หลิ่วหมิงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องปรุงโอสถ หลังจากรอคอยอย่างเงียบๆ สองชั่วยาม ก็ปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับกลางออกมาได้หลายเม็ด ขณะที่เก็บเตาหลอมลิ่วเสินเข้าไปนั้น ในสมองยังคงเต็มไปด้วยคำพูดที่กล่าวถึงผู้อาวุโสระดับสูง
ผู้อาวุโสระดับสูงที่กล่าวถึง แตกต่างจากผู้อาวุโสดำเนินการโดยทั่วไปและผู้อาวุโสแต่ละยอดเขา เกณฑ์เดียวที่สามารถเข้าสู่ระดับนั้นได้ก็คือ มีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์แล้ว
ในนิกายยอดบริสุทธิ์ ไม่ว่าแต่เดิมจะมีสถานะเช่นไร แต่เพียงแค่เข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ได้ ก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายทันที มีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรในนิกายจำนวนมากเกินกว่าจะนึกถึงได้ และกลายเป็นเสาเอกที่แท้จริงของนิกายยอดบริสุทธิ์
ตามที่หลิ่วหมิงทราบมา แม้ว่านิกายยอดบริสุทธิ์จะเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ แต่ผู้อาวุโสระดับสูงระดับดาราพยากรณ์ก็มีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น
ฝูจื่อที่เขาพบเจอในวังหลีเหอในก่อนหน้า ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ผู้อาวุโสระดับสูงในนิกายยอดบริสุทธิ์เหล่านี้ สามารถบดขยี้การดำรงอยู่ของนิกายธรรมดาได้อย่างง่ายดายในชั่วพริบตาเดียว
แม้เขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดผู้อาวุโสระดับสูงท่านนี้ถึงต้องการศิษย์ที่รู้สายกระบี่และโอสถอย่างกะทันหัน แต่ในเมื่อมอบแต้มคุณูปการให้สองแสนแต้มกับคุณงามความดีเป็นการตอบแทน คิดว่าเรื่องนี้สำคัญกับผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้มาก
ดูท่าการไปในครั้งนี้ เขาจะต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ต้องทำให้ผู้อาวุโสระดับสูงผู้นี้พอใจถึงจะได้
พอหลิ่วหมิงนึกถึงจุดนี้ ก็รีบออกจากห้องปรุงโอสถ และไปนอนในห้องนอนเป็นการใหญ่ในทันที เพื่อเรื่องในวันพรุ่งนี้แล้ว เขาจะต้องพักผ่อนให้มากๆ
เช้าตรู่วันที่สอง หลิ่วหมิงออกจากถ้ำที่พักด้วยจิตใจที่สดชื่นแจ่มใส จากนั้นก็ขี่เมฆพุ่งไปทางหอคุมกฎ
ครึ่งชั่วยามต่อมา เมฆดำก่อนหนึ่งก็ร่อนลงบนยอดเขาที่เป็นที่ตั้งของหอคุมกฎ พอเขาเข้าไปในประตูใหญ่ของหอ รองหัวหน้าเจ้าผู้นั้นก็ได้รออยู่ที่นั่นแล้ว
“ดี! ในที่สุดเจ้าก็มา ตามข้ามาเถอะ!”
พอรองหัวหน้าเจ้าผู้นี้เห็นหลิ่วหมิง เขาก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา หลังจากโบกมือให้แล้ว ก็หมุนตัวเดินนำไป
หลิ่วหมิงย่อมพูดตอบรับ และเดินตามไป
ทั้งสองเดินตามกันไม่นาน ก็มาถึงห้องหลังหนึ่งที่อยู่ด้านหลังหอคุมกฎ
สถานที่แห่งนี้มีค่ายกลส่งตัวขนาดต่างๆ อยู่สิบกว่าหลัง และแต่ละหลังต่างก็มีชั้นจำกัดม่านแสงที่มีสีแตกต่างกัน
ก่อนหน้านั้นที่เขามาหอคุมกฎ ก็เคยชำเลืองมองสถานที่แห่งนี้อย่างไม่ตั้งใจ ส่วนค่ายกลเหล่านี้จะส่งตัวไปที่ใดนั้น เขากลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
ไม่รอให้หลิ่วหมิงได้เอ่ยปากถามอะไร รองหัวหน้าเจ้าผู้นี้ก็ยื่นยันต์สีทองให้หลิ่วหมิงผืนหนึ่ง จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังค่ายกลบางแห่งก่อนกล่าวออกมา
“มองเห็นค่ายกลสีเขียวอ่อนหลังนั้นไหม นี่คือยันต์ส่งตัว เจ้าเพียงแค่ถือยันต์นี้เข้าไปในค่ายกล ก็จะถูกส่งไปยังที่พักของผู้อาวุโสระดับสูงผู้นี้”
“ทราบ! อาจารย์อาเจ้า” หลิ่วหมิงยื่นมือรับยันต์มา และกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม
จากนั้นก็ถือยันต์สีทองเดินเข้าไปใกล้ค่ายกล พอกระตุ้นพลังเวท แสงสีทองลำหนึ่งก็พุ่งออกจากยันต์ส่งตัว และกะพริบจมหายไปในขอบค่ายกลส่งตัว
ทันใดนั้น ค่ายกลก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแสงสีเขียวเปล่งประกายตรงหน้า อากาศรอบด้านสั่นสะเทือนเบาๆ จากนั้นก็เริ่มพร่ามัว
ครู่ต่อมา พลัยมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ข้างหู
เมื่อเขามองเห็นทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านชัดเจนอีกครั้ง ก็มาปรากฏตัวในพื้นที่เขียวชอุ่มขนาดเล็กแล้ว
พื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่มีขนาดราวๆ สิบกว่าหมู่ พอมองออกไปรอบด้านล้วนเป็นกำแพงหมอกสีเขียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดสถานที่แห่งนี้ถึงสว่างเป็นพิเศษ
หลังจากหลิ่วหมิงเพ่งสายตามอง ก็มองเห็นกระท่อมธรรมดาๆ หลายหลังกับศาลาไม้หลังหนึ่งอยู่ไม่ไกล ด้านข้างของกระท่อมเป็นแปลงสมุนไพรขนาดหลายหมู่ ในนั้นปลูกสมุนไพรจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณหลายชนิด
พอมองออกไป เขาก็ค้นพบว่าในนั้นมีสมุนไพรจิตวิญญาณที่มีชื่อว่าหญ้าดึงวิญญาณอยู่ด้วย ในงานประมูลครั้งหนึ่งในก่อนหน้านั้น ต้นหนึ่งที่มีอายุสามร้อยปีก็ถูกประมูลออกไปในราคาเกือบหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ
แม้เขาจะไม่รู้จักพืชสมุนไพรจิตวิญญาณตัวอื่นๆ แต่คิดว่ามันคงมีคุณสมบัติไม่ธรรมดา ล้วนเป็นพืชจิตวิญญาณล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งในโลกภายนอก
นอกจากพืชสมุนไพรจิตวิญญาณเหล่านี้แล้ว ยังมีวิหคจิตวิญญาณหลายตัวเกาะอยู่ด้านข้าง แต่ละตัวล้วนมีกลิ่นไอไม่ธรรมดา นกยูงห้าสีตัวหนึ่งหันคอเรียวยาวมามองหลิ่วหมิง ทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “แอ๊ด!” มาจากกระท่อมหลังหนึ่ง และผู้อาวุโสสองคนก็เดินออกมา
ทั้งสองต่างก็ดูมีอายุราวๆ ห้าสิบหกสิบปี หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมสีขาว ผมขาวหน้าแดงมีเลือดฝาด ส่วนอีกคนก็สวมชุดคลุมสีแดงทั้งตัว หน้าตาธรรมดา ผมขาวยุ่งเหยิงเต็มศีรษะ แต่ดวงตากลับเป็นสีฟ้าอ่อนๆ
พอหลิ่วหมิงกวาดจิตออกไป ก็ไม่อาจรับรู้ระดับการฝึกฝนของทั้งสองได้ ประจักษ์ชัดว่าต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งเหนือกว่าระดับแก่นแท้แล้ว
“ศิษย์หลิ่วหมิง คารวะผู้อาวุโสระดับสูงทั้งสอง หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่กับที่ในทันที และโค้งคารวะทั้งสองจากที่ไกลๆ ด้วยสีหน้านอบน้อม
“อ้อ! เจ้าเป็นศิษย์ที่มาช่วยในครั้งนี้ใช่ไหม ไม่เลว! อายุยังน้อยแต่กลับมีพลังเวทบริสุทธิ์อย่างหาได้ยากยิ่ง” ผู้อาวุโสชุดแดงกวาดสายตามองดูหลิ่วหมิง และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
เขามองดูแค่ทีเดียวก็รู้ว่าพลังเวทของหลิ่วหมิงบริสุทธิ์กว่าศิษย์ทั่วไปมาก
“ข้าคือจงอี้ เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ และก็เป็นคนที่ประกาศภารกิจด้วย ด้านข้างนี่คือผู้อาวุโสเหยาฟู่เหวิน” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีขาวสังเกตดูหลิ่วหมิงสองที และค่อยๆ กล่าวด้วยสีหน้าพอใจเช่นกัน
“ที่แท้ก็คือผู้อาวุโสจงกับผู้อาวุโสเหยา” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็รีบคารวะอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
แม้จะเป็นการพบเจอครั้งแรก แต่เนื่องจากทั้งสองเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่มีไม่มาก ดังนั้นหลิ่วหมิงย่อมได้ยินชื่อของทั้งสองมานานแล้ว
จงอี้เป็นผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์เพียงหนึ่งเดียวที่เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ และเหยาฟู่เหวินก็เชี่ยวชาญสายกระบี่ พวกเขาทั้งสองกับผู้อาวุโสอีกคนที่เชี่ยวชาญสายยันต์ ถูกเรียกรวมกันว่าสามจิตวิญญาณแห่งยอดบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ ในนิกายยอดบริสุทธิ์
“เอาล่ะ! ไม่ต้องมากพิธีแล้ว ศิษย์น้องจงเตาหลอมวิเศษนั้น ข้าให้เจ้ายืมใช้ระยะหนึ่ง รอเจ้าเสร็จเรื่องแล้วค่อยคืนให้ข้า” เหยาฟู่เหวินโบกมือให้กับหลิ่วหมิง จากนั้นก็หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสชุดคลุมสีขาวที่อยู่ด้านข้าง
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณศิษย์พี่เหยามาก วันหลังข้าจะไปคืนเตาหลอมให้กับศิษย์พี่ด้วยตนเองอย่างแน่นอน” จงอี้กล่าวอย่างนอบน้อม
“ศิษย์น้องจงกล่าวเกินไปแล้ว เจ้ากับข้าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันมานับพันปีแล้ว ใยต้องมาเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ด้วย เอาล่ะ! ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ไม่อยู่ดูศิษย์น้องปรุงโอสถแล้ว ต้องขอตัวก่อน” ผู้อาวุโสชุดแดงหัวเราะอย่างเปิดเผย จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีแดงกะพริบหายไปจากพื้นที่ลึกลับแห่งนี้
ผู้อาวุโสชุดขาวเห็นเช่นนี้ ก็หุบยิ้มแล้วหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“รองหัวหน้าเจ้าบอกข้าว่า เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านหนึ่ง ทั้งยังปรุงโอสถระดับพสุธาได้ด้วย ขณะเดียวกันยังเคยฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง และค่อนข้างเชี่ยวชาญสายกระบี่ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?”
“เรียนผู้อาวุโสระดับสูง เป็นเช่นนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงตอบโดยไม่ต้องคิด
“ดีมาก! หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ก็สามารถช่วยได้อยู่บ้าง ที่ข้าเรียกเจ้ามาในครั้งนี้เพื่อให้เจ้าช่วยข้าปรุงโอสถบรรพกาลที่มีชื่อว่า ‘โอสถประลองกระบี่’ ได้ยินชื่อนี้แล้ว เจ้าคงจะรู้แล้วนะว่าเหตุใดข้าถึงเรียกเจ้ามา ศิษย์ที่ช่วยข้าปรุงโอสถในก่อนหน้านั้นต้องกักตัวฝึกฝน จึงไม่อาจมาช่วยข้าได้ และในนิกายยอดบริสุทธิ์ยังมีหลายคนที่สามารถรับหน้าที่นี้ได้ แต่ดันติดภารกิจภายนอกกันหมด และข้าก็จำเป็นต้องปรุงโอสถนี้มาใช้อย่างเร่งด่วนในระยะใกล้ๆ นี้ ด้วยเหตุนี้หลังจากเกิดอุปสรรคอยู่หลายครั้งหลายหน ข้าถึงเรียกเจ้ามาพบ”
“ศิษย์จะช่วยผู้อาวุโสปรุงโอสถนี้ให้สำเร็จอย่างสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ถึงเข้าใจขึ้นมา จากนั้นก็รีบกุมมือคารวะก่อนกล่าวออกมา
“เช่นนี้ก็ดี! หลังจากเสร็จเรื่องนี้แล้ว เจ้าย่อมได้รับผลดีอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้ พวกเรามาเริ่มกันเถอะ! เจ้าตามข้ามา” จงอี้พยักหน้าและโบกมือให้หลิ่วหมิงก่อนกล่าวด้วยความพอใจ
จากนั้นผู้อาวุโสชุดขาวก็พาหลิ่วหมิงเดินไปในกระท่อมหลังหนึ่ง
กระท่อมที่ดูธรรมดานี้ ด้านในกลับราวกับเป็นแดนสวรรค์ ซึ่งเป็นห้องปรุงโอสถสี่เหลี่ยมที่มีพื้นที่ราวๆ สิบกว่าจั้ง ด้านหนึ่งของห้องมีชั้นหนังสือที่เป็นไม้สีเหลืองตั้งวางอยู่สองสามอัน และยังมีเตียงหลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างเรียบง่าย นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอีก
บนพื้นอีกด้านหนึ่ง มีค่ายกลที่เกิดจากการก่อตัวของร่องลึกชุ่นกว่าๆ ปรากฏอยู่รำไร
จงอี้เดินไปตรงหน้าค่ายกล พอสะบัดแขนเสื้อ เตาหลอมสีแดงเล็กๆ ใบหนึ่งก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว มันก็สูงขึ้นราวๆ สามสี่จั้ง และหล่นลงบนค่ายกลอย่างรุนแรง “โครม!”
บนเตาหลอมยักษ์มีอักขระสีแดง เหลือง และฟ้าปรากฏอย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
เตาหลอมใบนี้ก็คือเตาหลอมสามอัคคีที่เขาเคยพบเจอในแดนอบอ้าวใบนั้น!
“ต่อไปข้าจะปรุงโอสถประลองกระบี่ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ ขณะที่โอสถนี้ใกล้จะเกาะตัว ให้เจ้าปล่อยปราณกระบี่เข้าไปในเตาหลอมอย่างต่อเนื่องก็พอแล้ว ในเมื่อเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับของเหลว คงรู้ว่าโอสถนี้จะเกาะตัวเวลาใด ยึดกุมโอกาสให้ดี อย่าให้เร็วหรือช้าจนเกินไป มิเช่นนั้นพอโอสถนี้ไม่อาจดูดซับปราณกระบี่ได้มากพอ ก็จะไม่สามารถปรุงออกมาได้อย่างราบรื่น” จงอี้กำชับหลิ่วหมิงอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงได้ยินย่อมตอบรับอย่างนอบน้อม นิ้วทั้งสิบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยพลังเข้าไปในเตาหลอมสามอัคคีตรงหน้า
อักขระสามสีบนพื้นผิวของเตาหลอมยักษ์เริ่มเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ฝาเตาหลอมก็เปิดออกมา และมีแสงสามสีม้วนตัวเข้าไปด้านในอยู่ตลอดเวลา
“ตู๊ม!”
พลังสายหนึ่งจมเข้าไปในค่ายกลตรงก้นเตาหลอม มังกรเพลิงสีแดงที่ร้อนแรงเป็นพิเศษพุ่งขึ้นมา และหมุนวนห่อหุ้มก้นเตาหลอมไว้
พอจงอี้สะบัดแขนเสื้อ ยันต์เก็บของสามผืนก็ปรากฎบนฝ่ามือ หลังจากขยี้จนแตกกระจายไปพร้อมกันแล้ว วัตถุดิบกองหนึ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตาลายจนเรียกชื่อไม่ถูก ก็ลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้า
ครู่ต่อมา แขนเสื้อทั้งสองข้างของผู้อาวุโสชุดขาวก็โบกสะบัดติดต่อกัน จากนั้นวัตถุดิบตรงหน้าก็กระโดดลงไปในเตาหลอม และฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ ปิดลง
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ จงอี้ก็ใช้มือข้างหนึ่งคำนวณดูเวลา ขณะเดียวกันก็รอคอยอย่างเงียบๆ และปล่อยพลังใส่เตาหลอมเป็นระยะๆ เพื่อควบคุมความร้อนของเปลวไฟสีแดงอยู่ตลอดเวลา
………………………………