แม้ว่ากายเนื้อของเขาจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันตั้งแต่แรก แต่หากต้องรับการโจมตีของสายฟ้าสรรค์อันน่ากลัวเช่นนี้ ก็รู้สึกรับไม่ไหวเช่นกัน
ไม่แปลกที่มีแต่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ฝึกฝนวิชานี้ เกรงว่าศิษย์ระดับผลึกทั่วไปยังไม่ทันฝึกฝนขั้นแรกสำเร็จ ก็ถูกสายฟ้าผ่าตายไปก่อนแล้ว
ขณะเดียว เสียงฟ้าร้องกลางอากาศก็ดังอยู่ไม่หยุด และสายฟ้าสิบกว่าเส้นก็ฟันเข้าใส่หลิ่วหมิงอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็ถูกโจมตีจนมีบาดแผลเต็มตัว ภายใต้สถานการณ์ที่สีหน้าของเขาดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง ก็รับรู้ได้ว่าตนเองไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหูอีกครั้ง ทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านพร่ามัว และร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง
หลัวโหวยังคงยืนอยู่ข้างศิลาหุนเทียนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และดวงตามายาบนศิลาหุนเทียนก็ค่อยๆ ปิดลง
“ผู้อาวุโสหลัวโหว เมื่อครู่นี้คือ…” หลังจากหลิ่วหมิงได้สติกลับมา ย่อมสอบถามด้วยความสงสัย
“เนื่องจากก่อนหน้านั้นเจ้าใช้ไอปีศาจแท้ซ่อมแซมผนึกของกรงขัง ขอบเขตอำนาจในดวงตามายาปีศาจของเจ้าจึงถูกยกระดับขึ้นมาหนึ่งขั้น สามารถใช้ดวงตามายาปีศาจจำลองสภาพอากาศในสถานที่ต่างๆ ได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าคงไม่เอ่ยปากให้เจ้าเลือกวิชานี้หรอก” หลัวโหวอธิบายอย่างราบเรียบ
“สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเพื่อทำการฝึกฝนได้? นี่ไม่เท่ากับว่าเพียงแค่ข้ามีพลังจิตที่เพียงพอ ก็สามารถฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์นี้ได้ตลอดเวลาหรือ!” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ย่อมมองมาด้วยความดีใจ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ว่ามันเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของภาพมายาที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ยังไม่อาจควบคุมได้ ทำได้แค่ให้ข้าเป็นคนน้าวนำ ต่อไปหากเจ้าจะฝึกฝน เพียงแค่เรียกชื่อข้าก็พอแล้ว” หลัวโหวยังคงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“เรื่องการน้าวนำนั้นไม่มีปัญหา แต่ไม่ทราบว่าขอบเขตอำนาจกรงขังที่ผู้อาวุโสกล่าวถึงในตอนแรกคือสิ่งใดกันแน่? หากผู้น้อยใช้ไอปีศาจแท้ในการเสริมมากขึ้น จะสามารถยกระดับขอบเขตอำนาจมากขึ้นหรือไม่ ดวงตามายาปีศาจนี้สามารถสร้างแดนมายาอื่นๆ ได้ตามใจต้องการหรือไม่?” หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกายสองสามที จากนั้นก็ถามคำถามจำนวนมากออกไปทีเดียว
แต่ทว่าหลัวโหวกลับไม่สนใจคำถามที่รัวเป็นชุดเหล่านี้ พูดแค่ว่า “ต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง” จากนั้นก็สะบัดแขนออกไป และพายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวเข้ามา
ดวงตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงมืดลง จากนั้นก็มาปรากฏตัวในห้องลับที่อยู่ภายในถ้ำอีกครั้ง
“อารมณ์ของหลัวโหวผู้นี้เข้าใจยากจริงๆ” หลิ่วหมิงตำหนิไปหนึ่งประโยคอย่างอดไม่ได้ แต่ก็รู้สึกโล่งใจมาก
มิเช่นนั้นการซื้อคัมภีร์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ด้วยแต้มคุณูปการสามแสนแต้ม ย่อมทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างแน่นอน
ตอนนี้เขาเพียงแค่ฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์จนถึงขั้นลึกซึ้งอย่างราบรื่นล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะควบคุมจิตปีศาจภายในร่างได้เท่านั้น ยังมีพลังวิเศษในการพิชิตศัตรูกำชัยชนะได้ด้วย
และตอนนี้มีเวลาราวๆ ครึ่งปีก่อนเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ แต่วัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณยังรวบรวมได้ไม่ครบ หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ออกไปจากถ้ำอีกครั้ง เขาปล่อยเรือเหาะออกมา และกระโดดขึ้นไปก่อนพุ่งออกจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปยังทิศทางบางแห่ง
หนึ่งเดือนต่อมา นอกตลาดขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปหลายล้านลี้ ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวผู้หนึ่งกำลังยืนโต้ลมอยู่บนยอดเขาลูกเล็กๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
หลายวันมานี้ เขาเดินไปทั่วทั้งสองตลาดที่อยู่ในบริเวณนี้อย่างบ้าคลั่ง แต่วัตถุดิบที่บันทึกไว้ในตำราโอสถแฝงจิตวิญญาณยังรวบรวมได้ไม่ครบ วัตถุดิบเสริมที่มีชื่อว่าหญ้าต้าไป่ยังหาซื้อไม่ได้เลยแม้แต่ชุดเดียว
และของเหลวห้าแสงที่เป็นวัตถุดิบหลักก็ซื้อมาได้แค่สองขวด คุณภาพก็ธรรมดา แค่พอใช้ได้เท่านั้น
หลังจากสอบถามไปหนึ่งรอบแล้ว เถ้าแก่ร้านโอสถที่มีประสบการณ์ค่อนข้างมากผู้หนึ่งบอกเขาว่า บริเวณเมืองจันทราสายน้ำที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปค่อนข้างไกล ผลิตหน้าต้าไป่โดยเฉพาะ บางทีอาจจะซื้อของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงได้จำนวนหนึ่งด้วย
ของเหลวห้าแสงสีมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าน้ำผึ้งห้าแสง เป็นน้ำผึ้งของปีศาจผึ้งชนิดหนึ่ง และเป็นสินค้าพิเศษของสถานที่บางแห่งในแผ่นดินจงเทียน แม้ว่าทุกปีจะผลิตออกมาไม่น้อย แต่พอปรากฏออกมาก็ถูกขายในตลาดท้องถิ่นจนหมดเกลี้ยง
ดังนั้นหากจะซื้อของเหลวห้าแสงที่คุณภาพดีหน่อย ควรไปซื้อที่สถานที่ผลิตจะดีที่สุด
แต่เขาจูหลงที่เป็นที่อยู่ของผึ้งห้าแสง ตั้งอยู่ในดินแดนเปล่าเปลี่ยวทางตอนใต้สุดของแผ่นดินจงเทียน ไม่เพียงแต่อยู่ไกลเป็นพิเศษ ทั้งยังมีอากาศเป็นพิษตลอดปี มีอสูรร้ายชนิดต่างๆ เป็นจำนวนมาก และเป็นที่ตั้งของเผ่าปีศาจต่างๆ ด้วย
และจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปยังดินแดนเปล่าเปลี่ยวทางตอนใต้ เส้นทางกว่าครึ่งหนึ่งไม่สามารถใช้ค่ายกลส่งตัวได้ แม้กระทั่งการไปกลับครั้งหนึ่ง ต้องใช้เวลาถึงสองปี ตอนนี้หลิ่วหมิงไปอาจไปได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้เขาได้แต่รวบรวมวัตถุดิบโอสถแฝงจิตวิญญาณที่สามารถเปิดเตาหลอมได้ไม่กี่ครั้งก่อน รอออกจากห้องว่างเปล่าลึกลับแล้ว ค่อยไปดินแดนเปล่าเปลี่ยวทางตอนใต้สักครั้ง
แต่จากประสบการณ์ปรุงโอสถในครั้งก่อน การใช้วัตถุดิบหลักที่ดีในการปรุงโอสถ ก็มีอัตราการปรุงสำเร็จมากกว่าอีกเล็กน้อย และยังมีโอกาสปรุงโอสถระดับสูงออกมาได้มากด้วย
หากเป็นไปได้ หลิ่วหมิงอยากจะรวบรวมน้ำผึ้งห้าแสงคุณภาพสูงมาให้ได้สองสามชุดก่อนเข้าห้องว่างเปล่าลึกลับ จะได้ยกระดับความเชี่ยวชาญในการปรุงโอสถของตัวเองได้เร็วขึ้น
ดังนั้นหลังจากคนในตลาดแห่งนี้บอกว่า เมืองจันทราสายน้ำอาจจะมีน้ำผึ้งห้าแสงคุณภาพไม่เลวอยู่ เขาย่อมไม่ละทิ้งมันไปอย่างแน่นอน
แต่ว่าเมืองจันทราสายน้ำก็อยู่ห่างไกลจากสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้มาก แม้ว่าจะมีเรือหยกจันทรา แต่หากไม่มีเวลาสองสามเดือนก็ไม่อาจไปถึงได้
แต่โชคดีที่มีค่ายกลส่งตัวหลังหนึ่งอยู่ห่างจากตลาดแห่งนี้ไปพันลี้ สามารถใช้หินจิตวิญญาณเล็กน้อยในการส่งตัวไปไม่กี่ครั้ง ก็ไปถึงบริเวณเมืองจันทราสายน้ำแล้ว
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองดูแล้ว ก็ตัดสินใจในทันที เขายกแขนปล่อยเรือเหาะหยกจันทราออกมา และกระโดดขึ้นไปบนนั้น จากนั้นก็ใช้ปลายเท้าแตะพื้นเรือเบาๆ
พายุพัดกระหน่ำทั้งสองด้านของเรือ และพุ่งไปทางค่ายกลส่งตัวทันที
จากนั้นหลิ่วหมิงก็ไปนั่งขัดสมาธิตรงส่วนหน้าของเรือ และหลับตาพักผ่อนอย่างเงียบๆ
….
ครึ่งเดือนต่อมา ท่ามกลางหุบเขาที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง มีแสงแวววาวเปล่งประกายผ่านไป พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นเรือหยกที่ยาวสิบกว่าจั้ง
ตรงส่วนหน้าของเรือหยกมีเงาร่างคนสองคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือหลิ่วหมิง และด้านข้างของเขาก็เป็นชายคิ้วเข้มที่สวมชุดคลุมสีขาวแบบเรียบๆ แต่กลับมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้น
“ผู้อาวุโส เพียงแค่เหาะไปทางตะวันออกอีกพันกว่าลี้ ก็จะถึงเมืองจันทราสายน้ำแล้ว” ชายหนุ่มคิ้วเข้มชี้ไปยังด้านหน้า และกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม
“ดี! เดินทางต่อเถอะ!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พอสะบัดแขนเสื้อ เรือเหาะหยกจันทราที่อยู่ใต้เท้าก็กลายเป็นแสงแวววาวพุ่งไปทางเมืองจันทราสายน้ำต่อ
ตอนผ่านค่ายกลส่งตัวในครั้งแรก หลิ่วหมิงบังเอิญพบเจอกับคนผู้นี้
เดิมทีเขาไม่คิดจะสนใจด้วยซ้ำ แต่พอชายผู้นี้รับรู้ได้ว่ากลิ่นไอของหลิ่วหมิงไม่อาจคาดเดาได้ กลับเดินเข้ามาทักทาย และบอกว่าตนเองเป็นคนเมืองจันทราสายน้ำ ยินดีรับใช้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกำลังไปหาวัตถุดิบที่เมืองจันทราสายน้ำพอดี หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยอมให้ชายหนุ่มผู้นี้เดินทางไปด้วยกัน
บนเรือเหาะ ชายหนุ่มคิ้วเข้มกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม
“หญ้าต้าไป่ที่ผู้อาวุโสกล่าวถึง ทุกๆ ปีเมืองจันทราสายน้ำจะผลิตออกมาจำนวนไม่น้อย อีกทั้งมีราคาต่ำ ไม่กี่ร้อยหินจิตวิญญาณก็ซื้อได้หนึ่งต้นแล้ว ส่วนของเหลวห้าแสงนั้น ผู้น้อยมีความรู้เพียงเบาบาง ได้ยินมาไม่มากนัก แต่ทุกๆ ปีเมืองจันทราสายน้ำจะมีงานประมูลขนาดใหญ่ มีสมบัติหายากมากมายนับไม่ถ้วน บางทีอาจจะมีของที่ผู้อาวุโสต้องการก็ได้”
“งานประมูลนี้จะจัดขึ้นเมื่อใด?” หลิ่วหมิงเอ่ยปากถามด้วยใจที่เต้นเล็กน้อย
“งานประมูลขนาดเล็กจัดขึ้นครึ่งปีครั้ง งานประมูลขนาดใหญ่จัดขึ้นสองปีครั้ง ผู้อาวุโสมาได้ไม่ค่อยประจวบเหมาะ เดือนก่อนเพิ่งจะจัดงานประมูลขนาดเล็กไป ครั้งหน้าต้องรออีกห้าเดือน” ชายคิ้วเข้มได้ยินก็ตอบหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป จากคำเตือนของหลัวโหวในก่อนหน้านั้น มีเวลาอีกแค่สี่เดือนก็จะเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับแล้ว ไม่อาจรองานประมูลในครั้งหน้าได้ หรือว่าการมาเมืองจันทราสายน้ำในครั้งนี้จะเสียเปล่าหรือ
“เมืองขนาดใหญ่อย่างเมืองจันทราสายน้ำนี้ นอกจากงานประมูลแล้ว มีร้านขายวัตถุดิบที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงหรือไม่” หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้ว ก็ถามออกมา
“อันนี้…ร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจันทราสายน้ำมีชื่อเรียกว่า ‘เรือนสมบัติสวรรค์’ เลื่องชื่อลือนามว่ามีสมบัติฟ้าดินจำนวนไม่น้อย บางทีสิ่งของที่ผู้อาวุโสต้องการอาจจะหาได้จากสถานที่แห่งนี้ก็เป็นไปได้” ชายหนุ่มคิ้วเข้มคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวอย่างระมัดระวัง
“ดีมาก!”
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย และนั่งสมาธิเงียบๆ โดยไม่กล่าวอะไรอีก
สามวันต่อมา เรือเหาะแวววาวที่ยาวสิบกว่าจั้งลำหนึ่ง กำลังพุ่งผ่านอากาศเหนือพื้นราบที่อยู่ห่างจากเมืองใหญ่กว่าร้อยจั้ง
หลิ่วหมิงกำลังหรี่ตาดูเมืองจันทราสายน้ำอยู่ตรงส่วนหน้าของเรือ
เทียบกับตลาดในนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว ดูเหมือนว่าเมืองแห่งนี้จะใหญ่กว่าสี่ห้าเท่า รอบด้านเป็นกำแพงเมืองที่ก่อขึ้นมาจากหินอ่อนสีเหลืองแต่ละก้อน กำแพงเมืองนี้สูงสิบกว่าจั้ง สิ่งก่อสร้างที่มีความสูงต่างกันในเมืองถูกจัดวางอย่างหนาแน่นและเป็นระเบียบ
ขณะเดียวกัน มีแสงหลบหลีกหลากสีพุ่งเข้าออกบริเวณเมืองอยู่บ่อยครั้ง แลดูเป็นภาพที่ดูเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
ความคิดหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที พอเปลี่ยนท่ามือ เรือเหาะก็ร่อนลงด้านล่าง จากนั้นเขากับชายหนุ่มคิ้วเข้มก็กระโดดลงไปทันที
พอยกแขนเสื้อขึ้น เรือเหาะก็กลายเป็นแสงแวววาวก่อนพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
ภายใต้การนำทางของชายหนุ่มคิ้วเข้ม ทั้งสองก็เข้าไปในเมืองจันทราสายน้ำอย่างราบรื่น
หนึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงเดินออกจากร้านโอสถที่ดูธรรมดาร้านหนึ่ง ยันต์เก็บของสองผืนที่อยู่ในแหวนย่อส่วนของเขา ก็เต็มไปด้วยหญ้าต้าไป่
เมื่อครู่เขากวาดซื้อหญ้าต้าไป่จากร้านนี้จนหมดเกลี้ยง หญ้าเหล่านี้เพียงพอให้เขาปรุงโอสถเกือบร้อยเตาแล้ว และราคาต้นละสองร้อยหินจิตวิญญาณก็ค่อนข้างถูกมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้สามแสนหินจิตวิญญาณซื้อหญ้าต้าไป่เหล่านี้จนหมดโดยไม่คิดอะไรมาก และนี่ก็ทำให้ชายหนุ่มคิ้วเข้มที่อยู่ด้านข้างกับเถ้าแก่ร้านมองดูด้วยความตกตะลึง
เพราะพืชจิตวิญญาณชนิดนี้เป็นวัตถุดิบเสริม เมื่อเทียบกับพืชจิตวิญญาณชนิดอื่นๆ แล้ว ไม่ค่อยใช้งานกว้างขวางมากนัก โดยปกติไม่มีคนซื้อทีเดียวจำนวนมากเช่นนี้
“ผู้อาวุโสซื้อวัตถุดิบทีเดียวจำนวนมากเช่นนี้ ท่านจะปรุงโอสถหรือ?” ชายหนุ่มคิ้วเข้มเดินตามหลิ่วหมิงออกจากร้าน และเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
“ทำไมล่ะ! เจ้ารู้สึกประหลาดใจที่ข้าซื้อวัตถุดิบจำนวนมากเช่นนี้หรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถามกลับด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“มิกล้า! ข้าน้อยพูดมากเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มคิ้วเข้มรู้สึกสะดุ้งโหยงในทันที จากนั้นก็รีบก้มหน้าตอบกลับไป
“เอาล่ะ! เรือนสมบัติสวรรค์ที่เจ้าพูดถึงอยู่ที่ใด นำข้าไปเถอะ!” หลิ่วหมิงถามราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ผู้อาวุโสเลี้ยวซ้ายตรงมุมหัวถนนด้านหน้าก็ถึงเรือนสมบัติสวรรค์แล้ว ด้วยสถานะอย่างผู้น้อย เกรงว่าคงไม่อาจเข้าไปในนั้นกับท่านได้” ชายหนุ่มคิ้วเข้มรีบตอบด้วยรอยยิ้มในเชิงขอโทษ
………………………………