“ทะเลทรายกุ่ยโม่น่ากลัวกว่าที่เล่าลือกันมาก แต่หากจะเอาของจากคนผู้นั้นมาให้ได้ ไหนเลยจะไม่ยอมเสี่ยงอันตรายเล็กน้อย ที่สำคัญก็คือด้านข้างยังมีศัตรูตัวฉกาจคอยจ้องเขมือบอยู่ ทำให้ไม่อาจปล่อยมือไปทำได้จริงๆ”
ขณะที่ปีศาจสายฟ้าแอบรู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจนั้น พลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง พอเหลือบตามองออกไปกลับค้นพบว่าปีศาจวายุหมัวเจี๋ยกำลังมองมาทางเขาด้วยดวงตาที่คุโชน
“หมัวเจี๋ย สายตาของเจ้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังมีกะใจจะแลกมือกับข้าอยู่หรือ?” ปีศาจสายฟ้าหรี่ตาทั้งคู่ลง และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ฮึ! รอผ่านเรื่องนี้ไปได้ก่อน แค้นที่สังหารบุตรชายข้า จะต้องค่อยๆ คิดบัญชีกับเจ้าอย่างแน่นอน” ปีศาจวายุยิ้มอย่างเยือกเย็น จากหันก็หน้าไป และไม่สนใจเขาอีก
“ไม่ต้องพูดคำพูดที่ฝืนความรู้สึกเช่นนี้ การฝึกฝนระดับข้ากับเจ้า กะอีแต่ทายาทแค่คนเดียวจะนับประสาอะไร ในเมื่อข้ากับเจ้ามีโอกาสอันดีมาถึงทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว ไม่สู้มาร่วมมือกันชั่วคราวจะดีกว่าไหม?” ปีศาจสายฟ้าหัวเราะเหอะๆ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในฉับพลัน
“ร่วมมือ ร่วมมืออย่างไร? หากข้าบอกตกลง เจ้าจะวางใจจริงๆ หรือ?” หมัวเจี๋ยเผยแววตาเฉียบขาดออกมา สีหน้าดูประชดประชันเล็กน้อย
“เกี่ยวกับตำนานของทะเลทรายกุ่ยโม่ ข้ากับเจ้าต่างก็รู้อยู่แก่ใจดี ในเมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว ก็ไม่คิดจะกลับไปมือเปล่า เชื่อว่าพี่หมัวเจี๋ยก็คงคิดเช่นนี้ หากสหายยอมร่วมมือล่ะก็ ข้าผู้แซ่เลี่ยจะมีอะไรที่ไม่สามารถวางใจได้เล่า” เลี่ยเจิ้นเทียนได้ยินก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย และกล่าวด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
แต่หลังจากหมัวเจี๋ยได้ยินคำพูดนี้แล้ว กลับครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ
ชื่อของทะเลทรายกุ่ยโม่ ความจริงแล้วในแผ่นดินทางตอนใต้นี้ มีคนรู้จักชื่อของทะเลทรายกุ่ยโม่ไม่น้อย
จะว่าไปแล้ว ทะเลทรายสีดำแห่งนี้ราวกับเป็นมิติลี้ลับที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เคยปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ ในดินแดนทางตอนใต้อยู่หลายครั้ง
ที่แต่ทว่าที่ทำให้ชื่อเสียงของกุ่ยโม่เป็นที่รู้จักไปทั่วดินแดนทางตอนใต้นั้น กลับเป็นเรื่องเล่าลือเมื่อหลายพันปีก่อน
ในเวลานั้นว่ากันว่า มีคนบุกเข้าไปในทะเลทรายกุ่ยโม่ และเก็บสมบัติส่วนตัวของขุยตี้ อดีตประมุขของหนานฮวงมาได้ชิ้นหนึ่งตรงขอบทะเลทราย และนำกลับมาอย่างปลอดภัย
พอเรื่องนี้แพร่ออกไป ก็ทำให้ดินแดนรกร้างทางตอนใต้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาทันที ผู้ฝึกฝนทั่วทั้งดินแดนทางตอนใต้ต่างก็รู้สึกสั่นไหว ขณะเดียวกันยังพัวพันไปถึงกลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ หลังจากผ่านกลิ่นคาวเลือดไปหลายร้อยปี ถึงค่อยๆ สงบลง
แต่ว่าหลังจากผ่านเรื่องนี้มา แม้ว่าจะมีคนสืบหาร่องรอยทะเลทรายกุ่ยโม่นับไม่ถ้วน แต่เบาะแสของมันก็ยังคงเป็นปริศนามาโดยตลอด
ทะเลทรายกุ่ยโม่มักจะปรากฏตัวหนึ่งครั้งในรอบหลายสิบปีไปจนกระทั่งนับร้อยปี ทั้งยังมีตำแหน่งที่ไม่แน่นอน และหายไปอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสั้นๆ
บางครั้งก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ ได้ข่าวคราวมาแล้ว แต่พอส่งคนไปดู ทะเลทรายก็หายไปอย่างแปลกประหลาด
ด้วยเหตุนี้ พอผ่านไปหลายพันปี สามารถพูดได้ว่า ผู้ฝึกฝนระดับสูงที่สามารถเข้าไปในทะเลกุ่ยโม่ได้จริงๆ มีอยู่น้อยมาก
แม้ว่าจะมีผู้ฝึกฝนอิสระจำนวนน้อยที่เข้าไปได้ แต่นอกจากคนผู้นั้นที่โชคดีนำสมบัติกลับมาได้ในตอนแรกแล้ว ก็ไม่มีคนที่สองที่สามารถออกมาได้อีก
ดังนั้นจึงมีคนพูดว่าทะเลทรายกุ่ยโม่เป็นแดนอันตรายแห่งหนึ่ง
และผู้โชคดีเพียงหนึ่งเดียวผู้นั้น กลับถูกคนสังหารปิดปากและชิงสมบัติไปนานแล้ว ด้วยเหตุนี้สถานการณ์แท้จริงของทะเลทรายกุ่ยโม่เป็นอย่างไรนั้น ในหลายปีมานี้ไม่มีใครรู้เลย
แต่เกือบทุกกลุ่มอิทธิพลต่างก็เชื่อกันว่า มันจะต้องเกี่ยวข้องกับขุยตี้แห่งหนานฮวงที่หายตัวไปอย่างฉับพลันเมื่อหลายหมื่นปีก่อน และยังมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสถานที่เขาละสังขารและสืบสานในตอนท้าย
แต่ในมันเมื่อพัวพันถึงซากวัตถุโบราณของขุยตี้ที่เป็นผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แห่งหนานฮวง ต่อให้จะอันตรายแค่ไหน ก็ยังมีคนกระโจนเข้าหาอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์อย่างปีศาจสายฟ้ากับปีศาจวายุ ก็ไม่อาจต้านทานการล่อลวงของมันได้
“ร่วมมือกันชั่วคราวก็ได้ แต่นั่นแค่เพื่อให้พ้นไปจากสถานที่แห่งนี้เท่านั้น ส่วนจะหาซากโบราณของขุยตี้แห่งหนานฮวงในตอนท้ายได้หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่วาสนาของแต่ละคนเถอะ” หมัวเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงถอนหายใจยาวๆ ก่อนกล่าวออกมา
“ได้! สหายหมัวเจี๋ยช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้!” ปีศาจสายฟ้าเลี่ยเจิ้นเทียนตกปากรับคำแล้วแหงนหน้าหัวเราะออกมา
แต่ว่าทั้งสองต่างก็รู้แก่ใจดีว่า พันธมิตรในครั้งนี้ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ อยู่แล้ว เพียงแค่รอค้นพบซากโบราณแล้ว ก็อาจจะแตกคอกันได้ตลอดเวลา
จะว่าไปแล้ว แม้จะเล่าลือกันว่าทะเลทรายกุ่ยโม่อันตรายเป็นอย่างมาก แต่ว่าทั้งสองกลับไม่ใส่ใจแต่อย่างใด
เพราะผู้ฝึกฝนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ในก่อนหน้านั้น ว่ากันว่ามีระดับการฝึกฝนสูงสุดก็แค่ระดับแก่นแท้เท่านั้น
“ดูท่าพายุทะเลทรายนี้ยังต้องรออีกสักระยะหนึ่งถึงจะสงบลง พวกเราอาศัยโอกาสนี้ฟื้นฟูพลังเวทก่อน จากนั้นค่อยร่วมมือกันฝ่าออกไป” เลี่ยเจิ้นเทียนมองดูพายุทรายที่อยู่ด้านนอกแล้วเสนอแนะขึ้นมา
“ก็ดีเหมือนกัน” หมัวเจี๋ยพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้
จากนั้นทั้งสองก็ทานโอสถฟื้นฟูพลังโดยไม่ต้องบอกกล่าว และหามุมนั่งขัดสมาธิลงไป
……
นอกเมืองซาม่านที่คนเผ่าทรายรวมตัวอาศัยอยู่ มีพายุทรายม้วนตัวขึ้นมาเป็นระยะๆ แต่ไม่ว่าพายุจะรุนแรงแค่ไหน พอมาถึงบริเวณเขตพื้นที่สีเขียว มันก็สลายตัวไปเอง หรือไม่ก็อ้อมผ่านไป
ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งค่อยๆ เดินออกจากเมืองซาม่าน หลังจากกวาดสายตามองดูรอบๆ แล้ว ก็เดินไปนั่งขัดสมาธิลงบนเนินทรายแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
เขาก็คือหลิ่วหมิงที่หลงเข้ามาในทะเลทรายสีดำแห่งนี้นั่นเอง
พริบตาเดียว เขาก็มาอยู่ในเขตพื้นที่สีเขียวแห่งนี้เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว สำหรับสถานการณ์ในสถานที่แห่งนี้ เขาก็ทำความเข้าใจมาไม่น้อยแล้ว
โดยเฉพาะหลังจากที่ได้อ่านบันทึกของผู้ฝึกฝนท่านหนึ่งที่ระเหเร่ร่อนมาถึงสถานที่แห่งนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับที่มาของทะเลทรายแปลกประหลาด และตำนานเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ถึงค่อยๆ แจ่มชัดในสมองของหลิ่วหมิง
แต่ก่อนเขาไม่เคยได้ยินตำนานของทะเลทรายกุ่ยโม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะมาถึงดินแดนทางตอนใต้มาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว แต่ส่วนมากล้วนปรุงโอสถกับทำการฝึกฝน มีเวลาสัมผัสกับคนอื่นไม่มาก ไหนเลยจะมีเวลาไปสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานเหล่านี้
ถึงตอนนี้หลิ่วหมิงก็ยังไม่ได้สนใจซากโบราณของขุยตี้แห่งหนานฮวงมากนัก ที่เขาสนใจที่สุดก็คือ ทำอย่างไรถึงจะสามารถออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้
เพราะขุยตี้แห่งหนานฮวงผู้นั้นเป็นผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ต่อให้จะมีสิ่งของถูกทิ้งอยู่ที่นี่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝนระดับผลึกคนหนึ่งจะสามารถเข้าไปเอี่ยวด้วยได้ เพียงแค่ชั้นจำกัดที่วางไว้อย่างไม่ใส่ใจ ก็อาจจะสังหารเขาจนเสียชีวิตได้แล้ว
และตามสิ่งที่เขาได้ยินได้เห็นในหลายวันมานี้ ดูเหมือนว่าคนเผ่าทรายเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับขุยตี้แห่งหนานฮวงผู้นี้ ในคำพูดยังแฝงไปด้วยความเคารพผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่ละสังขารไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อน
น่าเสียดายที่เขาไม่อาจซักถามข้อมูลที่เป็นรูปธรรมได้อย่างละเอียด
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองดูแล้วก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และหลับตาเข้าฌาน
หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขาก็ลืมตาทั้งสองและถอนหายใจออกมาเบาๆ
ที่คนเผ่าทรายพูดมานั้นไม่มีผิด ปราณจิตวิญญาณฟ้าดินของสถานที่แห่งนี้เบาบางเป็นอย่างมาก ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ฝึกฝนที่มาจากภายนอกทำการฝึกฝน
คนเผ่าทรายในสถานที่แห่งนี้อาศัยร่างที่มีคุณสมบัติพิเศษ สามาถดูดซับพลังปราณจากพื้นที่ใต้ดินลึกเพื่อทำการฝึกฝนได้ แต่สำหรับผู้ฝึกฝนที่มาจากภายนอกแล้ว ความเร็วในการดูดซับลดลงไปร้อยกว่าเท่า เสมือนน้ำน้อยที่แพ้ไฟ แม้กระทั่งอยู่ไปนานๆ เข้าพลังเวทในร่างก็จะค่อยๆ สลายไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ระดับการฝึกฝนลดลง
ดีที่เขายังมีโอสถแฝงจิตวิญญาณกับโอสถจินหยวนติดตัวอยู่จำนวนหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ยังไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้ แต่หากต้องอยู่ที่นี่หลายปีตามที่ผู้เฒ่าเผ่าทรายบอกล่ะก็ ผลลัพธ์คงเลวร้ายจนไม่อยากจะนึกถึง
ในเมื่อการฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้มันยากลำบากนัก หลิ่วหมิงก็ขี้เกียจจะทำเรื่องที่มันไร้ประโยชน์ เขาจึงนอนหงายลงบนเนินทราย เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเหลืองสลัวๆ ด้วยท่าทีเหม่อลอยเล็กน้อย
ตั้งแต่เหยียบเท้าเข้ามาในโลกของการฝึกฝน ความคิดของเขาไม่เคยห่างจากคำว่าฝึกฝนไปเลย ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ ยังคงรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาเล็กน้อย
ทะเลทรายตรงหน้าเต็มไปเม็ดทรายสีดำ ท้องฟ้าก็ขมุกขมัวอึมครึมไปทั้งแถบ สามารถพูดได้ว่าไม่มีทัศนียภาพอะไรให้ดูเลย แต่ในสายตาหลิ่วหมิงกลับเป็นทิวทัศน์มหัศจรรย์ที่หาได้ยากยิ่ง
ทะเลทรายสีดำเปล่าเปลี่ยวสุดลูกหูลูกตา กว้างใหญ่หมื่นลี้ กว้างไพศาลหาที่สุดไม่ได้ ภายใต้การสะท้อนของท้องฟ้าสีเหลืองขมุกขมัว แลดูอันสง่างามเป็นอย่างยิ่ง!
ภาพบรรยากาศเช่นนี้ ทำให้ผู้ที่มองออกไปรู้สึกอ้างว้างและโศกาอาดูรเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงเหม่อมองอยู่พักหนึ่ง จิตใจของเขาล่องลอยออกไป
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เขาถึงดึงสติกลับมาและพลิกฝ่ามือขึ้นมาข้างหนึ่ง และหินแร่สีขาวเงินก้อนหนึ่ง ก็ปรากฏบนฝ่ามือในทันที
“พรึ่บ!”
เปลวไฟสีแดงกลุ่มหนึ่งลุกไหม้ในมือทันที มันห่อหุ้มหินแร่ไว้ พริบตาเดียวก็หลอมเหลวจนกลายเป็นของเหลวสีเงินกลุ่มหนึ่ง
เพียงแค่ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้เบาๆ ของเหลวก็เกาะตัวเป็นรูปร่าง ครู่เดียวก็กลายเป็นขลุ่ยยาวสีเงินที่ยาวราวๆ สองฉื่อ
แววตาหลิ่วหมิงหวนคิดในเรื่องอดีต และนำขลุ่ยสีเงินขึ้นมาเป่าเบาๆ
เสียงขลุ่ยบรรเลงขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเงียบวิเวก ราวกับเมฆหมอกที่ลอยขึ้นฟ้าไร้ที่พึ่งพิง เลื่อนลอยไปยังที่ไกลแสนไกล
เสียงขลุ่ยประเดี๋ยวนุ่มนวลเย็นเยือก ประเดี๋ยวเศร้ารันทดดังก้องกระหึ่ม ประเดี๋ยวทุ้มต่ำจนแทบจะขาดหาย ทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกสั่นสะเทือนใจ และมีสีหน้าห่อเหี่ยวอย่างช่วยไม่ได้
ฝีมือการเปล่าขลุ่ยนี้ เขาเรียนมาจากนักโทษที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ในตอนที่อยู่บนเกาะมฤตยู แม้ว่าเขาจะมีเวลาเป่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เหยียบเข้ามาในโลกผู้ฝึกฝน แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ยังคงแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
เสียงขลุ่ยแฝงไปด้วยอารมณ์คิดถึงบ้านเกิดโดยไม่ตั้งใจ เสียงขลุ่ยแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
ขณะนั้นเอง หญิงสาวที่สวมชุดคลุมสีขาวหิมะ มีผ้าสีขาวบางปิดหน้าก็มาปรากฏตัวด้านหลังหลิ่วหมิงอย่างไร้สุ้มเสียง ซึ่งก็คือหญิงสาวเผ่าทรายที่มีการฝึกฝนระดับผลึกที่เขาสังเกตเห็นในตอนที่มาถึงที่นี่นั่นเอง
หญิงสาวในตอนนี้ยืนเอามือขาวราวกับหิมะวางไขว้ไว้ด้านหลัง ดวงตางดงามทั้งคู่มองดูชายหนุ่มชุดที่อยู่บนเนินทรายเล็กๆ
สายลมเบาๆ ที่พัดมาไกลๆ ค่อยๆ เลิกผ้าขาวบางขึ้นมาเป็นระยะๆ เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงาม ขณะเดียวกันก็พัดฝุ่นทรายสีดำขึ้นมาจางๆ ภายใต้เสียงขลุ่ยที่บางครั้งก็สูง บางครั้งก็แผ่วโผย ทำให้ลมที่ปะทะบนใบหน้า ดูเหมือนจะอ่อนโยนขึ้นมา
หลิ่วหมิงดูราวกับไม่รับรู้อะไรเลยแม้แต่น้อย ยังคงเป่าขลุ่ยยาวสีขาวเงินในมือประดุจดังว่าในโลกนี้มีแค่ขลุ่ยยาวเลานี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
และหญิงสาวก็ยืนฟังเสียงขลุ่ยอย่างเงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อน สายตาค่อยๆ ดูเลื่อนลอยขึ้นมาเล็กน้อย
ราวกับว่าเวลาหยุดลงไปชั่วขณะ
ทะเลทรายเวิ้งว้าง เนินทรายโดดเดี่ยว บุรุษที่แหงนหน้าเป่าขลุ่ยมองท้องฟ้า โฉมสะคราญที่สดับฟังอย่างเงียบๆ ทั้งหมดนี้วาดเค้าโครงม้วนภาพที่งดงามเศร้าสร้อย และเปล่าเปลี่ยววังเวงเป็นอย่างมาก เผยให้เห็นความรู้สึกล่องลอยไร้ซึ่งตัวตน
ในที่สุดบทเพลงก็บรรเลงมาถึงช่วงท้าย เสียงขลุ่ยค่อยๆ เบาลง และหายไป
“แม่นางมานานแค่ไหนแล้ว มีเรื่องอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงค่อยๆ วางขลุ่ยลง หลังจากลุกขึ้นจากพื้นทรายแล้ว ถึงหันกลับไปถามอย่างสงบ
………………………………