ในยอดเขาลั่วโยว
หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับภายในถ้ำที่พัก ในมือถือโอสถสีเงินที่ได้จากแดนอบอ้าวในก่อนหน้านั้นอยู่
โอสถมีขนาดเท่าหัวแม่มือ และถูกเปลวไฟสามสีห่อหุ้มไว้ พื้นผิวเป็นสีเงิน กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็แหลมคมและล้ำลึกเป็นอย่างมาก ทุกอย่างเป็นไปตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์ทั้งหมด มันเป็นโอสถประลองกระบี่อย่างแน่นอน อีกอย่างลายโอสถสีทองสามเส้นบนพื้นผิว ก็บ่งบอกว่านี่คือโอสถระดับสูง ซึ่งบริสุทธิ์กว่าที่ผู้อาวุโสจงอี้ปรุงขึ้นมามาก
หลิ่วหมิงใช้นิ้วคีบโอสถอย่างระมัดระวัง ขณะที่พลิกดูไปมานั้น ก็ยิ่งรู้สึกเบิกบานใจมากขึ้นกว่าเดิม และเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
มีโอสถประลองกระบี่ระดับสูงเม็ดนี้แล้ว หมายความว่าภายหน้าเขายิ่งมีโอกาสฝึกฝนลูกกลอนกระบี่ในอนาคต ด้วยเหตุนี้การฝึกฝนสายกระบี่ของเขา ก็จะก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วย
แต่ไม่ต้องคิดอะไรมากก็รู้ว่า หากจะใช้โอสถนี้ อย่างน้อยต้องมีกระบี่บินพลังจิตวิญญาณก่อน ทั้งยังต้องฝึกฝนถึงระดับที่แน่นอนถึงจะได้
หลังจากหลิ่วหมิวคิดพิจารณาดูแล้ว ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งเก็บโอสถนี้เข้าไปในกล่องผ้าไหมอย่างระมัดระวัง และใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน
เพราะในขณะนี้ แม้แต่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณเขายังหลอมไม่สำเร็จ ยังห่างจากการปรับแต่งลูกกลอนกระบี่มากนัก ดังนั้นโอสถอันล้ำค่านี้ย่อมต้องเก็บไว้ให้ดี
เวลาต่อเวลา หลังจากหลิ่วหมิงนั่งคิดพิจารณาอยู่เงียบๆ แล้ว ก็เก็บความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้เข้าไป และเริ่มตั้งใจฝึกฝนพลังของการขี่กระบี่เหินเวหา
การฝึกฝนอย่างอย่างลำบากในก่อนหน้านั้น เขาได้รวมพลังเวทกับร่างของกระบี่บินเป็นหนึ่งในขั้นแรกแล้ว ปัญหาต่อไปก็คือฝึกฝนให้ชำนาญนั่นเอง
หลิ่วหมิงอ่านส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขี่กระบี่บินเหินเวหาในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็โบกแขนเสื้อเบาๆ
“ฟิ้ว!”
กระบี่บินสีเขียวพุ่งออกจากแขนเสื้อ และขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ก่อนตกลงตรงเท้าของเขา จากนั้นปราณกระบี่สีเขียวก็แผ่กระจายออกมา
หลิ่วหมิงกระโดดเบาๆ ก็ขึ้นไปอยู่บนตัวกระบี่ และหยุดทำท่ามือลง
“ฟิ้ว!”
หลิ่วหมิงและกระบี่กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งยิงออกไป
พื้นที่ในห้องลับค่อนข้างแคบ ความเร็วในการขี่กระบี่บินเหินเวหาก็เร็วมาก พริบตาเดียวก็เกือบชนใส่ผนังถ้ำ
หลิ่วหมิงรีบเปลี่ยนท่ามือควบคุมกระบี่ให้หักเลี้ยวในทันที จากนั้นถึงหลบผนังไปได้อย่างหวุดหวิด
แต่ยังไม่ทันได้รู้สึกโล่งใจ ก็เกือบชนกับผนังอีกด้านหนึ่ง
หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่หลายรอบ หลิ่วหมิงกับเงากระบี่ยักษ์สีเขียวที่อยู่ใต้เท้า ก็ชนใส่ผนังเข้าอย่างจัง
ภายในถ้ำมีชั้นจำกัดอยู่ หลังจากถูกชนในครั้งนี้ แสงทรงกลดสีขาวน้ำนมก็โผล่ออกมา แต่กลับไม่เกิดความเสียหายแต่อย่างใด
และด้วยกายเนื้อที่แข็งแกร่งของหลิ่วหมิง เขาก็ลุกขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากสะบัดแขนขาแล้ว ก็ทำท่าเคล็ดกระบี่และเริ่มฝึกฝนอีกครั้ง
พื้นที่แคบๆ เช่นนี้ ถึงเป็นเทคนิคที่ดีที่สุดในการฝึกขี่กระบี่เหินเวหา
สุภาษิตกล่าวไว้ได้ดี การฝึกฝนทั้งหมดไร้กาลเวลา ครั้งนี้เขากักตัวฝึกฝนเป็นเวลานานถึงสามปี
ห้องลับภายในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง มีแสงสีเขียวเปล่งประกายรอบด้าน มีเสียงลมพัดอื้ออึง
แต่พอแสงกระบี่สีเขียวลำหนึ่ง โบกสะบัดราวกับขนปุยสีขาวของต้นหลิวที่ล่องลอยตามลม เขาก็พุ่งไปมาในห้องลับ และหลบหลีกได้ดั่งใจต้องการ สามารถบินไปมาในพื้นที่แคบๆ ได้อย่างอิสระ ไม่รู้สึกงุ่มง่ามเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ครู่ต่อมาแสงสีเขียวหยุดชะงักเล็กน้อย และเกิดเป็นเศษเงาจำนวนมากที่ทำให้รู้สึกตาลาย เงาแสงสีเขียวทั่วห้องถูกเก็บในพริบตา หลังจากแสงดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงที่อยู่ในนั้น
ตอนนี้เขาลอยอยู่กลางอากาศ ใต้เท้ามีกระบี่บินสีเขียวที่ส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่เป็นระยะๆ
แต่พอมองดูในห้องลับ เขาก็รู้สึกหมดคำพูดในทันที จะเห็นว่าผนังทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยรอยร้าว
การฝึกฝนอย่างยากลำบากมาสามปี ไม่รู้ว่าสัมผัสกับผนังมาตั้งกี่ครั้ง ต่อให้จะมีชั้นจำกัดที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีติดต่อกันหลายปีได้ ผนังในตอนนี้จึงเต็มไปด้วยรอยปะทะของกระบี่บิน
แต่โชคดีที่ตอนนี้เขาพยายามฝึกฝนจากขั้นเบื้องต้นจนเข้าสู่ขั้นแรก และสามารถควบคุมได้ดั่งใจแล้ว
ต่อมา เขาก็ไม่ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนนี้อีก แต่กลับทำการครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นก็เก็บกระบี่บินเข้าไป หลังจากจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางแล้ว ก็เดินออกไปจากถ้ำที่พัก
พอออกมานอกถ้ำ เขาก็นำแผนที่เทือกเขาหมื่นวิญญาณออกมา หลังจากกวาดสายตาดูแล้ว ก็เหยียบกระบี่บินและกลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวพุ่งไปทางวิหารวิญญาณกระบี่
เหตุผลที่เขาลำบากฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ ก็เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการฝ่าเข้าไปในวิหารแห่งนี้
ไม่นาน แสงกระบี่สีเขียวลำหนึ่งก็มาถึงหุบเขาที่อยู่ห่างจากยอดเขากระบี่สวรรค์ไม่ไกล ซึ่งถูกหมอกขาวปกคลุมไว้
หุบเขาแห่งนี้เร้นลับเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั้นเขาทำเครื่องหมายตำแหน่งนี้ไว้บนแผนที่ เกรงว่าคงไม่อาจหาได้โดยง่าย
หลังจากหลิ่วหมิงมั่นใจว่าหุบเขาตรงหน้าตรงตามที่ระบุไว้ในแผนที่แล้ว ก็ขี่กระบี่บินเหินเวหาต่ำๆ ตรงเข้าไปในหมอกขาว
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาต่อมา แสงกระบี่สีเขียวก็มาถึงวิหารโบราณขนาดใหญ่ที่ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก ซึ่งอยู่ในในส่วนลึกของหุบเขา
หลังจากแสงกระบี่ดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง
เขาเก็บกระบี่บินเข้าไปแล้วกวาดสายตามองดูรอบด้านอย่างรวดเร็ว
จะเห็นว่าบนก้อนหินตรงหน้าวิหารใหญ่ มีอักขระสีแดงเลือดขนาดใหญ่ และดูทรงพลังสลักอยู่สามคำ ‘วิหารวิญญาณกระบี่’ มันดูราวกับแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ แต่ระหว่างอักขระแต่ละตัว กลับเผยให้เห็นไอกระบี่อันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมา
พอหลิ่วหมิงมองเห็นหินยักษ์ก้อนนี้ ก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่า จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุในร่างของเขามีการเคลื่อนไหวลางๆ
เขารู้สึกใจสั่นสะท้าน และรีบนำยันต์นำทางสีเทาสลัวๆ ที่จงอี้มอบให้ออกมา
ก่อนมาที่นี่เขาก็ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิหารวิญญาณกระบี่ไปแล้วหนึ่งรอบ รู้ว่ารอบๆ วิหารใหญ่นี้ไม่มีคนอยู่ป้องกัน แต่ว่าบริเวณนี้กลับวางค่ายกลจิตวิญญาณกระบี่ไว้บรนี้ ใครก็ตามที่กล้าบุกรุกเข้ามา จะถูกปราณกระบี่นับไม่ถ้วนฟาดฟันจนกลายเป็นเนื้อเหลว
หลิ่วหมิงกระตุ้นเวทใส่เข้าไปในยันต์ทันที
ผลลัพธ์คือยันต์ลุกไหม้ขึ้นมาเอง จากนั้นควันสีเทาก็พวยพุ่งออกมาจำนวนมาก ทำให้อากาศบริเวณนั้นกลายเป็นระลอกคลื่น พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่าร่างกายเบาลงจนพุ่งไปทิศทางบางแห่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เมื่อควันสีเทารอบตัวเขาสลายไป และมองเห็นสภาพรอบด้านชัดเจนอีกครั้งนั้น เขาก็มาปรากฏตัวในพื้นที่ไร้ขอบเขตสีเทาสลัวๆ แห่งหนึ่ง
“ที่นี่คือวิหารวิญญาณกระบี่หรือ?”
พอหลิ่วหมิงมองไปรอบด้าน กลับค้นพบว่าสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาล้วนเป็นหมอกควันสีเทาทั้งหมด และพื้นสีเทาด้านล่างก็ดูเป็นภาพที่เปล่าเปลี่ยวมาก
“เอ๊ะ! ไม่ถูกต้อง!”
หลิ่วหมิงมีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที ท่ามกลางหมอกควันสีเทาเหล่านี้ แผ่ไอกระบี่อ่อนๆ ออกมาเป็นระยะๆ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง
ตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุในร่างเขาก็ดูเหมือนจะรับรู้อะไรได้ มันจึงส่งเสียงดังหวึ่งๆ เบาๆ
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอกระตุ้นเคล็ดกระบี่ ก็เริ่มชักนำไอกระบี่ที่กระจัดกระจายอยู่รอบด้านจมเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ
เมื่อควันสีเทารอบด้านถูกดูดซับไปพอประมาณแล้ว ตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุที่เกือบจะโปร่งใสก็ดูชัดเจนขึ้นมา และเริ่มส่งเสียงเบิกบานใจเบาๆ
“ที่ผู้อาวุโสจงกล่าวไว้เป็นเรื่องจริง วิหารวิญญาณกระบี่นี้เต็มไปด้วยพลังไอกระบี่ สามารถฟื้นฟูความเสียหายของจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ได้อย่างรวดเร็ว” หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น
แต่ว่าพลังไอกระบี่กระจัดกระจายที่ดูดซับมาได้เหล่านี้มันน้อยเกินไป หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ อยากจะฟื้นฟูมันได้อย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยต้องใช้เวลาเจ็ดแปดปีถึงจะได้
แต่ยันต์นำทางที่ผู้อาวุโสจงมอบให้ ย่อมไม่อาจทำให้เขาอยู่ในนี้ได้นานขนาดนั้น
“ดูท่าคงต้องทำตามที่ผู้อาวุโสจงบอก รีบสังหารวิญญาณกระบี่ในนี้ และดูดซับพลังไอกระบี่โดยเร็ว”
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ขยับเท้าในทันที จากนั้นแสงกระบี่สีเขียวก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ และพุ่งยิงออกไปในพริบตา
เขาพุ่งออกไปได้ไม่นาน ก็มีเสียง “ฟิ้ว! ดังมาจากด้านข้าง!
แสงสีเทาลำหนึ่งพุ่งเข้ามาไม่ไกล และพุ่งเข้าใส่แสงกระบี่ที่หลิ่วหมิงกลายร่างมา
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้น เขาไม่ได้รู้สึกโมโหแต่กลับดีใจเสียด้วยซ้ำ เขาหยุดชะงักลง และปล่อยดรรชนีปราณกระบี่ออกไป
จากความเข้าใจของเขาในก่อนหน้า ภายในวิหารวิญญาณกระบี่แห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ มีเพียงแค่วิญญาณกระบี่ที่รวมตัวขึ้นมาจากพลังไอกระบี่เท่านั้น เพียงแค่สังหารมัน ก็จะดูดซับพลังไอกระบี่ที่บริสุทธิ์ได้
“ปัง!” ปราณกระบี่สีเขียวโจมตีแสงสีเทาจนแตกกระจาย และพุ่งลงพื้นโดยตรง
หลังจากมีเสียงระเบิดดังขึ้น ก็เกิดหลุมขนาดใหญ่บนพื้น
ขณะเดียวกัน เงาสีเทาสลัวๆ ก็กระโดดออกมา มันกะพริบแค่ทีเดียวก็พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงมองเห็นสภาพของวิญญาณกระบี่อย่างชัดเจน ที่แท้มันก็เป็นมนุษย์แสงคนหนึ่ง รอบตัวถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีเทาสลัวๆ แต่ดวงตาทั้งคู่กลับมีแสงแวววาวที่ยาวหนึ่งชุ่นกว่าๆ เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และจ้องมองหลิ่วหมิงไม่วางตา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ดูเหมือนว่าวิญญาณกระบี่รูปมนุษย์นี้จะมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง ซึ่งได้กลายเป็นจิตวิญญาณชนิดหนึ่งแล้ว แต่คลื่นปราณกระบี่ที่แผ่อยู่บนตัวกลับมีจำนวนไม่น้อย ดูจากพลังเวทแล้ว ไม่ด้อยไปกว่าระดับของเหลวขั้นต้นเลย
ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ บรรพบุรุษผู้ทรงพลังของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ย้ายวิหารวิญญาณกระบี่มาผู้นั้น เพื่อทำให้วิหารแห่งนี้กลายเป็นแดนต้องห้ามที่ศิษย์สายกระบี่ใช้ฝึกฝนโดยเฉพาะ จึงได้วางชั้นจำกัดพิเศษไว้ ภายในพื้นที่แห่งนี้สามารถใช้ได้แค่กระบี่บินกับพลังกระบี่เท่านั้น พอใช้วิชาหรืออาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ จะถูกวิหารนี้ส่งตัวออกไปด้านนอกทันที
ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่ใช้เคล็ดกระบี่กับกระตุ้นกระบี่บินรับมือกับวิญญาณกระบี่ตรงหน้าเท่านั้น
หลิ่วหมิงครุ่นคิดไปมาอย่างรวดเร็ว ท่ามือของเขากลับไม่ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย แสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งขึ้นจากใต้เท้า และม้วนตัวเข้าหาวิญญาณกระบี่รูปมนุษย์ตรงหน้า
วิญญาณกระบี่รูปมนุษย์ตรงหน้าก็มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วมาก พอเผชิญหน้ากับแสงกระบีสีเขียวที่พุ่งเข้ามา ร่างของมันก็พุ่งออกไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นแสงสีกระบี่สีเทาออกมาหนึ่งลำ ดูเหมือนว่าจะมีขนาดใหญ่กว่าแสงสีดำในเมื่อครู่หนึ่งเท่ากว่าๆ จากนั้นมันก็พุ่งไปรับมือแสงกระบี่สีเขียว
………………………………