หลิ่วหมิงจ้องมองเตาหลอมตาไม่กะพริบ เขาเพิ่งปรุงโอสถประลองกระบี่เป็นครั้งแรก จึงไม่รู้ว่าโอสถนี้ต้องใช้เวลาปรุงนานเท่าใด และจะเกาะตัวเวลาไหน จึงได้แต่เฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา จะได้ไม่พลาดโอกาสอันดีในการปล่อยปราณกระบี่
ทั้งสองอยู่ในกระท่อมนานสามวันสามคืน
หลิ่วหมิงเชี่ยวชาญเวลาในการใส่ปราณกระบี่มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งต่างก็ปล่อยปราณกระบี่ใส่เข้าไปในเตาหลอมอย่างไร้สุ้มเสียง และส่วนมากก็ถูกโอสถในนั้นดูดซับจนหมดเกลี้ยง มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สลายไป
ขณะที่หลิ่วหมิงคิดว่าโอสถนี้จะใช้เวลาปรุงนานกว่านี้นั้น ฝาเตาหลอมพลันสั่นสะท้านเบาๆ และเริ่มพ่นไอสีขาวออกมา
“คงพอประมาณแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะเปิดเตาหลอม เจ้าใช้พลังเวททั้งหมดปล่อยปราณกระบี่ออกมาได้มากเท่าใด ก็ปล่อยออกมาให้หมดเถอะ” จงอี้เห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
หลิ่วหมิงย่อมพยักหน้าตอบรับ และสะบัดแขนเสื้อนำกระบี่เล็กสีเขียวออกมา หลังจากทำท่ามือเคล็ดกระบี่แล้ว เงากระบี่จำนวนมากก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
จงอี้เห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็โบกสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ทำให้ฝาเตาหลอมค่อยๆ ลอยขึ้นมาหนึ่งฉื่อกว่าๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หยุดทำท่าเคล็ดกระบี่ทันที แขนข้างที่จับกระบี่สั่นสะท้าน เงากระบี่จำนวนมากกลายเป็นปราณกระบี่พุ่งเข้าไปในเตาหลอม
ขณะที่ปราณกระบี่ทะลักเข้าไปนั้น พลันมีเสียงปราณกระบี่พุ่งไปมาในเตาหลอมเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน
หลังจากทำเช่นนี้ต่อเนื่องจนเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป จงอี้ก็ตะโกนออกมาเบาๆ “หยุด!” จากนั้นหลิ่วหมิงถึงหยุดการปล่อยปราณกระบี่
“ทำได้ดีมาก เจ้าไปพักผ่อนสักครู่ก่อนเถิด!” จงอี้กล่าวชมไปหนึ่งประโยค และโบกแขนเสื้อปิดฝาเตาหลอมลงอีกครั้ง จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง และรอคอยอย่างเงียบๆ
ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม มีเสียงดัง “ตู๊ม!” มาจากด้านในเตาหลอม ขณะเดียวกันกลิ่นไหม้อย่างรุนแรงก็โชยไปทั่วกระท่อม
“ดูท่าคงจะล้มเหลวแล้ว”
จงอี้ส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ทำท่ามือเปิดฝาเตาหลอมออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง วัตถุสีดำที่มีเปลวไฟสามสีห่อหุ้มอยู่ก็พุ่งออกมา และร่วงลงบนฝ่ามือของเขา
เขากวาดสายตาดูแค่ทีเดียว ก็โยนทิ้งไปด้านข้าง จากนั้นก็นำยันต์เก็บของสามผืนมาขยี้จนแตกกระจาย และนำวัตถุดิบกองหนึ่งใส่เข้าไปในเตาหลอมยักษ์อีกครั้ง เปลวไฟตรงก้นเตาหลอมเริ่มปรุงโอสถเป็นครั้งที่สอง
และหลิ่วหมิงย่อมรอคอยอย่างเงียบๆ ไปพร้อมกัน ด้านหนึ่งฟื้นฟูพลังเวท ด้านหนึ่งก็สังเกตการเปลี่ยนแปลงภายในเตาหลอมอยู่ตลอดเวลา
จนเวลาผ่านไปสามวันครึ่ง พลันมีเสียงดัง “ตู๊ม!” มาจากด้านในเตาหลอมอีกครั้ง กลิ่นไหม้โชยออกมา การปรุงโอสถในครั้งที่สองยังคงล้มเหลวเช่นเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แบะปากอย่างอดไม่ได้!
คิดไม่ถึงว่าโอสถประลองกระบี่จะปรุงยากขนาดนี้ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับดาราพยากรณ์ยังล้มเหลวติดต่อกันถึงสองครั้ง อัตราการปรุงโอสถสำเร็จต่ำจนยากจะรู้ได้ และวัตถุดิบที่ใช้ปรุงโอสถเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม เกรงว่าคงเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในโลกภายนอกอย่างแน่นอน
แต่จงอี้ยังคงขยี้ยันต์อีกสามผืนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และเริ่มปรุงโอสถครั้งที่สาม
หลายวันผ่านไป ขณะที่ฝาเตาหลอมสั่นสะท้านเบาๆ นั้น หลิ่วหมิงก็ถือโอกาสกระตุ้นเคล็ดกระบี่ปล่อยปราณกระบี่สีเขียวเข้าไปในเตาหลอมสามอัคคีโดยฉับพลัน
หลังจากจงอี้ปิดฝาเตาหลอมลง จนเวลาผ่านไปสองชั่วยาม ก็มีเสียงดังระเบิดดังขึ้นเบาๆ ภายในเตาหลอม “ปังๆ!” และเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานานหนึ่งมื้อข้าว
ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกงงงวยนั้น เปลวไฟสามสีกลับพุ่งออกจากช่องว่างระหว่างฝาเตาหลอม
“สำเร็จแล้ว!”
จงอี้เห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา พอยกมือข้างหนึ่งปล่อยพลังออกไป เตาหลอมก็ค่อยๆ ขยับออก แสงทรงกลดสีขาวเงินเปล่งประกายออกมา ขณะเดียวกันปรานกระบี่ก็ทะยานออกจากเตาหลอม
ขณะนั้นเอง จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ในร่างหลิ่วหมิง ก็สั่นสะเทือนเบาๆ อยู่ไม่หยุด ราวกับรับรู้อะไรบางอย่างได้
หลิ่วหมิงรีบทำท่ามือด้วยความตกใจ จากนั้นมันถึงถูกควบคุมไว้ได้
ขณะนี้จงอี้ถึงหยุดทำท่ามือ พอโบกมือข้างหนึ่งออกไป โอสถขนาดเท่าหัวแม่มือสามเม็ดที่ถูกเปลวไฟสามสีห้อหุ้มอยู่ ก็ค่อยๆ พุ่งออกจากเตาหลอม และหล่นลงในมือของเขา
เขาใช้นิ้วคีบมันขึ้นมาหนึ่งเม็ด และสังเกตดูอย่างละเอียด
พอมองทะลุเปลวไฟสามสีไป จะเห็นโอสถสีขาวเงินเม็ดหนึ่งปรากฏอยู่ในนั้นอย่างชัดเจน และบนผิวของมันก็มีลายโอสถสีทองจางๆ ประทับอยู่หนึ่งเส้น
ขณะที่หลิ่วหมิงมองเห็นโอสถสีขาวเงินที่ถูกเปลวไฟห่อหุ้มอยู่นี้ เขาก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้
โอสถประลองกระบี่ที่กล่าวถึง กลิ่นไอภายนอกดูคล้ายกับโอสถที่เขาได้มาจากแดนอบอ้าวในตอนนั้นมาก
เพียงแต่ว่าเม็ดที่อยู่บนมือของเขามีขนาดใหญ่กว่าเท่าตัว บนพื้นผิวมีลายโอสถสีทองสามเส้น แต่โอสถเหล่านี้มีเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ทั้งยังไม่มีพลังจิตวิญญาณเพียงพอเหมือนกับเม็ดที่อยู่ในมือของเขา
“ฮ่าๆ! สำเร็จแล้วจริงๆ มีโอสถนี้แล้ว ต่อไปคงเข้าสู่ระดับลูกกลอนกระบี่ได้อย่างไม่มีปัญหา” เห็นได้ชัดว่าจงอี้รู้สึกพอใจกับการปรุงโอสถในครั้งนี้มาก ทั้งยังแหงนหน้าหัวเราะเป็นการใหญ่
“ผู้อาวุโสระดับสูง โอสถประลองกระบี่นี้มีความสัมพันธ์อันใดกับลูกกลอนกระบี่หรือ?” พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘ลูกกลอนกระบี่’ ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา นึกถึงตอนที่ออกทะเลกับเย่เทียนเหมยในครั้งแรก นางก็เคยพูดชื่อนี้ออกมา เขาจึงถามออกไปอย่างอดไม่ได้
“อ๋อ! เจ้าไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ลูกกลอนกระบี่คือการดำรงอยู่หลังจากที่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณเลื่อนระดับแล้ว นับว่าเป็นของวิเศษโดยแท้จริง แต่ขั้นตอนการเลื่อนระดับของมันไม่เหมือนกับอาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ จำเป็นต้องต่อสู้กับกระบี่บินอื่นๆ นับพันนับหมื่นครั้ง ถึงจะหล่อหลอมออกมาได้ และโอสถประลองกระบี่ไม่ต้องต่อสู้กับการฝึกฝนกระบี่อันแข็งแกร่งอื่นๆ ก็สามารถทำให้กระบี่บินแต่ละชนิด ทำการต่อสู้กันเองจนหล่อหลอมออกมาได้” จงอี้เอามือฟั่นหนวดสีขาว และค่อยๆ อธิบายออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินถึงแสดงสีหน้าเข้าใจในทันที
คิดไม่ถึงว่าลูกกลอนกระบี่จะเลื่อนระดับด้วยวิธีนี้ และในมือเขากลับมีโอสถระดับธรรมดาที่มีลายโอสถสามเส้น สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้
“ใช่สิ! ได้ยินมาว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่เจ้าหลอมขึ้นมา ได้รับความเสียหายเพราะเหตุผลบางอย่าง และการปรุงโอสถประลองกระบี่สำเร็จในครั้งนี้ ก็นับว่าเจ้าออกแรงไม่น้อย เช่นนี้เถอะ! ข้าจะเปิดยันต์นำทางให้เจ้าเข้าไปในวิหารวิญญาณกระบี่ของนิกายเราสักครั้ง เดิมทีที่นั่นมีแต่ศิษย์ลับของนิกายที่สามารถเข้าไปได้ เจ้าสามารถสังหารวิญญาณกระบี่ในวิหาร และดูดซับพลังของไอกระบี่ที่เปลี่ยนรูปมา ทำให้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งอาจจะแข็งแกร่งกว่าเดิมหนึ่งเท่าขึ้นไปก็ได้” ผู้อาวุโสชุดขาวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“วิหารวิญญาณกระบี่……ขอบคุณผู้อาวุโสระดับสูงที่เมตตา” แม้หลิ่วหมิงจะได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก แต่ในเมื่อเข้าไปด้านในแล้วสามารถฟื้นฟูอานุภาพของตัวอ่อนกระบี่ได้ เขาย่อมโค้งคารวะด้วยความดีใจ
“อืม! เจ้าเคยฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง พอจะนับได้ว่ามีสิทธิ์เข้าไปในนั้นได้ นี่คือยันต์นำทาง เจ้าอาศัยยันต์นี้เข้าไปในวิหารวิญญาณกระบี่ได้หนึ่งครั้ง ส่วนจะได้รับไอกระบี่จากวิหารนี้มากน้อยเท่าใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของเจ้าแล้ว” ขณะที่พูดผู้อาวุโสชุดคลุมสีขาวก็หยิบยันต์สีเทาสลัวๆ ผืนหนึ่งออกจากแขนเสื้อ และยื่นให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรับยันต์มาด้วยความดีใจ และเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างทะนุถนอม
เวลาต่อมา ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสจงอี้จะรู้สึกอารมณ์ดีที่ปรุงโอสถประลองกระบี่สำเร็จ จึงแนะนำเทคนิคการปรุงโอสถให้หลิ่วหมิงเล็กน้อย สิ่งนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเขามาก
ผ่านไปอีกพักใหญ่ๆ ทั้งสองก็เดินออกจากกระท่อม
จงอี้เพียงแค่โบกแขนเสื้อ แสงสีขาวลำหนึ่งก็ม้วนตัวออกมาห่อหุ้มหลิ่วหมิงไว้
ครู่ต่อมา พลันมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ข้างหูหลิ่วหมิง จากนั้นเขาก็ถูกส่งออกมาจากพื้นที่ลึกลับ และมาปรากฏตัวในห้องด้านข้างหอคุมกฎอีกครั้ง
หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูรอบด้าน และไม่พบว่ามีใครอยู่บริเวณนั้นแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
ไม่นาน เขาก็ไปหาผู้ดำเนินการหอคุมกฎรับแต้มคุณูปการมาสองแสนแต้ม และส่งมอบผลงานใหญ่ของนิกายที่เขาติดค้างไว้ จากนั้นก็เดินตรงไปนอกหอใหญ่ทันที
ออกจากหอคุมกฎไปแล้ว เขาก็ไม่ได้กลับไปยังถ้ำที่พัก แต่กลับขี่เมฆไปที่หอเก็บคัมภีร์แทน
ครั้งนี้เขาไม่ได้พบกับศิษย์ดำเนินการแซ่หลี่ว์ผู้นั้น ผู้ที่อยู่เวรกลายเป็นชายฉกรรจ์ตาโต คิ้วเข้มผู้หนึ่ง
หลังจากทักทายคนผู้นี้แล้ว หลิ่วหมิงก็ตรงขึ้นไปบนชั้นสาม และพุ่งไปยังคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับโอสถทันที
หลังจากค้นหาข้อมูลไปหนึ่งรอบ ในที่สุดเขาก็ค้นพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับโอสถประลองกระบี่จากคัมภีร์เก่าๆ เล่มหนึ่ง
ที่แท้โอสถประลองกระบี่ก็เป็นตำราปรุงโอสถในสมัยบรรพกาล วัตถุดิบที่ใช้ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง และส่วนมากยังเป็นวัตถุดิบจิตวิญญาณที่หายสาบสูญไปแล้ว
ตามบันทึกในคัมภีร์ แม้แต่ในสมัยบรรพกาลก็มีคนปรุงโอสถชนิดนี้ได้น้อยมาก มาจนถึงตอนนี้ก็เกือบหายสาบสูญไปแล้ว มีเพียงแค่นิกายระดับนิกายยอดบริสุทธิ์ และผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับดาราพยากรณ์อย่างจงอี้เท่านั้น ที่มีกำลังรวบรวมมาได้ครบถ้วน และใช้สมบัติฟ้าดินบางส่วนที่สะสมมาหลายปี ถึงปรุงออกมาได้
แต่ว่าสำหรับผู้ฝึกฝนกระบี่แล้ว โอสถประลองกระบี่นี้ เป็นสมบัติที่หายากจริงๆ
หากไม่มีโอสถนี้ล่ะก็ ผู้ฝึกฝนกระบี่โดยทั่วไปที่อยากจะให้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณกลายสภาพเป็นลูกกลอนกระบี่ ไม่เพียงแต่ต้องการโอกาสดีๆ เท่านั้น ยังยากลำบากและอันตรายเป็นอย่างยิ่ง มีน้อยกว่าหนึ่งในร้อยที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
แต่ว่าโอสถประลองกระบี่ยิ่งมีน้อย หลิ่วหมิงก็ยิ่งรู้สึกใจเต้นมากขึ้น
จากนั้นเขาก็รีบหาคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับวิหารวิญญาณกระบี่อย่างรีบร้อน หลังจากใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน ก็พบเจอบันทึกไม่กี่ประโยคในคัมภีร์หนังสีดำบางๆ ที่ดูไม่เตะตาเล่มหนึ่ง
ที่แท้วิหารวิญญาณกระบี่เกิดจากการระเบิดตัวของกระบี่บินเชื่อมจิตวิญญาณหลังจากผู้ฝึกฝนกระบี่ท่านหนึ่งเสียชีวิต ซึ่งหลังจากกระบี่บินระเบิดออกมา ไอกระบี่นับไม่ถ้วนก็ปกคลุมเต็มที่พักของเขา และก่อตัวเป็นวิหารลับแห่งหนึ่ง
สุดท้ายวิหารลับแห่งนี้ก็ถูกพบโดยบรรพบุรุษของนิกายยอดบริสุทธิ์ และใช้พลังมหัศจรรย์นำกลับมาไว้ในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ จะได้ให้ศิษย์ที่ฝึกฝนกระบี่ในนิกายได้ใช้ฝึกฝน
ตอนแรกศิษย์ในนิกายที่ฝึกฝนกระบี่ต่างก็สามารถใช้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากค้นพบว่าวิญญาณกระบี่ในวิหารหมดเร็วเกินไป จึงให้ใช้เฉพาะศิษย์สายใน ต่อมาก็มีแต่ศิษย์ลับเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้
แต่ในเมื่อตอนนี้หลิ่วหมิงได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์แล้ว ย่อมสามารถแหกกฎเกณฑ์เข้าไปได้หนึ่งครั้ง
………………………………