้น และมองดูเกราะหนังบนตัวแล้ว ดวงตาของเขาก็เผยแววดีใจออกมา
จากการโจมตีในเมื่อครู่ เขารับรู้ถึงพลังเวทที่เพิ่มขึ้นมาราวๆ หนึ่งส่วนอย่างชัดเจน
อย่าได้ดูถูกพลังที่เพิ่มขึ้นมาแค่หนึ่งส่วนนี้ เดิมทีร่างของเขาก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอยู่แล้ว สำหรับผู้ฝึกฝนธรรมดาแล้ว พลังหนึ่งส่วนนี้เป็นพลังที่น่าตกใจมาก
และอสูรสมุทรแปดขาในตอนนี้ ยังเป็นแค่อสูรน้อยเท่านั้น หากรอมันเติบโตขึ้นมาล่ะก็ คงยากที่จะจินตนาการถึงระดับความน่ากลัวของมันได้ แม้กระทั่งอาจเพิ่มพลังได้หนึ่งเท่ากว่าๆ ก็มีโอกาสเป็นไปได้
นอกจากนี้ ปีศาจสมุทรแปดขาที่เป็นเกราะอสูร ย่อมไม่ได้เป็นชุดเกราะธรรมดา ในเคล็ดวิชาเกราะอสูรยังบันทึกวิธีการควบคุมให้มันเปลี่ยนแปลงได้หลากหลายรูปแบบในการรับมือกับศัตรู
หลิ่วหมิงทำการเปรียบเทียบสถานการณ์ของปีศาจสมุทรแปดขากับเนื้อหาที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เล็กน้อย จากนั้นก็พอจะรับรู้ถึงความสามารถคร่าวๆ ของปีศาจสมุทรแปดขาในอนาคต
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผ่านการฝึกฝนที่แน่นอน ก็สามารถทำให้เกราะอสูรสมุทรแปดขากลายสภาพเป็นถุงมือ โล่ และอื่นๆ เป็นต้น
และเมื่ออสูรน้อยโตขึ้นมาอีกหน่อยล่ะก็ สามารถควบคุมให้กลายสภาพเป็นแขนใต้ซี่โครงเพื่อโจมตีในขณะที่ศัตรูไม่ทันได้ระวังได้ หรืออาจทำให้กลายเป็นปีกตรงหลังเพื่อช่วยในการเหินเวหา เป็นต้น
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเช่นนี้แล้ว มือข้างหนึ่งก็ปล่อยพลังออกมา เกราะสีเงินบนตัวพร่ามัวกลายสภาพเป็นหมึกสีชมพูตัวเล็กๆ และติดหนึบอยู่บนหน้าอกของเขา
พอเขาเห็นเช่นนี้ก็ไม่คิดจะดึงมันออกมา แต่กลับใส่เสื้อปิดคลุมมันไว้
เพราะหากยอมให้อสูรสมุทรน้อยแปดขาติดตัวไปล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะบ่มเพาะได้สะดวก พอเผชิญหน้ากับศัตรูก็สามารถใส่พลังเวทได้ทันที พริบตาเดียวก็จะกลายเป็นเกราะอสูร ซึ่งสามารถนำออกมาใช้งานได้ทันที
หลังจากหลิ่วหมิงหลอมเกราะอสูรสำเร็จแล้ว ก็คิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจไปเลือกเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับระดับผลึกเพื่อทำการฝึกฝน
เพราะครั้งนี้เขาสามารถอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับได้นานถึงสิบหกปี ซึ่งมีเวลาอย่างเพียงพอ ต้องเตรียมการให้มาก
ดังนั้นเขาจึงออกจากถ้ำที่พักอีกครั้ง และขี่เมฆไปยังหอคัมภีร์ของยอดเขาลั่วโยว
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงเดินออกจากหอคัมภีร์ด้วยสองมือที่ว่างเปล่า และใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา
ในหอคัมภีร์ของยอดเขา ส่วนมากเป็นเคล็ดวิชาสายปีศาจ ดูจากเงื่อนไขการฝึกฝนที่บรรยายแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีส่วนที่ขัดแย้งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาก และไม่เหมาะสมกับการฝึกฝนของเขา
หลังจากหลิ่วหมิงทำท่ามืออีกครั้ง เขาก็เหยียบเมฆดำพุ่งไปยังหอเก็บคัมภีร์ของนิกาย
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็มาถึงหอเก็บของคัมภีร์ของนิกายที่มาบ่อยจนคุ้นเคยแล้ว
หลิ่วหมิงทักทายศิษย์ดำเนินการร่างอ้วนอย่างง่ายๆ จากนั้นก็เดินตรงไปยังชั้นสามทันที
เขาอยู่บนชั้นสามนานถึงสามชั่วยาม พลิกอ่านคัมภีร์ไปหลายสิบเล่ม แต่ก็ยังหาเคล็ดวิชาที่เหมาะสมไม่ได้
ขณะนั้นเอง ชั้นไม้สีดำที่อยู่มุมหนึ่งของห้องก็ดึงดูดความสนใจของเขา
บนชั้นไม้มีคัมภีร์ที่ดูซีดเหลืองเล็กน้อยวางอยู่สิบกว่าเล่มเท่านั้น
“เคล็ดวิชาบรรพกาล?”
หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูอักขระเล็กๆ สองสามตัวบริเวณชั้นไม้ และเผยแววตาประหลาดใจออกมา ทันใดนั้นเขาก็ลุกเดินไปยังหน้าชั้นไม้สีดำทันที และหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งมาเปิดดูหน้าแนะนำสองสามหน้าแรกอย่างไม่ใส่ใจ
หลิ่วหมิงมาหอเก็บคัมภีร์บ่อยครั้งเช่นนี้ ย่อมเข้าใจคัมภีร์ประเภทต่างๆ อย่างชัดเจน
เคล็ดวิชาบรรพกาลที่กล่าวถึง ดูความหมายจากชื่อแล้ว มันเป็นเคล็ดวิชาจำนวนหนึ่งในสมัยบรรพกาล วิชาเหล่านี้มักจะมีอานุภาพไม่เลว แต่สำหรับตอนนี้แล้ว ส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดรวมอยู่ในอันดับได้ เงื่อนการฝึกฝนก็โหดร้ายเป็นอย่างมาก โดยทั่วไปไม่ค่อยมีคนถามหา
เพราปราณจิตวิญญาณฟ้าดินกับสมบัติฟ้าดินต่างๆ ในสมัยบรรพกาล ไม่ใช่สิ่งที่ตอนนี้จะสามารถเปรียบเทียบได้
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็ส่ายหน้าเล็กน้อย และวางคัมภีร์ในมือลง จากนั้นก็หยิบอีกเล่มขึ้นมา
ไม่นาน ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดจะวางคัมภีร์ในมือลงบนชั้นไม้นั้น พลันได้ยินเสียงหลัวโหวดังขึ้นข้างหูเบาๆ
“วิชาสายฟ้าสวรรค์นี้ พอฝึกฝนสำเร็จสามารถดูดรับพลังสายฟ้าที่แท้จริงมาควบคุมไอปีศาจหยินทั้งหมดได้ มีผลในการควบคุมจิตปีศาจในร่างของเจ้า แม้ว่าจะไม่อาจขุดรากถอนโคนจิตปีศาจได้ แต่กลับมีผลในการถ่วงเวลาให้ช้าออกไป”
“ผู้อาวุโสกล่าวจริงหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจในทันที และรีบถามเข้าไปในทะเลจิตรับรู้
แต่พอเขาถามออกไปแล้ว กลับมีแต่ความเงียบในหู ไม่มีน้ำเสียงของหลัวโหวดังขึ้นมาอีก
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในทันที และคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว
“ช่างเถอะ! แม้ตอนนี้จะยังไม่รู้เบื้องหลังของหลัวโหวอย่างชัดเจน แต่อย่างน้อยคำพูดของเขาก็ไม่เคยเป็นเท็จเลยสักครั้ง ในเมื่อบอกว่าวิชาสายฟ้าสวรรค์สามารถควบคุมจิตปีศาจได้ คงจะไม่เป็นเท็จอย่างแน่นอน”
หลิ่วหมิงแอบตำหนิอยู่ในใจ จากนั้นก็พลิกคัมภีร์เล่มนี้ไปยังหน้าที่บอกจำนวนแต้มคุณูปการที่ใช้แลกอย่างไม่ลังเล แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก
คัมภีร์ที่ดูธรรมดาๆ เล่มนี้ กลับใช้แต้มคุณูปการอันน่าตกใจถึงหกแสนแต้ม ซึ่งมากกว่าการยืมใช้กระจกหยินหยางแยกผสานด้วยซ้ำ เทียบกับวิชาเงาร่างสามส่วนแล้ว มากกว่าถึงหนึ่งเท่ากว่าๆ
หลิ่วหมิงกระพริบตาปริบๆ หลังจากมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ดูจำนวนแต้มคุณูปการผิดแล้ว ก็กัดฟันนำคัมภีร์วิชาบรรพกาลเล่มนี้ลงไปด้านล่างของหอ และไปหาผู้ดำเนินการหลี่ว์ร่างอ้วนอีกครั้ง
“พี่หลิ่ว มาหอเก็บคัมภีร์ในครั้งนี้จะยืมคัมภีร์เคล็ดวิชาอะไรอีกหรือ?” พอผู้ดำเนินการร่างอ้วนเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พี่หลี่ว์ ข้าอยากใช้สิทธิ์ครึ่งราคาของศิษย์สายในยืมอ่านวิชาสายฟ้าสวรรค์เล่มนี้” หลิ่วหมิงเอามือลูบจมูก และโบกคัมภีร์ในมือพร้อมกับกล่าวออกมา
“วิชาสายฟ้าสวรรค์? พี่หลิ่วรู้หรือไม่ แม้จะบอกว่าเมื่อฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นลึกซึ้งแล้ว จะมีอานุภาพไม่จำกัด แต่ความยากในการฝึกฝนไม่อาจเทียบกับวิชาระดับสูงทั่วไปได้ แม้ว่าพอจะมีคนจำนวนน้อยที่สนใจอยู่บ้าง แต่ล้วนเป็นผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ขึ้นไป” ชายหนุ่มร่างอ้วนมองดูคัมภีร์ในมือหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยความตกใจ
แม้ว่าผู้ดำเนินการร่างอ้วนผู้นี้จะมีระดับการฝึกฝนไม่ค่อยสูง แต่ก็รับหน้าที่ในหอเก็บคัมภีร์มานานหลายปี จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเคล็ดวิชาต่างๆ ในหอเก็บคัมภีร์ดี ด้วยเหตุนี้ถึงเอ่ยปากเตือนหลิ่วหมิงไปสองสามประโยค
“ขอบคุณพี่หลี่ว์ที่เตือน แต่ข้าได้ตัดสินใจแล้วเลือกวิชานี้แล้ว” หลิ่วหมิงรู้ดีว่าชายหนุ่มหวังดีกับเขา ดังนั้นจึงประสานมือคารวะเล็กน้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ในเมื่อพี่หลิ่วตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่เกลี้ยกล่อมท่านอีก เอาป้ายมาเถอะ!” ผู้ดำเนินการร่างอ้วนได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้มในทันที
หลิ่วหมิงปลดป้ายประจำตัวบนเอวมอบให้ชายหนุ่มร่างอ้วน
ชายหนุ่มแซ่หลี่ว์สะบัดแขนเสื้อหยิบพู่กันหยกที่เปล่งแสงสีเขียวสลัวๆ แตะลงบนป้ายของหลิ่วหมิงเบาๆ หลังจากมีจุดแสงสีเขียวเปล่งประกาย แต้มคุณูปการก็ลดลงไปสามแสนแต้ม
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ใช้พู่กันหยกแตะลงบนคัมภีร์วิชาสายฟ้าสวรรค์บนมือหลิ่วหมิง จากนั้นแสงสีเขียวลำหนึ่งก็จมลงไปในคัมภีร์ และชั้นจำกัดในนั้นก็กระพริบหายไป
“พี่หลิ่ว ชั้นจำกัดในคัมภีร์นี้ได้ถูกเปิดออกแล้ว ท่านต้องคัดลอกใส่แผ่นหยก และทำการสาบานก่อนนำมันออกไปก็พอ” ชายหนุ่มแซ่หลี่ว์เก็บพู่กันหยกและมอบป้ายคืนให้หลิ่วหมิงก่อนกล่าวออกมา
“ต้องขอบคุณพี่หลี่ว์มาก”
หลังจากรับป้ายประจำตัวกลับมาแล้ว หลิ่วหมิงก็นำแผ่นหยกแวววาวมาวางทาบลงบนคัมภีร์ พริบตาเดียวแสงทรงกลดสีเงินจางๆ ก็เปล่งประกาย อักขระเล็กๆ แต่ละแถวปรากฏบนแผ่นหยก และกระพริบหายไป
หลังจากหลิ่วหมิงใส่แผ่นหยกเข้าไปในแหวนย่อส่วนแล้ว ก็นำคัมภีร์กลับไปวางบนชั้นไม้ตรงชั้นสาม และกล่าวลาชายหนุ่มแซ่หลี่ว์อย่างรีบร้อนก่อนเหยียบเมฆเหาะกลับไปยังถ้ำที่พัก
พอกลับถึงถ้ำที่พัก เขาก็เดินเข้าไปในห้องลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะกลมๆ และนำแผ่นหยกไปแปะไว้บนหน้าผาก พอนำจิตจมดิ่งเข้าไป ก็เริ่มทำความเข้าใจวิธีการฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์
เวลาหลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากหลิ่วหมิงใช้ความคิดไปหนึ่งรอบแล้ว ก็เข้าใจวิชาบรรพกาลนี้อย่างทะลุปรุโปร่งในที่สุด
แม้เขาจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมวิชานี้ถึงมีอานุภาพไร้ขอบเขต แต่ศิษย์ในนิกายกลับมีคนเลือกฝึกฝนวิชานี้น้อยมาก
ตามบันทึกในคัมภีร์ วิชาสายฟ้าสวรรค์นี้ ดูจากชื่อแล้วเป็นวิชาที่ต้องอาศัยพลังของสายฟ้าสวรรค์ถึงจะฝึกฝนได้ ไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองเวลาในการฝึกฝนเป็นอย่างมาก ทุกครั้งต้องรอจนกว่าฝนตกฟ้าร้องถึงจะสามารถฝึกฝนได้
เช่นนี้แล้วต่อให้เป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ทางด้านวิชาอย่างน่าตกใจ แต่หากทุกครั้งที่มีพายุฝนฟ้าคะนองไม่ดึงเวลาในการฝึกฝน เกรงว่าเวลานับร้อยปีก็เพิ่งเข้าถึงขั้นต้นเท่านั้น
แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว หากวิชาสายฟ้าสวรรค์สามารถควบคุมไอปีศาจได้ อย่างน้อยต้องฝึกฝนถึงขั้นลึกซึ้งถึงจะได้ ดูจากสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ต้องใช้เวลาฝึกฝนนับพันปีเลยทีเดียว
ระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ เขาย่อมไม่อาจรอได้
เมื่อหลิ่วหมิงเข้าใจถึงเวลาที่ต้องใช้สำหรับฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์แล้ว ใบหน้าของเขาก็ประเดี๋ยวกลายเป็นสีแดงประเดี๋ยวกลายเป็นสีขาวอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หลับตาทั้งคู่ลงทันที และค่อยๆ ปล่อยพลังเวทเข้าไปในศิลาหุนเทียน
ครู่ต่อมา พลันมีเสียงดังหวึ่งข้างหูของเขา จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง และร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับ
และชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังเอามือไขว้หลังยืนอยู่ไม่ไกล ซึ่งก็คือหลัวโหวนั่นเอง
“ผู้อาวุโสหลัวโหว ก่อนหน้านั้นท่านบอกแค่ว่าหลังจากฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์นี้สำเร็จ จะมีผลในการควบคุมจิตปีศาจ แต่ไม่ได้บอกว่าต้องฝึกฝนวิชานี้ในขณะฝนตกฟ้าร้อง” หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วถามด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ฮึ! ในเมื่อข้าให้เจ้าเลือกวิชานี้ ข้าย่อมมีเหตุผลของข้า”
หลัวโหวได้ยินก็แค่ตอบกลับอย่างราบเรียบไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็สะบัดแขนสื้อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ดวงตามายาปีศาจบนศิลาหุนเทียนเปล่งแสงออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าทิวทัศน์รอบด้านพร่ามัว จากนั้นตัวเขาก็มาอยู่ในสถานที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง มีเมฆดำปกคลุมอยู่บนอากาศ สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งราวกับอสรพิษสีเงิน
“เปรี้ยง!”
สายฟ้าขนาดเท่าปากถ้วยฟันมายังตำแหน่งที่หลิ่วหมิงยืนอยู่
“สายฟ้าสวรรค์?”
หลิ่วหมิงได้แต่บิดตัวด้วยความตกใจ แต่ไหล่ของเขายังคงถูกสายฟ้าสวรรค์ดังนั่นโจมตีอย่างรวดเร็ว
ร่างของเขาเซไปทีหนึ่ง บนไหล่มีแผลไหม้เกรียมยาวหลายชุ่นปรากฏออกมา สายฟ้าสีเงินแต่ละเส้นส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” บนผิวของเขา กลิ่นไหม้เกรียมโชยออกจากตัวทันที
………………………………