“พี่หลิ่ว กำลังมองดูอะไรอยู่?” คนที่พูดคือถูเอ่อร์ที่เดินเข้ามานั่นเอง
“อ้อ! ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่ดูไปเรื่อยเปื่อย” พอหลิ่วหมิงเห็นหญิงสาวเผ่าทรายเดินเข้าไปในกระโจมอีกหลังแล้ว ถึงหันไปตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ท่านผู้เฒ่ารับปากจะพบท่านแล้ว รีบตามข้ามาเถอะ” ถูเอ่อร์กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้าอย่างนั้ยต้องรบกวนพี่ถูให้นำทางแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมกล่าวด้วยความดีใจ
เมืองในทะเลทรายแห่งนี้ดูเหมือนจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก หลิ่วหมิงเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามถูเอ่อไปครู่หนึ่ง ก็มาถึงบ้านดินสองสามหลังที่อยู่ตรงหน้า
ระหว่างที่เขาเดินมา ล้วนพบเห็นกระโจมเป็นหลัก บ้านดินสีดำเหล่านี้ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่แสดงให้เห็นว่าคนที่อยู่ข้างในอยู่เหนือผู้คนใดๆ ในสถานที่แห่งนี้
“ดูท่าพี่หลิ่วก็คงมองออกว่าสิ่งก่อสร้างในสถานที่แห่งนี้ดูไม่ธรรมดาแล้ว บ้านสองสามหลังนี้เป็นของผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่หลงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้เมื่อหมื่นกว่าปีก่อน เป็นเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณที่เผ่าเราช่วยชีวิตไว้ จึงสร้างมันขึ้นมา ความแข็งแกร่งพอจะเทียบกับอาวุธจิตวิญญาณธรรมดาได้ จากนั้นก็กลายเป็นที่พักของผู้เฒ่าในเผ่าในแต่ละยุคที่ผ่านมา” ดูเหมือนถูเอ่อร์จะสังเกตเห็นสีหน้าฉงนของหลิ่วหมิง จึงอธิบายออกมาอย่างละเอียด
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงพยักหน้าเข้าใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็เดินตามเข้าไปในบ้านดินที่อยู่ตรงหน้าสุด
ด้านในค่อนข้างกว้างขวาง ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นระเบียบเรียบร้อย มีโต๊ะเก้าอี้หินจัดวางอยู่ไม่กี่ตัว บนโต๊ะมีชาวางอยู่กาหนึ่งกับแก้วชาที่จัดวางเป็นวง และมีไอร้อนพุ่งออกมาเล็กน้อย บนผนังห้องมีผ้าม่านหลากสีย้อยลงมา ดูเหมือนจะนำไปสู่บ้านดินหลังอื่นๆ
หลังจากถูเอ่อร์แสดงท่าทีให้หลิ่วหมิงนั่งลงแล้ว ตนเองก็เดินเข้าไปยังห้องโถงที่อยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน ผู้อาวุโสร่างอวบที่มีผ้าสีขาวคลุมศีรษะ สวมชุดคลุมยาวผู้หนึ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามาจากห้องโถงด้านหลัง และถูเอ่อร์ก็เดินตามมา
“พี่หลิ่ว ท่านนี้ก็คือถูเก๋อเอ่อร์ ท่านผู้เฒ่าของเผ่าเรา!” ถูเอ่อร์แนะนำผู้อาวุโสให้กับเขา
“ผู้น้อยคารวะผู้เฒ่าถู!” หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูผู้อาวุโสร่างอวบเล็กน้อย พอไม่อาจรับรู้ระดับการฝึกฝนของฝ่ายตรงข้ามได้ เขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย จึงรีบกุมมือคารวะแล้วโค้งตัวกล่าว
“ท่านนี้คือสหายหลิ่วที่เจ้าพูดถึงในก่อนหน้านั้นสินะ ไม่ต้องเกรงใจไป นั่งลงเถอะ!” ผู้อาวุโสร่างอวบสังเกตหลิ่วหมิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา และเอ่ยปากออกมาเบาๆ
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่า!” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ได้ยินว่าสหายหลิ่วจับพลัดจับผลูหลงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ใช่หรือไม่?” ผู้อาวุโสร่างอวบเดินมาข้างเก้าอี้ตัวหนึ่ง และค่อยๆ นั่งลงไปก่อนถามเขาด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ผู้น้อยไม่ทราบจริงๆ ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของเผ่าท่าน ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ามีวิธีทำให้ข้าน้อยไปจากสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่ บอกท่านอย่างไม่ปิดบัง ผู้น้อยมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ไม่อาจอยู่ที่นี่นานได้” พอหลิ่วหมิงเห็นผู้เฒ่าเผ่าทรายนั่งลงแล้ว เขาก็นั่งลงตาม และเอ่ยปากถามขึ้นมา
“สถานที่แห่งนี้เป็นแดนต้องห้ามแห่งหนึ่ง ภายในหลายหมื่นปีมานี้มีแต่คนเข้ามา มีคนออกไปได้น้อยมาก หากคิดจะออกไปเกรงว่าคงเป็นเรื่องยากเป็นอย่างยิ่ง สหายหลิ่วลองอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง หากโอกาสอันดีมาถึง ก็พอจะมีโอกาสออกไปจากสถานที่แห่งนี้อยู่บ้าง” ผู้อาวุโสร่างอวบเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบกลับมาเช่นนี้
“ท่านผู้เฒ่า โอกาสอันดีที่ท่านพูดถึงคือ……” หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบถามด้วยความตกใจ
“พอโอกาสอันดีมาถึง สหายก็จะรู้เอง ก่อนวันนั้นจะมาถึงข้าไม่อาจพูดอะไรมากได้ ถูเอ่อร์จัดการที่พักให้สหายหลิ่วผู้นี้ให้ดีๆ” ผู้อาวุโสร่างอวบหัวเราะแล้วหันไปสั่งถูเอ่อร์
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ท่านผู้เฒ่าวางใจได้เลย สหายหลิ่วลองไปอยู่ที่ที่พักของข้าสองสามวันก่อน หลังจากนั้นข้าจะหาสถานที่ดีๆ ให้ท่าน และเตรียมกระโจมให้หลังหนึ่ง” ถูเอ่อร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสร่างอวบเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนพี่ถูแล้ว” หลิ่วหมิงเห็นท่าทีส่งแขกของผู้อาวุโสเช่นนี้ แม้ว่าในใจจะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ทำได้แต่ลุกขึ้นมากล่าวลาเท่านั้น
เวลาต่อมา ภายใต้การนำทางของถูเอ่อร์ หลิ่งหมิงก็มาถึงที่พักของเขา
ที่พักของถูเอ่อร์เป็นกระโจมที่มีขนาดค่อนข้างกว้างขวาง ด้านนอกดูโกโรโกโส แต่ด้านในกลับมีข้าวของครบครัน
คืนวันนั้น หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเนินทรายแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากกระโจมของถูเอ่อร์ไปไม่ไกล เขามองไปบนท้องฟ้าสีเหลืองสลัวๆ ด้วยสีหน้าลังเล
จะว่าไปมันก็แปลก สถานที่แห่งนี้กลางวันและกลางคืนเหมือนกันหมด แต่คนเผ่าทรายกลับยังคงทำงานและพักผ่อนตามเวลา ค่อนข้างจะมีกฎเกณฑ์มาก
แต่ไม่นานหลิ่วหมิงก็เรียกสติกลับมา พอนึกถึงคำพูดของผู้เฒ่าเมื่อหลายชั่วยามก่อน เขาก็เผยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ดูท่าในตอนนี้ แม้ว่าทะเลทรายแห่งนี้จะเต็มไปด้วยความลึกลับ เขาก็คงได้แต่อาศัยอยู่ในพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ชั่วคราว และค่อยๆ ไตร่ตรองถึงแผนในการไปจากที่นี่
ต่อมา เขาค่อยๆ หลับตาทั้งคู่ลง และนั่งพักผ่อนเอาแรงอยู่บนเนินทรายเล็กๆ ก่อนหน้านั้นเขาถูกปีศาจสายฟ้าตามล่ามาหนึ่งเดือนกว่าๆ ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้ากายใจเป็นอย่างยิ่ง
เวลาในหลายวันต่อมา หลิ่วหมิงเดินเตร่อยู่ในเมืองของเผ่าทราย ด้านหนึ่งเพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่ อีกด้านหนึ่งก็สอบถามข้อมูลต่างๆ ของสถานที่แห่งนี้ ช่วงเวลาเหล่านี้ เขาค้นพบว่าคนเผ่าทรายส่วนมากค่อนข้างซื่อ ไม่มีความระแวงหลิ่วหมิงที่เป็นคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังดูเหมือนว่าจะรู้อะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา และดูเหมือนจะสนใจเรื่องราวภายนอกเป็นอย่างมาก ถามตั้งแต่การดำรงชีวิตภายนอก ไปจนถึงเรื่องการกระจายอิทธิพลของผู้ฝึกฝน ทั้งยังถามแบบสะเปะสะปะ นึกเรื่องอะไรได้ก็ถามเรื่องนั้น
หลังจากหลิ่วหมิงสอบถามไปรอบหนึ่ง ถึงรู้ว่าคนเผ่าทรายเหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่ในทะเลทรายสีดำมาหลายชั่วคนแล้ว
และทะเลสีดำแห่งนี้ ก็ถูกคนเผ่าทรายขนานนามว่าแดนศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงตั้งชื่อว่าแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น มันมีสาเหตุมากมาย แต่กลับไม่มีคำพูดใดที่ถูกยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง
ชาวเผ่าทรายตั้งถิ่นฐานอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานหลายหมื่นปี แต่ไม่มีใครเคยเดินออกไปจากทะเลทรายสีดำแปลกประหลาดแห่งนี้เลย ทะเลทรายเป็นเหมือนกับกำแพงเมืองที่กั้นโลกภายนอกไว้ ขณะเดียวกันก็กักขังคนเผ่าทรายไว้ และก็คุ้มครองพวกเขาไว้ด้วยเช่นกัน
และผู้ที่บุกเข้ามาจากภายนอกอย่างหลิ่วหมิง แต่ก่อนก็มีเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากเข้ามาในดินแดนแห่งนี้แล้ว ระดับการฝึกฝนก็ถูกจำกัดอยู่ในระดับที่แตกต่างกัน พลังเวทก็ค่อยๆ สลายไป สุดท้ายก็กลายเป็นคนธรรมดา และแก่ตายในสถานที่แห่งนี้เหมือนกับคนทั่วๆ ไป
หลังจากหลิ่วหมิงฟังจบก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
หากจะให้เขามีจุดจบเหมือนกับผู้ฝึกฝนที่มาจากด้านนอกเหล่านี้ เขาย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน
หลังจากตอบคำถามของคนเผ่าทรายเหล่านี้อย่างผ่านๆ แล้ว เขาก็กลับมายังที่พักใหม่ที่ถูเอ่อร์จัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็นั่งคิดพิจารณาถึงแผนการออกไปจากสถานที่แห่งนี้อยู่ภายในกระโจมที่ค่อนข้างเงียบสงบหลังหนึ่ง
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังนั่งคิดพิจารณาวางแผนอยู่ในพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ด้วยความขมขื่นนั้น ท่ามกลางทะเลทรายสีดำที่อยู่ห่างจากพื้นที่สีเขียวไปหลายพันลี้ ท้องฟ้าถูกเมฆดำปกคลุมจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
และท่ามกลางเมฆดำ บางครั้งก็มีสายฟ้าสีฟ้าแลบออกมา ทำให้พื้นที่บริเวณรอบๆ สว่างขึ้นมา
ภายใต้เมฆดำ พายุทรายกำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง พายุหมุนสีดำจำนวนมากม้วนตัวเม็ดทรายสีดำขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เม็ดทรายค่อยๆ รวมตัวกันเป็นกระแสน้ำวนสีดำนับไม่ถ้วน และกลืนกินหมอกทรายสีดำที่พุ่งขึ้นมารอบด้านอยู่ไม่หยุด ขนาดของพายุทรายในสถานที่แห่งนี้ รุนแรงกว่าที่หลิ่วหมิงพบเจอไม่รู้ตั้งกี่เท่า
ท่ามกลางกระแสน้ำวนสีดำ มีภูเขาหินขนาดต่ำๆ ตั้งตระหง่านอยู่หลายลูก ทำให้พอที่จะหลบพายุอันน่ากลัวที่อยู่ด้านนอกได้
ขณะนี้ ชายฉกรรจ์สวมชุดคลุมสีม่วงผู้หนึ่งกับชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงกำลังยืนคุมเชิงอยู่ท่ามกลางภูเขาหินเหล่านี้
ซึ่งก็คือปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้านั่นเอง
แม้ว่าก่อนหน้านั้นทั้งสองจะเข้ามาในทะเลทรายแปลกประหลาดจากคนละทิศละทาง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงมาพบกันในสถานที่แห่งนี้ และยังเผชิญกับพายุทรายขนาดใหญ่เช่นนี้ด้วย
ขณะที่พายุรอบด้านส่งเสียงดังอยู่ไม่หยุด กระแสน้ำวนสีดำก็โจมตีภูเขาหินต่ำๆ ที่นูนขึ้นจากพื้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าภูเขาหินเหล่าจะถูกดึงออกมาในไม่ช้า
ภูเขาหินต่ำๆ เหล่านี้สั่นไหวเบาๆ ฝุ่นทรายสีดำร่วงลงตรงหน้าปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้า
ในขณะนี้ทั้งสองมองไปยังอีกฝ่ายที่อยู่ไม่ไกล ราวกับว่าไม่ได้ยินปรากฏการณ์อันน่าตกใจที่เกิดขึ้นด้านนอก และมีสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย
หลังจากปีศาจวายุเลิกคิ้วเล็กน้อย แสงสีเขียวก็เปล่งประกายทันที กระสวยหยกสีเขียวจางๆ พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ
กระสวยหยกสีเขียวหมุนวนขึ้นฟ้า และปล่อยแสงสีเขียวออกมานับหมื่นลำ ทั้งยังทะยานฟ้ากลายเป็นมังกรวายุสีเขียวที่มีขนาดยาวหลายจั้ง
พอปีศาจวายุเคลื่อนไหว ก็พุ่งขึ้นไปอยู่บนนั้น และเอาเท้าแตะหัวมังกรพายุสีเขียวเบาๆ
มังกรวายุสีเขียวแหงนหน้าส่งเสียงคำรามออกมา ร่างขนาดใหญ่หดตัวเป็นวงกลมปกป้องปีศาจวายุที่ยืนอยู่บนหัวมังกรไว้ได้พอดี
พอแสงสีเขียวเปล่งประกาย ปีศาจวายุก็ขี่มังกรวายุสีเขียวพุ่งไปนอกพายุทรายสีดำ
หลังจากมังกรวายุฝ่ากระแสทรายสีดำจำนวนมากออกมาได้ กลับต้องปะทะกับเสาพายุขนาดใหญ่อย่างไม่อาจเลี่ยงได้
“ฟู่!”
พริบตาที่มังกรวายุสีดำสลายตัวนั้น เงาร่างสีเขียวก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นมังกรวายุก็ร้องโหยหวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะสลายตัวไปจนหมดสิ้น เผยให้เห็นกระสวยหยกสีเขียวจางๆ หนึ่งอันถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป
ดูเหมือนว่าเสาพายุขนาดใหญ่นี้จะแฝงไปด้วยพลังแปลกประหลาดอันแข็งแกร่ง ต่อให้ปีศาจวายุที่แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลายก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้
มองไปที่หมอกทรายสีดำรอบๆ ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว สีหน้าของปีศาจวายุก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และไม่กล้าพุ่งออกไปด้านนอกต่อ พอโบกมือเรียกกระสวยหยกสีเขียวกลับมา แสงสีเขียวคุ้มกันตัวก็เปล่งประกายเจิดจ้าบนพื้นผิว พอเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็ถอยกลับไปอยู่ท่ามกลางภูเขาต่ำๆ เหมือนเดิม
ปีศาจวายุเพิ่งจะยืนทรงตัวได้ แสงสายฟ้าสีม่วงเจิดจ้าลำหนึ่งก็พุ่งผ่านด้านข้างเขาไป และชนเข้าใส่กระแสน้ำวนสีดำ
เกิดเสียงเปรี๊ยะๆ!
แสงสายฟ้าสีม่วงเพิ่งจะพุ่งออกไปได้สิบกว่าจั้ง ก็สลายตัวท่ามกลางกำแพงทรายอันแกร่งกร้าวจนหมดสิ้น และกลายเป็นสะเก็ดแสงสีม่วงระยิบระยับนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกัน เงาร่างสีม่วงก็พุ่งออกมาจากในนั้น และหล่นอยู่ห่างจากปีศาจวายุไปไม่ไกล
พอลำแสงดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของปีศาจสายฟ้าที่มีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก
พวกเขาทั้งสองถูกขังอยู่ในนี้มาครึ่งค่อนวันแล้ว และพายุทรายด้านนอกไม่เพียงแต่จะไม่ลดกำลังลงเท่านั้น ยังคงดุเดือดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างเวลานี้ ไม่ว่าทั้งสองจะใช้วิธีการใดๆ ก็ไม่อาจฝ่าพายุทรายออกไปได้
ที่ทำให้ทั้งสองรู้สึกตกใจยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาเข้ามาในทะเลทรายแปลกประหลาดได้ไม่นาน ก็ค้นพบว่าระดับการฝึกฝนของตนเองลดลงไปมาก ตอนนี้ระดับการฝึกฝนของทั้งสองต่างก็ลดลงไปอยู่ที่ระดับแก่นแท้ขั้นกลางกับขั้นต้น และพลังเวทก็ค่อยๆ หายไปอย่างต่อเนื่อง
………………………………