ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป แท่นบูชาบนเขาเหลยฉือ
เลี่ยเจิ้นเทียนชายฉกรรจ์ชุดม่วงกับจงเหยียนชายฉกรรจ์หน้าดำ กำลังยืนเคียงไหล่อยู่หน้าแท่นบูชา ด้านล่างของทั้งสองคือผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจสิบกว่าคนที่แบ่งเป็นสองแถว แถวหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีม่วงซึ่งเป็นคนของปีศาจสายฟ้า อีกแถวล้วนสวมชุดสีดำ พอมองก็รู้ว่าเป็นศิษย์รุ่นหลังของชายฉกรรจ์หน้าดำ
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านี้ต่างก็มีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขึ้นไป ซึ่งล้วนเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นในบรรดาคนรุ่นหลังของทั้งสองเผ่า
“เรื่องเกี่ยวกับการทดสอบปีศาจสวรรค์ ข้าจะไม่พูดอะไรมากแล้ว พวกเจ้าล้วนเป็นศิษย์ที่มีคุณสมบัติสูงสุดที่ถูกคัดเลือกจากคนในเผ่านับหมื่นนับพันคน ลำดับถัดไปจะเป็นการเริ่มทดสอบอย่างเป็นทางการ อีกประเดี๋ยวข้ากับสหายจงจะร่วมมือกันเปิดทางเข้าแดนลึกลับ และภายในแดนลึกลับก็ได้เตรียมเครื่องสังเวยต่างเผ่าไว้เพียงพอแล้ว ใช้วิชาเฉพาะที่พวกเราถ่ายทอดมาดูดพลังวิญญาณของพวกเขาสร้างพลังให้กับตัวเอง เพื่อเตรียมการให้พร้อมสำหรับสืบสานปีศาจสวรรค์ แต่ว่าจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เข้าสู่แท่นบูชาใจกลางแดนลึกลับได้ นี่หมายความว่าอย่างไร ข้าไม่ต้องบอกพวกเจ้าก็คงเข้าใจ ในเผ่าปีศาจของข้าผู้ที่แข็งแกร่งจะเป็นผู้อาวุโส มีเพียงผู้ชนะคนสุดท้ายที่ได้ป้ายอาญาสิทธิ์ของศิษย์ที่ได้รับคัดเลือกทั้งหมดเท่านั้น ถึงมีสิทธิ์ได้รับสืบสานปีศาจสวรรค์!” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงประกาศด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ศิษย์เผ่าปีศาจที่อยู่ด้านล่างได้ยินคำพูดนี้ต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา
ในเผ่าปีศาจ แม้ว่าผู้อ่อนแอกว่าตกจะเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งกว่าจนเห็นเป็นเรื่องที่ชาชินแล้ว แต่ครั้งนี้มันต่างกัน ผู้เแข็งแกร่งในตอนท้ายไม่เพียงแต่จะมีพลังเพิ่มทวี ทั้งยังสามารถสืบสานปีศาจสวรรค์ในตำนานได้ ไม่เพียงแต่จะบรรลุสู่ระดับดาราพยากรณ์ได้โดยง่าย แม้แต่การเข้าสู่ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
เพื่อโอกาสนี้ ต่อให้จะรู้ว่ามีโอกาสเสียชีวิตในการทดสอบครั้งนี้สูง ศิษย์ที่โดนคัดเลือกก็ยังไม่มีใครยอมถอนตัว
ผู้ฝึกฝนปีศาจระดับแก่นแท้นี้กลุ่มนี้ ต่างก็สังเกตดูพลังของฝ่ายตรงข้ามไม่หยุด และแอบชั่งน้ำหนักพลังที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นอย่างไรแล้ว
“หลังจากเปิดแดนลึกลับแล้ว พวกเจ้าทยอยเข้าไปตามลำดับในทุกห้าอึดใจ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับโชคของพวกเจ้าแล้ว” ชายฉกรรจ์หน้าดำกวาดสายตามองดูด้านล่างทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็หยุดสายตาอยู่ที่ชายฉกรรจ์หัวล้านรูปร่างล่ำสันทางฝั่งของตัวเองที่ยืนอยู่ตรงหน้าสุด
และในขณะเดียวกัน สายตาของชายฉกรรจ์ชุดม่วงก็ตกอยู่ที่ชายหนุ่มร่างผอมที่ยืนอยู่หน้าสุดของฝั่งตนเอง
ศิษย์ที่สมัครรับคัดเลือกล้วนมีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นขึ้นไป และกลิ่นไอบนตัวของทั้งสองคนนี้ ก็ราวกับเป็นนกกระสาในฝูงไก่ เห็นได้ชัดว่ามีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นกลาง และมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นศิษย์ที่อยู่จนถึงคนสุดท้าย
เลี่ยเจิ้นเทียนกับจงเหยียนต่างก็สบตากันอย่างรู้ใจ ทันใดนั้นร่างสองก็เคลื่อนไหวไปอยู่บนแท่นบูชาอย่างรวดเร็ว
จากนั้นทั้งสองก็ร่ายคาถาออกมา และทำท่ามือแปลกประหลาด
ไม่นาน แท่นบูชาด้านล่างก็เปล่งประกาย ทั้งสองยกมือขึ้นพร้อมกัน และต่างก็ควบแน่นมือยักษ์ขึ้นกลางอากาศคนละข้าง จากนั้นก็ดึงออกไปด้านนอกพร้อมกัน
เสียงสายฟ้าระเบิดดังอยู่พักหนึ่ง!
อากาศเหนือแท่นบูชาถูกแหวกออกมาจนกลายเป็นบานประตูเล็กๆ ในทันที
ครู่ต่อมา ชายฉกรรจ์หัวล้านในบรรดาศิษย์ที่สวมชุดคลุมยาวสีม่วง ก็พุ่งเข้าไปทันทีราวกับเตรียมตัวไว้นานแล้ว และเปิดประตูแดนลึกลับก่อนเหาะเข้าไปด้านในอย่างไร้ร่องรอย
ห้าอึดใจต่อมา ชายร่างผอมที่อยู่ตรงหน้าของศิษย์ชุดดำ ก็พร่ามัวมาปรากฏตัวตรงทางเข้าแดนลึกลับอย่างน่าประหลาดใจ และกะพริบหายเข้าในนั้น
……
ตีนเขาลูกหนึ่งในแดนลึกลับ ท้องฟ้าเป็นสีครามเข้ม เมฆสีขาวหิมะหลายก้อนกำลังลอยไปมาอย่างไม่ใส่ใจ พอทอดสายตามองออกไป จะเห็นว่ามีภูเขาห้อมล้อมอยู่ไกลๆ หญ้าสีเขียวเปรียบเสมือนร่มเงา เห็นได้ชัดว่าเป็นโลกภายนอกอีกแห่งหนึ่ง
ขณะนี้ หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเทากำลังยืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้แห่งหนึ่งอย่างเงียบกริบ
ตั้งแต่ถูกเลี่ยเจิ้นเทียนโยนเข้ามาในแดนลึกลับ เขาก็รู้สึกหน้ามืดตาลายอยู่ครู่หนึ่งหลังจากทรงตัวได้อย่างยากลำบาก กลับค้นพบว่าตนเองถูกส่งมาในสถานที่แห่งนี้แล้ว และรอบด้านก็ไม่ใครเลยแม้แต่คนเดียว ประจักษ์ชัดว่าอู๋ขุย ฮวาชิงอิ่ง และคนอื่นๆ ต่างก็ถูกส่งไปยังสถานที่ต่างๆ ของแดนลึกลับ
แม้จะไม่รู้ว่าปีศาจสายฟ้าโยนพวกเขามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อันใด แต่ประจักษ์ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน เขาต้องหาทางออกทางอย่างเร่งด่วน เพื่อหลบหนีออกไปจากแดนลึกลับแห่งนี้
พอคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ทำท่ามือกระตุ้นเมฆดำด้วยมือเดียวให้พาเขาเหาะออกไปไกลๆ
เขาเหาะไม่ค่อยเร็วมากนัก แม้ภายนอกสถานที่แห่งนี้จะดูสงบ แต่อาจจะแฝงไปด้วยอันตรายที่ไม่ทราบก็เป็นไปได้
ขณะเดียวกัน บนพื้นหินที่มีทรายสีเหลืองในแดนลึกลับ ฮวาชิงอิ่งกับหญิงสวมหมวกคลุมกำลังถูกผู้ฝึกฝนใส่ชุดหลากสี รูปร่างสูงใหญ่ห้าคนล้อมอยู่
ผิวหนังของคนเหล่านี้ดูแปลกประหลาดเล็กน้อย และบนเสื้อผ้าก็ถูกปักด้วยแมงป่อง ตะขาบ และแมลงมีพิษอื่นๆ
“ท่านทั้งหลายคงเป็นสหายนิกายเบญจพิษในดินแดนทางตอนใต้สินะ ไม่ทราบว่าเหตุใดต้องขัดขวางพวกข้าทั้งสองด้วย?” ฮวาชิงอิ่งถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หญิงสวมหมวกคลุมที่อยู่ข้างนางก็มีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย มือทั้งคู่หดอยู่ในแขนเสื้อ
แม้ว่าพวกนางจะสังกัดพันธมิตรหมาป่าเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มีความสนิทสนมกันอย่างใด แต่ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ กลับต้องร่วมมือกันเพื่อรักษาชีวิตแล้ว
“เฮ่อๆ! ที่แท้ก็เป็นคนใหม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไร คงเพิ่งถูกปีศาจสายฟ้าโยนมาเมื่อครู่สินะ? ในเมื่อเข้ามาที่นี่แล้วก็อย่าคิดออกไปอีกเลย จะบอกอะไรให้ พวกเราอยู่มาเกือบสิบปีแล้ว…” ชายวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างอวบกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
“จะพูดจาไร้สาระกับพวกนางทำไม ฆ่าพวกนางซะแล้วค่อยว่ากัน ได้หินจิตวิญญาณกับของล้ำค่าบนตัวพวกนางมาแล้ว พวกเราถึงจะมีชีวิตอยู่ได้นานอีกหน่อย!” ชายหน้าเหลืองที่มีรูปร่างสูงใหญ่ตัดบทสนทนาของชายร่างอวบ และปัดมือตะโกนออกมา
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทันใดนั้นดาบบิน กระบี่บิน และแสงหลากสีต่างๆ ก็โจมตีเข้าใส่ทั้งสอง
ฮวาชิงอิ่งมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสของนิกายเบญจพิษเหล่านี้ล้วนมีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขึ้นไป ดูเหมือนว่าชายหน้าเหลืองที่เป็นหัวหน้าใกล้จะบรรลุถึงระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนหรือพลังล้วนได้เปรียบกว่ามาก
แต่เรื่องมาถึงตัวแล้ว พวกนางทั้งสองย่อมไม่ยอมรับความตายแต่โดยดีอย่างแน่นอน
ฮวาชิงอิ่งส่งเสียงตะคอก และนำกระจกโบราณหกเหลี่ยมออกมา พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง กระจกโบราณก็ขยายใหญ่ตามลมจนมีขนาดสิบกว่าจั้ง และต้านทานอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง
ลำแสงแปลกประหลาดเจ็ดแปดลำโจมตีลงบนกระจกโบราณ ภายใต้การหมุนเวียนของลำแสงแวววาวบนพื้นผิว ทำให้การโจมตีเหล่านี้กระเด็นออกไปทั้งหมด
หญิงสวมหมวกคลุมก็กัดฟันพ่นตะขอเงินออกมาคู่หนึ่ง มือทั้งสองจับมันไว้แน่น และนำมาตั้งตัดสลับกันก่อนปล่อยเงาออกไปจำนวนมาก เพื่อต้านทานแสงอีกสามลำที่เหลือ
ฮวาชิงอิ่งเห็นเช่นนี้ถึงมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ด้านหนึ่งนางควบคุมกระจกโบราณให้ต้านทานการโจมตี อีกด้านก็กระตุ้นพลังเวทภายในร่าง และนำธงสีขาวสลัวๆ ออกมา พอโบกธง เมฆขาวก้อนหนึ่งก็ห่อหุ้มทั้งสองไว้ ทำให้การป้องกันหนาแน่นขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่าผู้ฝึกฝนนิกายเบญจพิษเหล่านั้นจะมีจำนวนคนมาก ทั้งยังโจมตีถี่ยิบ แต่ภายใต้การป้องกันด้วยพลังทั้งหมดของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งสอง ทำให้ไม่อาจทำอะไรพวกนางได้ระยะหนึ่ง
ชายหน้าเหลืองที่ยังไม่ลงมือเห็นเช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา ทันใดนั้นมือทั้งสองที่หดอยู่ในแขนเสื้อ ก็สั่นๆ เบาโดยที่ไม่อาจรับรู้ได้
ครู่ต่อมา จะเห็นว่าบริเวณพื้นที่พวกนางทั้งสองยืนอยู่สั่นสะเทือน หลังจากมีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” เส้นสีดำจำนวนมากก็พุ่งยิงออกมา พริบตาเดียวก็เจาะทะลุเมฆขาวไป
พวกนางทั้งสองกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งสองที่อยู่รอบๆ กลับตะโกนออกมาพร้อมกัน และกระตุ้นอาวุธโจมตีด้วยกัน
“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
แม้ว่าทั้งสองจะอาศัยพลังป้องกันของตะขอเงินกับกระจกโบราณจนพอที่จะรับการโจมตีไว้ได้ แต่ร่างที่กระโดดหลบของพวกนางกลับถูกสั่นสะเทือน จนต้องชะงักอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งโดยไม่รู้ตัว
และในช่วงระหว่างเวลานี้ เส้นสีดำบนพื้นก็เจาะทะลุน่องของนางทั้งสอง
ฮวางชิงอิ่งและหญิงสวมหมวกคลุมส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา รูเลือดเล็กๆ ปรากฏบนน่องเป็นแถว เลือดที่ไหลออกมาก็เป็นสีดำเข้ม มีไอดำเล็กๆ ขยายไปตามผิวหนังทั่วร่าง
ในขณะที่นางทั้งสองรู้สึกตกใจ และโมโหเป็นอย่างมากนั้น แมงป่องสีดำแวววาวสองตัวก็ปีนขึ้นมาจากดินสีเหลืองตรงด้านล่าง บนหางตะขอของมันยังมีลำแสงสีเขียวด้วย
สีหน้าของฉวาชิงอิ่งซีดขาวราวกับกระดาษ นางรีบหยิบขวดโอสถออกจากอกอย่างรวดเร็ว และพยายามนำโอสถที่อยู่ด้านในเทเข้าปาก
หญิงสาวหมวกคลุมที่อยู่ด้านข้างก็ทำท่าทางเช่นเดียวกันด้วยความตกใจระคนโมโห
“เฮ่อๆ! โดนพิษห้าเทพของนิกายเราแล้ว ยังคิดจะใช้โอสถถอนพิษอีก ช่างเป็นเรื่องเพ้อฝันเสียจริงๆ พวกเราพี่น้องจะเอาชีวิตน้อยๆ ของท่านเซียนทั้งสองไปล่ะนะ” ชายหน้าเหลืองเห็นเช่นนี้กลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
พอเขาโบกมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ดาบแสงสีเหลืองขนาดจั้งกว่าๆ ก็ฟันลงบนก้อนเมฆสีขาวที่ปกป้องทั้งสองอยู่ จากนั้นพอเขาตบเอว หนามสีดำสั้น ๆ สองอันก็พุ่งออกมาปั่นเมฆสีขาวจนแตกกระจาย
ภายใต้สถานการณ์ที่นางทั้งสองโดนพิษ แม้ว่าจะยังมองเห็นการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน แต่จำเป็นต้องใช้พลังเวทกว่าครึ่งหนึ่งมาระงับพิษในร่างอย่างช่วยไม่ได้ พริบตาเดียวก็มีสภาพรับไม่ไหวขึ้นมา
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็พุ่งเข้ามาด้วยความดีใจ และพากันกระตุ้นอาวุธต่างๆ โจมตีอย่างบ้าคลั่ง จนทำลายการป้องกันของกระจกโบราณที่เกือบจะสูญเสียการควบคุมไปแล้ว
ฮวาชิงอิ่งกับหญิงสวมหมวกคลุมสบตากันทีหนึ่ง จากนั้นต่างก็เผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา
ครู่ต่อมา แสงเยือกเย็นหลากสีก็โจมตีอยู่ครู่หนึ่ง พริบตาเดียวก็ปกคลุมร่างของนางทั้งสองไว้
……
หลิ่วหมิงขี่เมฆเหาะอยู่ในแดนลึกลับมาหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว ด้านล่างของเขาไม่ใช่เขตภูเขาที่ตั้งซ้อนกันแล้ว แต่กลับกลายเป็นพื้นทะเลสาบเงียบสงบ และไม่มีคลื่นเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าพื้นที่ของแดนลึกลับแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ยังคงหาจุดสิ้นสุดไม่พบ ลำพังแค่ทะเลสาบด้านล่างก็มีพื้นที่อย่างน้อยหลายพันลี้ ซึ่งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย
น้ำในทะเลสาบใสสะอาด พอมองลึกลงไปกลับดูมืดเป็นอย่างมาก ด้วยพลังสายตาของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ไม่อาจมองเห็นก้นทะเลสาบได้
“ซ่าๆ!”
ทันใดนั้นก็เกิดระลอกคลื่นบนผิวทะเลสาบ ศรน้ำแข็งสีฟ้าพุ่งออกจากใจกลางระลอกคลื่น และพุ่งทะลุเมฆดำกลางอากาศโดยตรง
บริเวณที่มีเสียงดังผ่าน แม้แต่อากาศก็เกิดเป็นระลอกคลื่นสีฟ้าจางๆ
เดิมทีหลิ่วหมิงรู้สึกกังวลที่เหาะสูงเกินไปจะทำให้กลายเป็นจุดสนใจได้ง่าย กลับคิดไม่ถึงว่าการโจมตีที่คาดไม่ถึงจะมาจากด้านล่างจนเขารู้สึกอึ้งในทันที
แต่เขากลับมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วมาก ภายใต้การควบแน่นของแสงสีดำบนตัว ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นมา จนหลบศรน้ำแข็งไปได้ แต่ครู่ต่อมากลับมีเสียดัง “ปัง!” จากนั้นความรู้สึกเย็นสะท้านแปลกประหลาดก็โจมตีเข้ามา
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วและขยับตัวในทันที จากนั้นก็พร่ามัวไปปรากฏอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง และหันกลับมามองด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
จะเห็นว่าศรน้ำแข็งในก่อนหน้านั้นได้ระเบิดออกมาปกคลุมพื้นที่หลายจั้งในบริเวณนั้นแล้ว
“สหายท่านใดแอบซ่อนอยู่ใต้น้ำ ไยไม่ออกมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผยเล่า?” ภายใต้หน้ากากวานรยักษ์ มีน้ำเสียงเยือกเย็นของหลิ่วหมิงดังออกมา
………………………………