พอหลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางแสงกระบี่เหลือบตามอง ก็ค้นพบว่าห่างออกไปด้านหน้าร้อยกว่าลี้ ไม่ใช่เทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกันแล้ว
นอกจุดสิ้นสุดของเทือกเขา เป็นทะเลทรายสีดำอันเปล่าเปลี่ยว
เม็ดทรายสีดำมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
พอเขาขมวดคิ้วพลิกฝ่ามือนำแผนที่เทือกเขาจูหลงออกมาดู ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
จากบันทึกบนแผนที่ สถานที่ตรงหน้าควรเป็นทุ่งหญ้าถึงจะถูก ตอนนี้เขารู้สึกงุนงงในทันที
พอแสงกระบี่เปล่งประกายไม่กี่ที หลิ่วหมิงก็มาถึงขอบทะเลทรายเปล่าเปลี่ยวสีดำ
ทันทีที่เขาปล่อยจิตออกไปกวาดดูด้านหน้า กลับไม่ค้นพบความผิดปกติอะไร แต่ทะเลทรายเปล่าเปลี่ยวสีดำเหล่านี้ กลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าแผนที่นี้จะมีปัญหา?” หลิ่วหมิงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยุดแสงกระบี่ลงอย่างช่วยไม่ได้
พอมองด้วยตาเปล่า ทะเลทรายแห่งนี้มีพื้นที่อย่างน้อยหลายหมื่นลี้ ไม่สามารถเดินอ้อมได้
ขณะที่หลิ่งหมิงลังเลอยู่นั้น แสงหลบหลีกด้านหลังก็พุ่งตามเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงฟ้าร้อง เห็นได้ชัดว่าอีกไม่นานก็จะตามทันแล้ว
“สนใจอะไรมากไม่ได้มากแล้ว หลบหนีเอาชีวิตรอดสำคัญกว่า!” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็กลายเป็นแสงกระบี่สีทองพุ่งดิ่งไปทางทะเลทราย
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงสายฟ้าสีม่วงก็กะพริบลงบนขอบทะเลทรายสีดำ
พอแสงสีม่วงดับลงก็เผยให้เห็นร่างชายฉกรรจ์ชุดคลุมยาวสีม่วง ซึ่งก็คือปีศาจสายฟ้าเลี่ยเจิ้นเทียนที่ตามล่าหลิ่วหมิงจนมาถึงสถานที่แห่งนี้นั่นเอง
“ทะเลทรายกุ่ยโม่!” พอเลี่ยเจิ้นเทียนมองเห็นทะเลทรายสีดำตรงหน้า กลับสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน จากนั้นก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาอีกครั้ง
“ทำไมทะเลทรายกุ่ยโม่ถึงมาปรากฏในสถานที่แห่งนี้ได้ ดูท่าครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีของข้าแล้ว” เลี่ยเจิ้นเทียนสังเกตทะเลทรายสีดำตรงหน้าอย่างละเอียด และพูดพึมพำออกมาอย่างอดไม่ได้
ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ไม่หยุดนั้น กลิ่นไอแข็งแกร่งที่ยากจะคาดเดา กลับพุ่งเข้ามาจากด้านหลังที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้อย่างรวดเร็ว
เลี่ยเจิ้นเทียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที กลิ่นไอนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเองเลยแม้แต่น้อย แม้จะอยู่ห่างไกลเช่นนี้ ยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังของพายุที่บ้าระห่ำ เห็นได้ชัดว่าเป็นปีศาจวายุหมัวเจี๋ย หนึ่งในสามผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจในดินแดนทางตอนใต้ที่เป็นคู่อริเก่าของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!
เลี่ยเจิ้นเทียนแอบร้องทุกข์อยู่ในใจ
ปีศาจวายุมาในครั้งนี้ก็เพราะเรื่องที่สายเลือดของเขาถูกทำร้าย ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามตามมาถึงที่นี่ ก็หมายความได้จับตำแหน่งร่องรอยของเขาเอาไว้แล้ว ดูท่าคงไม่อาจหลบหนีไปได้โดยง่าย
และก่อนหน้านั้นที่เขาไล่ล่าหลิ่วหมิงจนมาถึงสถานที่แห่งนี้ ก็ทำให้สูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย
ขณะที่คิดอยู่เช่นนี้ เขาก็พลิกฝ่ามือนำโอสถสีเทาสลัวๆ มาทานหนึ่งเม็ด จากนั้นก็ทำการฟื้นฟูพลังเวท ณ ที่นั้น
ชั่วเวลาผ่านไปแค่ครึ่งถ้วยชา พายุบ้าระห่ำที่อยู่ไม่ไกลก็พัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว แรงกดดันของพายุรุนแรงมาก จนกระทั่งทำให้เขารู้สึกหายใจลำบากขึ้นมา
“เลี่ยเจิ้นเทียน เจ้าบังอาจสังหารสายเลือดของข้า นึกว่าจะปิดบังข้าได้หรือ? วันนี้ข้าจะเอาชีวิตของเจ้าเพื่อปลอบประโลมวิญญาณของบุตรที่อยู่บนสวรรค์!” ท่ามกลางพายุบ้านระห่ำ ชายรูปร่างพร่ามัวที่มีคมวายุห่อหุ้มอยู่ ก็ตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
พอตะคอกเสร็จ พายุบ้าระห่ำก็เคลื่อนไหว คมวายุสีเขียวสองสายพุ่งออกจากในนั้น แต่ละสายล้วนมีขนาดสามสิบถึงสี่สิบจั้ง แสงสีเขียวเจิดจ้าเปล่งประกายท่ามกลางเสียงแหลมคม ทันใดนั้นมันก็รวมกันเป็นหนึ่ง และกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีเขียวที่มีขนาดห้าสิบถึงหกสิบจั้ง จากนั้นก็ฟันใส่เลี่ยเจิ้นเทียนอย่างโหดเหี้ยม
“หมัวเจี๋ย ห้าร้อยปีก่อนศึกของเจ้ากับข้ายังไม่รู้แพ้ชนะ วันนี้ก็หาข้อยุติกันในสถานที่แห่งนี้เถอะ ดูว่าใครถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจแห่งดินแดนทางตอนใต้!” เลี่ยนเจิ้นเทียนลุกขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากพูดจาอย่างเยือกเย็นไปหนึ่งประโยคแล้ว ก็อ้าปากพ่นตรีศูลสายฟ้าสีทองออกมาหนึ่งเล่ม พอขยายใหญ่ตามลม ก็ถูกเขาคง้าเอาไว้ในมือ
แสงสายฟ้าเปล่งประกายรอบตัวปีศาจสายฟ้า สายฟ้าแต่ละเส้นประสานไปมาบนตัวราวกับมีชีวิต และกลายเป็นสายฟ้าสีทองขนาดเท่าปากถ้วย จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในตรีศูลอย่างบ้าคลั่งก่อนถูกโยนไปบนอากาศ
ตรีศูลสายฟ้าหลุดออกจากมือ และขยายใหญ่หลายสิบจั้งท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง สายฟ้าขนาดใหญ่พุ่งออกจากปลายตรีศูล และกลายเป็นมังกรสายฟ้าสีทองขนาดหลายสิบจั้ง ก่อนพุ่งออกไปรับมือกับกระบี่ยักษ์สีเขียวที่พุ่งเข้ามา
หลังจากเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว กระบี่ยักษ์ก็ปะทะกับมังกรสายฟ้า!
ภายใต้แสงสายฟ้าที่เปล่งประกาย กรงเล็บมังกรสายฟ้าสีทองก็ก่อตัวขึ้นมา และรัดพันกระบี่แหลมคมสีเขียวไว้อย่างแน่นหนา ทั้งสองต่างก็สั่นสะท้านอยู่กลางอากาศ และส่งเสียงดังตูมตามอยู่เป็นระยะๆ
ปีศาจวายุที่อยู่ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำเห็นเช่นนี้ ก็ตะคอกออกมาด้วยความโมโห มือข้างหนึ่งกำกำปั้นไว้แน่น กระบี่แหลมคมสีเขียวสั่นสะท้านในทันที มันระเบิดออกมาท่ามกลางเสียงดังกังวาน และกลายเป็นคมวายุยาวจั้งกว่าๆ จำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นก็พุ่งยิงออกไปทั่วทิศ
มังกรสายฟ้าสีทองถูกคมวายุนับไม่ถ้วนฟาดฟันจนสายฟ้าเปล่งประกายบนพื้นผิว ลำตัวของมันบิดไปมาอย่างบ้าคลั่ง หลังจากยืนหยัดได้แค่สองสามอึดใจ มันก็ระเบิดตูมออกมา!
หมัวเจี๋ยก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นคมวายุสีเขียวก็ปกคลุมเต็มฟ้า และพุ่งวนเข้าสู่ใจกลางจนกลายเป็นพายุหมุนขนาดสิบกว่าจั้งจำนวนห้าลูก จากนั้นพายุหมุนทั้งห้าก็กลายเป็นเงาฝ่ามือวายุแวววาวข้างหนึ่งที่มีขนาดห้าสิบถึงหกสิบจั้ง และฟาดไปยังด้านหน้า
“พลังแห่งวายุลี้ลับ!”
พอเลี่ยเจิ้นเทียนเห็นฉากเช่นนี้ ก็หลุดเสียงออกมา ในใจเขารู้สึกหนักอึ้งเป็นอย่างมาก
จากนั้นเขาก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งอย่างไม่ลังเล พอยกมือขึ้น พลังสายหนึ่งก็กะพริบเข้าไปในตรีศูลที่อยู่ตรงหน้า
ภายใต้การสั่นสะท้านของตรีศูลสายฟ้า ทำให้ลวดลายจิตวิญญาณสีทองเปล่งประกายบนพื้นผิวอยู่ไม่หยุด สายฟ้าสีทองแต่ละเส้นพุ่งออกมาจากในนั้น และประสายเข้าด้วยกันจนกลายเป็นม่านสายฟ้าสีทองปกคลุมพื้นที่รอบๆ เลี่ยเจิ้นเทียนในระยะหนึ่งจั้งกว่าๆ และห่อหุ้มร่างเขาไว้ในนั้น
ภายใต้การม้วนตัวของพายุบ้าระห่ำ ฝ่ามือวายุแวววาวขนาดใหญ่ก็ปรากฏเหนือม่านแสงสายฟ้าสีทองในทันที พอกำนิ้วทั้งห้า ม่านแสงสายฟ้าสีทองก็ถูกกุมไว้ในมือ
ครู่ต่อมา คมวายุสีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงออกจากในนั้น และโจมตีลงบนม่านสายฟ้าสีทอง
เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ!
ภายใต้การเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งของม่านแสงสีฟ้า สายฟ้าขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือพุ่งยิงออกไปทั่วทิศ ภายใต้การตัดสลับประสานกันไปมา มันก็แสดงอานุภาพออกมาต้านทานคมวายุสีเขียวไว้ได้ทั้งหมด
หลังจากยืนหยัดเช่นนี้ไปได้ครึ่งชั่วยาม สายฟ้าบนม่านสายฟ้าสีทองก็ดูเบาบางลงเล็กน้อย
“เลี่ยเจิ้นเทียน ไม่ใช่ว่าอยากจะตัดสินแพ้ชนะกับข้าหรือ เหตุใดถึงต้องทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในม่านคุ้มกันด้วยล่ะ!” หมัวเจี๋ยพูดประชดประชันอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็เปลี่ยนท่ามืออยู่ไม่หยุด ฝ่ามือวายุแวววาวขยายใหญ่ขึ้นมาอีกเล็กน้อย ครู่ต่อมา คมวายุสีเขียวก็ทะลักออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และฟาดฟันสายฟ้าสีทองอย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้ เลี่ยเจิ้นเทียนรู้สึกหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ เดิมทีการฝึกฝนของเขาก็สู้ปีศาจวายุไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก่อนอาศัยพลังสายฟ้ามหัศจรรย์ของตนเอง ถึงพอจะที่ตั้งป้อมสู้กับปีศาจวายุได้
แต่ทว่าในก่อนหน้านั้น ไม่เพียงแต่ไล่โจมตีหลิ่วหมิงเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าโดยไม่หลับไม่นอน ในระหว่างทางยังใช้โลหิตกระตุ้นเคล็ดวิชาสายฟ้าโลหิตหลบหลีกอย่างไม่เสียดายอยู่หลายครั้ง ขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นพลังเวทหรือพลังต้นกำเนิดต่างก็สู้เมื่อก่อนไม่ได้ และวายุลี้ลับที่หมัวเจี๋ยแสดงออกมานี้ เกือบจะเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว อานุภาพลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดาได้ ประจักษ์ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต้านทานได้
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ คงได้แต่ยืดเวลาไปเรื่อยๆ เพื่อหาช่องว่างแสดงเคล็ดวิชาโลหิตหลบหลีก และหนีไปไกลๆ ถึงเป็นแผนที่ดีที่สุด
เลี่ยเจิ้นเทียนคิดไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ ทันใดนั้นก็กระตุ้นพลังเวทเพื่อทำให้ม่านสายฟ้าสีทองมั่นคง ขณะเดียวกัน ก็ทานโอสถฟื้นฟูพลังเวทไปด้วย
และขณะนั้นเอง พลันมีเสียงแผดร้องดังมาจากด้านข้างของทั้งสองที่อยู่ไม่ไกล
ทะเลทรายสีดำที่ดูเงียบสงบ กลับมีลมกระโชกแปลกๆ ก่อตัวในฉับพลัน ภายใต้การม้วนตัวของเม็ดทรายจำนวนมาก ทะเลทรายทั้งผืนก็หดลงอย่างรวดเร็วราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต
“หรือว่าจะเป็น…กุ่ยโม่?” หมัวเจี๋ยที่อยู่ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำได้ยินการเคลื่อนไหวเช่นนี้ ก็เหลือบตามองออกไป ครู่เดียวก็จำทะเลทรายกุ่ยโม่ได้ ทันใดนั้น เขาก็หดแขนข้างหนึ่งกลับมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
จะเห็นว่าเงาฝ่ามือวายุยักษ์ที่ดูโปร่งใสได้ระเบิดตัวกระจายออกมาทันที “ตู๊ม!” และกลายเป็นคมวายุขนาดเล็กพุ่งกลับมายังท่ามกลางพายุบ้าระห่ำที่หมุนอยู่รอบตัวเขา
เลี่ยเจิ้นเทียนรู้สึกแค่ว่าพลังวายุรอบตัวสลายไป พอเขาหยุดแสดงวิชา ม่านสายฟ้าสีทองก็กลายเป็นสายฟ้าสีเงินเล็กๆ พุ่งเข้าไปในร่างโดยตรง
จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วมองดูหมัวเจี๋ยทีหนึ่ง และไม่พูดอะไรออกมา
“เลี่ยเจิ้นเทียน วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน หากวันหน้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าค่อยมาเอาชีวิตเจ้าใหม่!” หลังจากหมัวเจี๋ยกล่าวลงท้ายด้วยประโยคที่ดูโหดเหี้ยมแล้ว ก็กลายเป็นพายุหมุนพุ่งเข้าไปในทะเลทราย ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็หายไปจากสายตาของเลี่ยเจิ้นเทียน
เลี่ยเจิ้นเทียนเห็นเช่นนี้ก็โบกมือเก็บตรีศูลสายฟ้ากลางอากาศ หลังจากมองดูทะเลมรายสีดำตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็กัดฟันในทันที และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีม่วงพุ่งไปท่ามกลางทะเลทรายกุ่ยโม่
ขณะที่หลิ่วหมิงกับปีศาจสายฟ้าและปีศาจวายุเหยียบเข้าไปในทะเลทรายสีดำแล้ว พายุบ้าระห่ำที่พัดอยู่ตรงขอบทะเลทรายก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และการหดตัวของทะเลทรายทั้งผืนก็รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ทะเลทรายสีดำที่มองไม่เห็นขอบเขตก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
……
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงกำลังขี่กระบี่เหินเวหาท่ามกลางทะเลทรายสีดำอย่างรวดเร็ว
หลังจากเข้ามาในพื้นที่ทะเลทรายแห่งนี้ เขาก็รับรู้ได้ลางๆ ว่าบริเวณขอบทะเลทรายตรงด้านหลังมีกลิ่นไอแข็งแกร่งสองสายกำลังปะทะกันอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเลี่ยเจิ้นเทียนกำลังแลกมือกับใครก็เท่านั้น
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าสถานการณ์ทางด้านนั้นจะเป็นเช่นใด เขาก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เอาแต่พุ่งไปด้านหน้าเท่านั้น
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม เขาถึงค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า ปีศาจสายฟ้าผู้นั้นไม่ได้ตามมาเลย แม้แต่กลิ่นไอก็หายไปแล้ว
ขณะที่เขากำลังหยุดแสงหลบหลีกลงด้วยความโล่งใจนั้น กลับทรงตัวไว้ไม่ได้ และร่วงลงไปด้านล่าง
มีพลังมหาศาลบางอย่างดูดเขาลงไปบนพื้นอย่างเหลือเชื่อ
หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวททรงตัวด้วยความตกใจ แต่กลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่เขากำลังจะเข้าใกล้พื้นนั้น ก็ฝืนบิดตัวย่างรวดเร็ว หลังจากเกิดเสียงดัง “โครม!” เท้าทั้งคู่ก็เหยียบลงบนพื้นอย่างหนักแน่น จนทำให้เนินบริเวณนั้นสั่นไหว
“ทะเลทรายแห่งนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำด้วยสีหน้าอึมครึม จากนั้นก็เก็บกระบี่เล็กสีทอง และทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อที่จะขี่เมฆพุ่งขึ้นฟ้า
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง เขากลับค้นพบว่าตนเองพุ่งขึ้นสูงจากพื้นได้แค่สิบกว่าจั้งเท่านั้น อีกทั้งยิ่งเหาะขึ้นสูงก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาลอันน่าตกใจ และพลังเวทก็กำลังไหลวนอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปแค่ไม่กี่อึดใจ เขาก็สูญเสียพลังไปเกือบครึ่งหนึ่ง หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ร่อนลงไปทันที
หลิ่วหมิงลังเลอยู่บนพื้นทรายเล็กน้อย จากนั้นก็คิดจะย้อนกลับไปยังทิศทางที่จากมาสักระยะหนึ่งแล้วค่อยว่ากันใหม่
แต่ทว่าเมื่อเขาหมุนตัวเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว พายุทรายกลับก่อตัวขึ้นท่ามกลางทะเลทรายที่อยู่ด้านหลัง คลื่นพายุสีดำแต่ละลูกม้วนตัวเข้ามาหาพร้อมกับเม็ดทรายที่ปะปนอยู่ในนั้น
………………………………