ก่อนหน้านั้นทุกคนคิดว่าราชินีผึ้งตัวนี้วางไข่ไว้ในรังแล้ว กลิ่นไอของมันถึงลดลง แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามันยังไม่ทันวางไข่ ก็ถูกล่อออกมาก่อน สิ่งนี้ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก
ขณะนี้หลิ่วหมิงก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา เพราะราชินีผึ้งห้าแสงตัวนี้เป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ ไข่ปีศาจอสูรของมันย่อมมีมูลค่าสูงจนยากจะหยั่งถึง
ครู่ต่อมา ฮวาชิงอิ่งก็หาไข่ผึ้งจากเศษเนื้อบนพื้นได้มาอีกหกใบ
“สหายฮวา ท่านตรวจสอบดูก่อนว่าเป็นไข่ที่ยังมีชีวิตทั้งหมดหรือไม่?” อู๋ขุยเดินเข้ามากล่าว ดวงตาทั้งคู่จ้องมองไข่สีขาวเหล่านี้ด้วยแววตาเร่าร้อน
พอได้ยินคำพูดของอู๋ขุย คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย การต่อสู้อย่างดุเดือดในเมื่อครู่อาจสะเทือนถึงไข่ที่อยู่ในท้องของราชินีผึ้ง เช่นนี้แล้วก็มีโอกาสที่ไข่จะเสียเป็นอย่างมาก
“สหายอู๋กล่าวได้ถูกต้อง” พอฮวาชิงอิ่งได้ยิน ดวงตางดงามของนางก็เป็นประกาย หลังจากพยักหน้าแล้วก็ชี้นิ้วขาวๆ ออกไป แสงสีขาวจางๆ พุ่งออกจากปลายนิ้ว ครู่เดียวก็ปกคลุมไข่เหล่านี้ไว้ และหลับตารับรู้ปฏิกิริยาของมัน
ครู่ต่อมา ฮวาชิงอิ่งก็ลืมตาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“โชคดีที่ไข่ผึ้งทั้งเจ็ดใบนี้ เสียชีวิตไปแค่สามใบ อีกสี่ใบที่เหลือต่างก็มีกลิ่นไอพลังชีวิตอยู่ เพิ่มการบ่มเพาะอีกเล็กน้อยคงสามารถฟักออกมาได้”
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจไปทันที
“สหายทุกท่าน ไข่ผึ้งห้าแสงนี้มีประโยชน์ต่อข้าเป็นอย่างมาก ข้ายอมละทิ้งน้ำผึ้งห้าแสงเพื่อแลกกับไข่เหล่านี้” อู๋ขุยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็ทำตามองบนอย่างอดไม่ได้
ของดีระดับนี้ใครได้มาก็ล้วนมีประโยชน์เป็นอย่างมาก พอไข่ฟักออกมาอย่างราบรื่นและเติบโตเต็มวัย ก็เท่ากับว่ามีผู้ช่วยระดับแก่นแท้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
แต่อู๋ขุยเป็นผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูงสุดในบรรดาคนเหล่านี้ คนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าขัดแย้งกับเขาซึ่งๆ หน้า ฮวาชิงอิ่งก็แค่ขมวดคิ้วแล้วไม่กล่าวอะไรออกมา
แต่หญิงสวมหมวกคลุมกับชายชุดเขียว ต่างก็มองหลิ่วหมิงโดยไม่รู้ตัว
ในสายตาของพวกเขา หนึ่งเดียวในตอนนี้ที่สามารถต่อกรกับอู๋ขุยได้ เกรงว่าคงมีแต่ผู้ฝึกกระบี่ระดับแก่นแท้อย่างหลิ่วหมิงแล้ว
แต่หากพวกเขารู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะมีสีหน้าแบบไหนกัน
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกอยากได้ไข่ผึ้งห้าแสงอยู่บ้าง แต่หลังจากคิดใคร่ครวญแล้วก็ค่อยๆ กล่าวกับอู๋ขุย
“ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้ไปดูปริมาณของน้ำผึ้งที่อยู่ในถ้ำ รอได้สิ่งของมาครบทั้งหมดแล้วค่อยแบ่งกันก็ยังไม่สาย พี่อู๋ว่าอย่างไร?”
“เรื่องนี้……เอาเถอะ! ในเมื่อสหายเอ่ยปากแล้ว ก็ไปดูที่รังผึ้งก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลังจากอู๋ขุยได้ยินเช่นนี้ แม้ว่าจะมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่หลังจากคิดๆ ดูแล้ว ก็ฝืนพยักหน้าตอบรับ
ด้วยเหตุนี้ฮวาชิงอิ่งและคนอื่นๆ ย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด
หลังจากฝังศพชายฉกรรจ์ และเก็บกวาดพื้นที่บริเวณนั้นแล้ว พวกเขาก็เหาะไปทางยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลในทันที
ครึ่งชั่วยามต่อมา ขณะที่คนกลุ่มนี้เดินออกมาจากถ้ำบนยอดเขานั้น พวกเขาต่างก็มีสีหน้าเบิกบานใจเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ สังหารปีศาจผึ้งที่เหลือในรังในหมดสิ้น และได้น้ำน้ำผึ้งห้าแสงคุณภาพสูงมาจำนวนมาก ทั้งยังได้น้ำผึ้งราชินีผึ้งที่แท้จริงมาสี่ขวดด้วย
ดังนั้นหลังจากพวกเขาหารือกันเล็กน้อยแล้ว ก็ตกลงกันได้
สิ่งของที่มีมูลค่าสูงนั้น เนื่องจากอู๋ขุยเป็นคนออกแรงล่อราชินีผึ้งมากที่สุด จึงได้ไข่ผึ้งห้าแสงไปสองใบ และฮวาชิงอิ่วกับหญิงสวมหมวกคลุมต่างก็เอาไปคนละใบ
น้ำผึ้งราชินีผึ้งที่เหลือก็เป็นของหลิ่วหมิงกับชายชุดเขียวคนละครึ่ง
และน้ำผึ้งห้าแสงคุณภาพสูงก็เป็นของหลิ่วหมิงทั้งหมด เนื่องจากเขาสังหารราชินีผึ้งกับไม่เอาไข่ของมัน
ส่วนศพของราชินีผึ้งย่อมเป็นของฮวาชิงอิ่งตามที่ได้พูดคุยกันไว้ตั้งแต่แรก
การแบ่งเช่นนี้ทุกคนล้วนปีติยินดีด้วยกันทั้งสิ้น!
แต่พอทุกคนเพิ่งเดินออกจากถ้ำ หลิ่วหมิงก็เดินไปข้างชายชุดเขียว และขยับปากเบาๆ เพื่อส่งเสียงให้ชายชุดเขียว
ชายชุดเขียวได้ยินก็มองดูหลิ่วหมิงด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นทั้งสองก็ส่งเสียงสนทนากัน และหลิ่วหมิงก็นำขวดหยกสีขาวออกมาให้ชายชุดเขียว
หลังจากชายชุดเขียวรับขวดหยกไปแล้ว ก็ดึงจุกออกแล้วใช้จิตกวาดดูทันที ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และนำขวดเล็กๆ หนึ่งใบที่ใส่น้ำผึ้งราชินีผึ้งออกมามอบให้หลิ่วหมิง
ที่แท้หลิ่วหมิงก็ใช้โอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงสิบเม็ดแลกกับน้ำผึ้งของราชินีผึ้งในมือชายชุดเขียวหนึ่งขวด
เดิมทีนี่ก็คือเป้าหมายในการเดินทางของเขา ส่วนไข่ผึ้งนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้
เพราะอสูรเลี้ยงของหลิ่วหมิงมีเพียงพอแล้ว หากเอามันไปฟักแล้วบ่มเพาะ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดผล
การกระทำของทั้งสองย่อมอยู่ในสายตาของคนอื่นๆ แต่มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย และไม่มีใครเอ่ยปากถามอะไรออกมา
และเมื่อเขามีน้ำผึ้งราชินีผึ้งแท้จริงที่ไม่มีสิ่งอื่นเจือปนแล้ว ต่อไปก็มีโอกาสปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาได้มากขึ้น
“เอาล่ะ! ขบวนการในครั้งนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ ข้าต้องขอบนคุณทุกท่านที่มาช่วย พอพวกเราไปจากเทือกเขาจูหลงแล้ว ก็สามารถทำเรื่องของตัวเองได้แล้ว” ฮวาชิงอิ่งกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าขบวนการของพวกเขาในครั้งนี้จะสำเร็จ แต่เทือกเขาจูหลงก็ไม่ใช่สถานที่น่าอยู่แต่อย่างใด ทุกคนยังต้องรวมพลังเพื่อออกไปพร้อมกัน
เวลาต่อมา พวกเขาก็กลับไปทางเดิม
แต่ว่าในระหว่างพวกเขาด้วยกันเอง ยังคงรักษาระยะห่างอยู่
หลิ่วหมิงตั้งใจอยู่ท้ายสุด ด้านหนึ่งกุมหินจิตวิญญาณฟื้นฟูพลังเวท อีกด้านก็ค่อยๆ เหาะตามผู้คนที่อยู่ด้านหน้า
สองวันต่อมา ขณะที่เขารีบเร่งเดินทางอย่างเงียบๆ นั้น อู๋ขุยที่อยู่ตรงหน้าสุดก็คำรามเสียงต่ำออกมา ขณะเดียวกันก็หยุดชะงักลง ดวงตามองไปทางด้านซ้ายตรงหน้า แม้คนอื่นๆ จะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็หยุดลงพร้อมกัน
แววตาหลิ่วหมิงเป็นประกาย พอปล่อยจิตออกไป สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“พี่อู๋เกิดอะไรขึ้น มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ฮวาชิงอิ่งถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย น้ำเสียงยังไม่ทันได้สิ้นสุดลง ก็มีเสียงดังขึ้นมา แสงสีเขียวจางๆ ราวกับหินอุกกาบาต พุ่งมาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว
เกิดเสียงดังตูมตาม แสงสีเขียวปะทะลงบนเนินเขาลูกเล็กๆ ทางด้านข้างของพวกเขา เนินเขากว่าครึ่งหนึ่งระเบิดออกมา เศษหินกระเด็นไปทั่วทิศ
หลังจากแสงดับลง ก็มีเงาร่างโซซัดโซเซออกมาจากเศษหิน
เขาเป็นชายที่สวมชุดคลุมสีครามผู้หนึ่ง มีมงกุฎสีขาวอยู่บนศีรษะ ใบหน้าค่อนข้างอ่อนเยาว์ แต่ดวงตาทั้งคู่กลับเรียวยาว ลูกตาดำเป็นสีเหลืองทอง จมูกงองุ้มราวกับปากเหยี่ยว
พอมองดูก็รู้ว่าชายผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจ ทั้งยังมีระดับการฝึกฝนไม่เบา ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้เช่นกัน!
“เจ้าคือ…หมัวซี บุตรของปีศาจวายุหมัวเจี๋ย” พออู๋ขุยเห็นใบหน้าของคนผู้นี้ชัดเจน ก็กล่าวด้วยความตะลึงในทันที
ฮวาชิงอิ่งและคนอื่นๆ ได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ชื่อเสียงของปีศาจวายุหมัวเจี๋ยสั่นสะเทือนไปทั่วดินแดนทางตอนใต้ หมัวซีที่เป็นบุตรเพียงหนึ่งเดียว ย่อมมีชื่อเสียงไม่เบา แต่เหตุใดถึงมาปรากฏตัวในส่วนลึกของเทือกเขาจูหลง ทั้งยังมีสภาพกระเซอะกระเซิงเช่นนี้
มีเลือดอยู่ตรงมุมปากของผู้ฝึกฝนปีศาจ ดูเหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส พอหันมาเห็นอู๋ขุยก็เผยสีหน้าดีใจออกมา ดูเหมือนกำลังจะพูดอะไร แต่ก็มีสีหน้าซีดขาวในทันที และหันกลับไปมองทางที่ผ่านมาด้วยแววตาหวาดกลัว
ทุกคนมองตามเขาไป แต่กลับมองไม่เป็นอะไรเลย
หลิ่วหมิงใจเต้นตุ๊บๆ อย่างอดไม่ได้ และรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที
ขณะนั้นเอง พลันมีคลื่นสะเทือนกลางอากาศที่สูงขึ้นไปหนึ่งพันจั้ง มือยักษ์สีม่วงที่มีขนาดใหญ่ราวกับภูเขาแหวกอากาศออกมา และคว้าไปทางชายหนุ่มชุดคลุมสีครามที่อยู่ด้านล่าง
“ไม่!”
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเห็นเช่นนี้ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำอย่างบ้าคลั่ง แสงสีเขียวเปล่งประกายในมือ ดาบโค้งๆ ปรากฏออกมาหนึ่งเล่ม และฟันแสงดาบออกไปด้านหน้าสิบกว่าลำ
แสงสีม่วงบนฝ่ามือยักษ์สั่นสะท้านเบาๆ คลื่นแสงกระเพื่อมออกมาโจมตีแสงดาบทั้งหมดจนแตกละเอียด จากนั้นฝ่ามืออันทรงอานุภาพก็กดลงมาทันที
ผู้ฝึกฝนปีศาจถูกตบลงบนพื้นโดยไม่มีแรงโจมตีกลับเลยแม้แต่น้อย
ครู่ต่อมา ขายฉกรรจ์ชุดคลุมสีม่วงผู้หนึ่งก็ปรากฏอยู่เหนือมือยักษ์ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็น ดวงตากวาดมองดูพวกหลิ่วหมิง
แม้ว่าอู๋ขุยและคนอื่นๆ จะรู้สึกตกใจมาก แต่ก็ร่นถอยออกไปหลายก้าวอย่างอดไม่ได้ และทำท่าเตรียมพร้อมรับมือมือไว้
หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง ตลอดทางที่ผ่านมาจิตรับรู้ของเขาตรวจสอบไปรอบด้านอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่ค้นพบร่องรอยของชายฉกรรจ์ชุดม่วงเลยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงแต่เท่านี้ แม้ว่าตอนนี้ชายฉกรรจ์ชุดม่วงจะยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่เมื่อเขาใช้จิตกวาดดูก็ยังคงไม่อาจรับรู้ได้ ราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆ
พลังเหลือเชื่อเช่นนี้ แต่ก่อนหลิ่วหมิงเคยรับรู้ได้จากตัวของผู้อาวุโสระดับสูงในนิกาย
“ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์!”
หลิ่วหมิงรู้สึกขมคอในทันที
“เลี่ยเจิ้นเทียน เจ้าอย่าได้รังแกคนเกินไป!” เสียงคำรามของผู้ฝึกฝนปีศาจดังออกจากใต้มือยักษ์
อู๋ขุยและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง ชื่อเลี่ยเจิ้นเทียนนี้ก็มีชื่อเสียงในดินแดนทางตอนใต้เช่นกัน ซึ่งไม่มีใครที่ไม่รู้จัก
ปีศาจสายฟ้าเลี่ยเจิ้นเทียน นับว่าเป็นหนึ่งในสามผู้ฝึกฝนปีศาจในดินแดนทางตอนใต้ที่มีชื่อเสียงระดับเดียวกับปีศาจวายุหมัวเจี๋ย และมีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์
ชายฉกรรจ์ชุดม่วงได้ยินก็ยิ้มเหยียดออกมา พอยกมือขนาดใหญ่ขึ้น มือยักษ์สีม่วงที่กดอยู่บนพื้นก็ระเบิดออกมา และค่อยๆ หดลงจนมีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ และผู้ฝึกฝนปีศาจชุดสีครามในก่อนหน้าก็แนบติดกับมือยักษ์ แม้ว่าเขาจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
“เข้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้ พ่อข้าจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน!” ร่างของผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียวถูกทดทับจนหน้าแดงราวกับเลือด เขาจึงตะโกนใส่ชายฉกรรจ์โดยไม่สนใจเรื่องอื่นอีก
“ฮึ! คนอื่นกลัวหมัวเจี๋ย ข้าไม่กลัวสักหน่อย!” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงหัวเราะเหอะๆ เสียงของเขาดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าราวกับเสียงระฆัง แต่ละคำพูดล้วนสั่นสะเทือนความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากหลิ่วหมิงได้ยิน ก็รู้สึกแสบแก้วหูเป็นอย่างมาก จึงรีบกระตุ้นโซ่ตรวนสะกดวิญญาณให้ปกป้องทะเลจิตรับรู้ไว้ และใช้พลังจิตของหนอนพลังจิตมาช่วย ร่างของเขาถึงโงนเงนแค่สองสามที และไม่ได้ล้มลงพื้น
พอปราดตามองก็ค้นพบว่านอกจากอู๋ขุยจะมีสีหน้าสงบเล็กน้อยแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าซีดขาวอยู่ครู่หนึ่ง
หลิ่วหมิงรีบครุ่นคิดด้วยความหวาดกลัว และเริ่มไตร่ตรองถึงแผนการสลัดตัวให้หลุดพ้น
แต่ตอนนี้เขารับรู้ได้ถึงจิตรับรู้ของชายฉกรรจ์ชุดม่วงที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่บริเวณนี้อย่างชัดเจน แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้มองพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แต่หากเสี่ยงเคลื่อนไหวล่ะก็ เกรงว่าคงจะถูกฝ่ามือของเขาตบเสียชีวิตในทันที
แต่ครู่ต่อมา เรื่องที่ทำให้ฮวาชิงอิ่ง อู๋ขุย และคนอื่นๆ มีสีหน้าซีดขาวก็ปรากฏขึ้น
น้ำเสียงของชายฉกรรจ์ชุดม่วงเพิ่งสิ้นสุดลง ก็ยกมือขึ้นและโบกไปทางมือยักษ์สีม่วงทันที แสงโลหิตก่อตัวขึ้นกลางอากาศ และกะพริบไปแทงหน้าอกของหมัวซี
ผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียวส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
………………………………