ทั้งสองเดินทางร่วมกันเป็นเวลาสิบกว่าวันแล้ว ภายใต้การชี้แนะของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ผู้นี้ ทำให้วิชากระบี่ของหลิ่วหมิงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเร็วกว่าที่เขาลองฝึกฝนเองเป็นเวลาหลายปี ตอนที่เผชิญหน้ากับวิญญาณกระบี่สีเงินในตอนแรก ยังต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ ตอนนี้กลับสามารถสังหารได้อย่างง่ายดายแล้ว
นี่ไม่ได้หมายความว่าพลังของหลิ่วหมิงในตอนนี้บดขยี้วิญญาณกระบี่ไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าภายใต้สถานการณ์ที่ใช้ได้แค่วิชากระบี่ ทำให้เขาแสดงพลังแท้จริงออกมาได้เพียงหนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น
“ศิษย์พี่ฉิวชมเกินไปแล้ว หากไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ชี้แนะอย่างไม่ปิดบังมาตลอดทาง ข้าก็ไม่อาจรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้” หลิ่วหมิงย่อมกล่าวขอบคุณออกมา
หลังผ่านการล่าสังหารวิญญาณกระบี่ติดต่อกันสิบกว่าวัน ตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุในร่างหลิ่วหมิงก็ดูเหมือนจะฟื้นฟูสู่สภาพเดิมแล้ว และกระบี่เซียนทองคำของฉิวหลงจื่อก็ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่สังหารวิญญาณกระบี่สีทองที่บังเอิญพบเจอในก่อนหน้าหนึ่งวันแล้ว
“ฮ่าๆ! เรื่องเล็กน้อยแค่นี้อย่าไปสนใจมันเลย ด้วยวิชาขี่กระบี่ของศิษย์น้องหลิ่วในตอนนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับวิญญาณกระบี่สีทอง ก็คงจะรับมือได้บ้างแล้ว แต่ว่าข้ามีเวลาเหลืออยู่ในวิหารวิญาณกระบี่ไม่มาก ไม่อาจไปเป็นเพื่อนได้แล้ว ข้ากับศิษย์น้องหลิ่วนับว่าถูกคอกันมาก พวกเราจากกันตรงนี้ ลาก่อนแล้วพบกันใหม่!” ฉิวหลงจื่อได้ยินก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็นำป้ายสีเทาออกมาขยี้โดยไม่รอให้หลิ่วหมิงพูดอะไรอีก
ทันใดนั้น แสงสีเทาก็ปกคลุมร่างของเขาไว้ และกะพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงมองไปทางที่ฉิวหลงจื่อหายไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ขี่กระบี่ไปยังทิศทางบางแห่ง
หลังจากผ่านการอยู่ร่วมกันมาหลายวัน ฉิวหลงจื่อก็สร้างความประทับใจให้หลิ่วหมิงไม่น้อย คงจะเป็นคนที่คบหาได้
เวลาในสองวันต่อมา หลิ่วหมิงก็สังหารวิญญาณกระบี่สีเทาไปจำนวนไม่น้อย ส่วนวิญญาณกระบี่สีเงินก็พบเจออยู่บ้าง แต่ล้วนมีพลังระดับผลึกขั้นต้น ย่อมถูกเขาสังหารอย่างง่ายดาย
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งวัน หลิ่วหมิงก็ขี่กระบี่มาถึงเขตภูเขาเล็กที่ทอดติดต่อกันยาวเหยียด และมีทะเลทรายล้อมรอบ
เนื่องจากฉิวหลงจื่อไปแล้ว การหาวิญญาณกระบี่ของหลิ่วหมิงในตอนนี้จึงเคลื่อนที่ช้าลงให้มากที่สุด แม้ว่าหากเขาเผชิญหน้ากับวิญญาณกระบี่สีทองในตอนนี้ จะยังคงมีพลังในการต่อสู้อยู่ แต่หากเผชิญกับการล้อมโจมตีของวิญญาณกระบี่อื่นๆ ก็ไม่อาจรับมือได้โดยง่าย
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังข้ามแอ่งพื้นที่ลุ่มต่ำแห่งหนึ่งนั้น พลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ภายใต้การกวาดสายตามองลงไป ก็ค้นพบว่ามีแสงสีทองระยิบระยับอยู่ไกลๆ
เขาหยุดความเร็วลงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
ดูเหมือนว่าแสงสว่างนั้นก็ค้นพบหลิ่วหมิงเช่นกัน มันจึงเบี่ยงเบนทิศทางมาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว
“วิญญาณกระบี่สีทอง? ไม่ใช่! ดูเหมือนจะมีอะไรไม่ถูกต้อง……”
หลิ่วหมิงเพ่งสายตามองออกไป เมื่อมองเห็นสิ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างชัดเจน สีหน้าของเขาก็ดูอึมครึมทันที
วิญญาณกระบี่สีทองเป็นวิญญาณกระบี่ระดับสูงสุด ตอนที่เขาร่วมเดินทางกับฉิวหลงจื่อนั้น ก็เคยพบเห็นมันมาก่อน แต่ว่าวิญญาณกระบี่ที่บินเข้ามากลับดูผิดปกติเล็กน้อย
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แสงสีทองก็กะพริบมาหยุดอยู่ห่างจากเขาสิบกว่าจั้ง
พอหลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน มันเป็นวิญญาณกระบี่สีทองจริงๆ เพียงแต่ว่าแตกต่างจากวิญญาณกระบี่ทั่วไปเล็กน้อย
ตั้งแต่เขาเข้าวิหารวิญญาณกระบี่มา วิญญาณกระบี่ที่พบเจอล้วนมีพลังบริสุทธิ์ นอกจากรูปร่างภายนอกแล้ว ก็ไม่มีลักษณะพิเศษอื่นๆ ของมนุษย์อยู่อีกเลย แต่ที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
ท่ามกลางแสงสีทอง เป็นร่างมนุษย์สีทองจางๆ กึ่งโปร่งแสง เพียงแต่บนตัวของเงามนุษย์กึ่งโกร่งแสงนี้ สามารถมองเห็นรูปร่างของกระดูกได้ แต่ว่ามีรูขนาดเท่าข้อนิ้วที่ไหล่ขวา ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไอกระบี่เป็นสายๆ หมุนวนอยู่บนนั้น ดูเหมือนกำลังค่อยๆ ฟื้นฟูบาดแผลอยู่
ดูเหมือนว่าวิญญาณกระบี่กลายพันธุ์นี้จะได้รับบาดเจ็บหนัก จึงหนีมาจนถึงที่นี่!
หรือว่ามันจะต่อสู้กับวิญญาณกระบี่อื่นๆ หรือว่าจะเป็นวิญญาณกระบี่ที่หลุดพ้นจากมือฉิวหลงจื่อมา
หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
“มนุษย์ผู้ฝึกฝน……ฆ่า……” พอวิญญาณกระบี่สีทองเห็นหลิ่วหมิง ก็อ้าปากตะโกนออกมา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าวิญญาณกระบี่จะพูดได้ เห็นได้ชัดว่าสติปัญญาของมันสูงกว่าวิญญาณกระบี่ทั่วไปไม่น้อย
ขณะที่ดวงตาของวิญญาณกระบี่สีทองแผ่ไอสังหารออกมานั้น หลิ่วหมิงก็ทำท่าเคล็ดกระบี่อย่างไม่ลังเล กระบี่บินสีเขียวใต้เท้าพุ่งยิงออกมาก่อน
ในเมื่อวิญญาณกระบี่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ เขาย่อมไม่ปราณีอย่างแน่นอน
วิญญาณกระบี่สีทองส่งเสียงคำรามออกมา พอคว้านิ้วทั้งห้าออกไป แสงสีทองห้าลำก็เปล่งประกายบนนิ้วทั้งห้า พอโบกแขนข้างหนึ่ง กรงเล็บอันแหลมคมที่กลายร่างมาจากปราณกระบี่อันรุนแรง ก็พุ่งไปปะทะกับกระบี่บินสีเขียว
“เต๊ง!”
กรงเล็บปราณกระบี่ต้านทานกระบี่บินสีเขียวไว้ทันที ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร
หลิ่วหมิงมีสีหน้านิ่งเงียบ เขาเปลี่ยนท่ามือในฉับพลัน กระบี่บินสีเขียวกลายเป็นเงากระบี่ยักษ์ที่ยาวสิบกว่าจั้ง
พอเงากระบี่สะบัดตัว กรงเล็บก็แตกกระจายอย่างง่ายดาย และพุ่งตรงเข้าหาวิญญาณกระบี่
“ตู๊ม!”
ปราณกระบี่โค้งๆ ต้านทานแสงกระบี่สีเขียวไว้ หลังจากเกิดเสียงปะทะกัน กระบี่บินสีเขียวก็พุ่งกลับมา
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เขาโบกมือเรียกกระบี่บินกลับมา ขณะเดียวกันก็หรี่ตาทั้งคู่ลงอย่างอดไม่ได้
ไม่รู้ว่ามีกระบี่ยักษ์สีทองบนมือวิญญาณกระบี่สีทองตั้งแต่เมื่อไหร่ บนกระบี่ยังมีลายเส้นงดงามจำนวนหนึ่งที่ดูราวกับมีชีวิต
หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น พอทำท่าเคล็ดกระบี่ กระบี่บินสีเขียวในมือก็สั่นสะท้าน ปราณกระบี่เป็นสายๆ พวยพุ่งออกมาห่อหุ้มเขาไว้ทันที และกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวกระโจนออกไป
วิญญาณกระบี่สีทองนำกระบี่ยักษ์มาตั้งขวางด้วยความตกใจ และกระโจนออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ทันใดนั้น เงาร่างสองเงาก็รวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ทั้งสองเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก พริบตาเดียว ปราณกระบี่สีทองกับสีเขียวก็แผ่กระจายออกมา
เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ก็มีร่องลึกๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นจำนวนมาก
ขณะนั้นเอง เงามนุษย์สีเขียวก็หลุดออกจากวงต่อสู้ และกะพริบไปปรากฏอยู่ห่างสิบกว่าจั้ง
พอแสงสีเขียวดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง
ขณะนี้ เขามีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าการต่อสู้ในเมื่อครู่ เขาไม่ได้เปรียบแต่อย่างใด
แม้ว่าวิญญาณกระบี่สีทองจะมีบาดแผลบนตัว แต่ร่างของมันกลับแข็งแกร่งผิดปกติ ปราณกระบี่ทั่วไปไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย
ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก วิญญาณกระบี่สีทองที่อยู่ไม่ไกลก็กลายเป็นสายรุ้งสีทอง และกระโจนเข้ามาในฉับพลัน กระบี่ยักษ์สีทองในมือเปล่งประกายกลายเป็นอสรพิษทองคำตัวหนึ่ง พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง
“แสงกระบี่กลายร่าง?” พอหลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็ค้นพบว่าพลังนี้เขาเคยเห็นซาทงเทียนแสดงมาก่อน
เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของมือไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย พอถูกเคล็ดกระบี่กระตุ้น ผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณก็สั่นสะเทือน จากนั้นพลังเวททั่วร่างก็ทะลักไปยังกระบี่จิตวิญญาณบนมือ ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีเขียว แสงกระบี่จำนวนมากก็ม้วนออกจากร่าง จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้า
ที่แท้หลิ่วหมิงก็แสดงวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งแล้ว
ครู่ต่อมา สายรุ้งสีเขียวหมุนวนหนึ่งรอบ และพุ่งใส่อสรพิษยักษ์อย่างดุดัน!
“ฟิ้ว!”
หลังจากทั้งสองปะทะกัน อสรพิษยักษ์สีทองก็ถูกผ่าจากหัวไปหางจนกลายเป็นสองส่วน
อานุภาพของแสงกระบี่สีเขียวยังไม่หมดเพียงเท่านั้น หลังจากมีเสียงดัง “ตู๊ม!” มันก็ฟันลงบนร่างวิญญาณกระบี่โดยตรง จากนั้นก็เกิดบาดแผลขนาดใหญ่บริเวณหน้าอกกับหน้าท้อง และกระเด็นออกไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่าตอนพุ่งเข้ามา
ไม่รอให้วิญญาณกระบี่สีทองมีการตอบสนองใดๆ พอเงาร่างมนุษย์เปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวด้านหลังวิญญาณกระบี่สีทองด้วยใบหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อย ดวงตาของเขาเผยแววโหดร้ายออกมา พอขยับแขนข้างหนึ่ง ก็คว้าคอวิญญาณกระบี่เอาไว้ได้
แสงกระบี่เปล่งประกายในมืออีกข้าง กระบี่เล็กสีเขียวยาวขึ้นมาสามฉื่อ และกะพริบไปยังไหล่ข้างขวาของวิญญาณกระบี่ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมา “ฟัน!”
วิญญาณกระบี่ส่งเสียงร้องแหลม ร่างของมันถูกฟันออกมาเป็นสองส่วนตั้งแต่ไหล่ขวาลงมา
ร่างทั้งสองส่วนของมันระเบิดตัวกลายเป็นหมอกควันสีทองสองกลุ่มในทันที ท่ามกลางหมอกควันกลับไม่มีไหมวิญญาณกระบี่เลยแม้แต่น้อย แต่กลับเผยให้เห็นเศษกระบี่บินสีทองที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือหนึ่งชิ้น
“นี่คือสิ่งใดกัน……”
พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งออกไป เศษกระบี่สีทองก็พุ่งเข้ามาในมือของเขา แต่ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นผงสีทองกลุ่มหนึ่ง
ครู่ต่อมา พลังไอกระบี่ที่บริสุทธิ์อย่างเหลือเชื่อก็พุ่งเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณของหลิ่วหมิง และถูกรวมเข้ากับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่อย่างรวดเร็ว
เกิดเสียงดังโครมคราม!
ลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นบนตัวหลิ่วหมิง หมอกควันที่กลายร่างมาจากวิญญาณกระบี่สีทองก็หมุนตัวติ้วๆ และค่อยๆ จมหายเข้าไปในร่างของเขา
หลังจากหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิลงพื้นทันที มือทั้งสองทำท่าเคล็ดกระบี่อยู่ไม่หยุด
เดิมทีจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไร้รูปก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว ขณะนี้ได้รับพลังไอกระบี่ที่บริสุทธิ์เช่นนี้ ร่างของมันก็ขยายใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าราวกับถูกอัดลม พื้นผิวของมันเปล่งประกายแวววาวจนเกือบจะเป็นธาตุแท้แล้ว
ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ในตอนนี้ จะแข็งแกร่งกว่าตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งของปรมาจารย์ลิ่วยินในปีนั้นหนึ่งเท่ากว่า
แต่ว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ในขณะนี้ กลับดูไม่มั่นคงเป็นอย่างมาก มันสั่นสะท้านอย่างรุนแรงเป็นระยะๆ
หลิ่วหมิงค่อยๆ โคจรพลังเวทตามที่บันทึกไว้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งอย่างระมัดระวัง
เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลังจากเขานั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ถึงพอที่จะควบคุมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไว้ได้
“ดูท่าเจ้าจะพบกับความยุ่งยากเข้าอีกแล้ว!” ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังจะลุกขึ้นมานั้น พลันมีเสียงผู้ชายดังขึ้นในสมอง
“ผู้อาวุโสหลัวโหว” หลิ่วหมิงรีบตอบกลับด้วยใจที่สั่นสะท้าน
“ไม่รู้ว่าเจ้าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ที่ดูดซับไปเมื่อครู่คงเป็นเศษไอกระบี่ที่ผู้ฝึกฝนกระบี่ทรงพลังได้ทิ้งไว้ ไอกระบี่ที่แฝงอยู่ในนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะนึกถึงได้ ตัวอ่อนกระบี่ในร่างของเจ้าตอนนี้แข็งแกร่งจนเกินไป ซึ่งเลยขอบเขตที่กายเนื้อของเจ้าจะรองรับได้ แม้ว่าตอนนี้จะฝืนกำราบไว้ได้ แต่ภายหน้ามันก็อาจพุ่งออกจากร่างได้ตลอดเวลา” หลัวโหวกล่าวอย่างเยือกเย็น
“อะไรนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยิน ก็มีเหงื่อผุดออกมาเต็มตัว
“หากจะรักษาตัวอ่อนกระบี่ไร้รูปเล่มนี้ไว้ ทางที่ดีที่สุดควรหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณให้ได้โดยเร็ว มิเช่นนั้นพอจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่แสดงการรั่วไหลของพลังออกไป มันก็จะหลบหนีไปเอง พอถึงเวลานั้น เจ้าก็เหมือนกับเอาตะกร้าสานไปตักน้ำ เจ้าลองคิดไตร่ตรองดูดีๆ เถอะ!” หลังจากหลัวโหวพูดออกมาสั้นๆ ไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก
………………………………