“ที่ถืออยู่ในมือท่านคือสิ่งใด?” หญิงสาวเผ่าทรายไม่ได้ตอบคำถามของหลิ่วหมิง แต่กลับมองดูขลุ่ยยาวสีขาวเงินในมือหลิ่วหมิงด้วยความสนใจ
เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงได้ยินนางเอ่ยปาก น้ำเสียงแจ่มชัดไพเราะนุ่มนวลราวกับอัญมณี
“ขลุ่ยยาว เป็นเครื่องดนตรีธรรมดาชนิดหนึ่ง” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างราบเรียบ คนเผ่าทรายถูกขังอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่จนเกือบจะตัดขาดกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่รู้จักขลุ่ยยาว
“เครื่องตนตรีที่นี่ก็มี ขลุ่ยยาวนี้ข้ากลับพบเห็นเป็นครั้งแรก แต่ว่าเสียงของมันไพเราะยิ่งนัก ข้าชอบมาก!” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาอันงดงามเปล่งประกายราวกับดวงดาราบนท้องฟ้า ทำให้ทุกอย่างที่อยู่รอบด้านดูหมดสีสันไปในทันที
“แม่นางชมเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าสงบ แต่ในใจกลับรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
หลังจากสังเกตอย่างรอบคอบในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาก็ค้นพบตั้งนานแล้วว่าแม่นางผู้นี้ดูเหมือนจะมีตำแหน่งค่อนข้างสูงในเผ่าทราย และก็ไม่มีการคลุกคลีใดๆ กับเขา เหตุใดถึงเป็นฝ่ายมาสนทนาพาทีกับเขาก่อน
“ได้ยินคนอื่นบอกว่า เจ้าเดินทางไปหลายที่ในโลกภายนอก นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?” หญิงสาวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที
“ไม่ใช่เรื่องเท็จแต่ประการใด ผู้แซ่หลิ่วเคยไปสถานที่ต่างๆ มาแล้วไม่น้อยจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบรับ แต่ก็ยังไม่ทราบจุดประสงค์การมาของฝ่ายตรงข้าม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สามารถพูดเรื่องราวภายนอกกับข้าได้หรือไม่ ไม่ต้องพูดเรื่องที่เคยพูดกับคนอื่นๆ แล้ว เล่าเรื่องที่เจ้าไม่เคยเล่าให้ข้าฟังหน่อย” หญิงสาวเผ่าทรายโปรยยิ้มออกมา จากนั้นก็รวบกระโปรงแล้วนั่งลงข้างๆ หลิ่วหมิง ขณะเดียวกัน ดวงตางดงามก็มองมาด้วยความรอคอยเล็กน้อย
หลิ่วหมิงได้กลิ่นหอมเย็นๆ ของสาวพรหมจารีลอยมาจางๆ ทันใดนั้นเขาก็มองไปที่นางทีหนึ่ง แต่พอเห็นดวงตาใสแจ๋ว ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! แม่นางอยากรู้อะไร เรื่องที่ข้ารู้ ข้าจะตอบให้หมด” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าหญิงสาวเผ่าทรายผู้นี้จะมีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น แต่ทว่าบุคลิกค่อนข้างไร้เดียงสา พอได้ยินเช่นนี้นางก็เผยสีหน้าดีใจออกมา และสอบถามเรื่องราวมากมายภายนอกอย่างไม่เกรงใจ นางสอบถามสับสนปนเปไปหมด แต่เมื่อเทียบกับคนเผ่าทรายคนอื่นๆ แล้ว นางถามละเอียดกว่ามาก
นอกจากเรื่องเกี่ยวข้องกับตัวเองที่ไม่สะดวกพูดแล้ว หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ บอกนางทีละเรื่อง
หลังจากทั้งสองถามตอบกันอยู่เช่นนี้ ก็ใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว
“นี่ก็ดึกมากแล้ว วันนี้ต้องขอบคุณพี่หลิ่วมาก ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ต้องขอตัวกลับไปก่อนแล้ว” แม้ว่าหญิงสาวจะยังมีสีหน้าสนใจอยู่ แต่หลังจากมองไปทางขอบฟ้าแล้ว ก็ลุกขึ้นมากล่าวคำลา
“ที่ไหนกัน ได้พูดคุยกับแม่นาง ข้าเองก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อย” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ตอนที่พูดคุยกันในเมื่อครู่ เขาเองก็ถือโอกาสสอบถามเรื่องราวจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับทะเลทรายกุ่ยโม่ และก็ได้รู้เรื่องที่อยากรู้มาบ้าง
หญิงสาวเผ่าทรายยิ้มให้เล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกมา พอแสงจิตวิญญาณเปล่งประกายบนตัว นางก็กลายเป็นพายุทรายม้วนตัวไปทางพื้นที่สีเขียว
หลิ่วหมิงมองไปยังทิศทางที่หญิงสาวจากไปด้วยตาที่เป็นประกาย ไม่รู้ว่าในใจเขาคิดเรื่องอะไรอยู่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มีเสียงดังซ่าๆ ของเม็ดทรายดังขึ้นไม่ไกล
ห่างจากเนินทรายที่เขานั่งไปหลายสิบลี้ ม่านทรายสีดำกว้างไพศาลกำลังม้วนตัวมาทางด้านนี้ และปกคลุมท้องฟ้าเกือบครึ่งหนึ่งไว้
“เกิดพายุทรายอีกแล้ว…” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พูดพึมพำอย่างช่วยไม่ได้
ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ต้องเผชิญหน้ากับทรายสีดำที่โจมตีเข้ามาตลอดเวลา ยังคงเป็นเรื่องที่ไม่อาจแบกรับได้
จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในพื้นที่สีเขียว
เวลาในสองเดือนต่อมา ความถี่ของพายุทรายนอกเมืองซาม่านไม่เพียงแต่จะไม่ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย แต่ยังคงค่อยๆ เพิ่มความถี่ขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่จำนวนครั้งที่คนเผ่าทรายออกไปล่าสัตว์ในวันปกติ ก็ลดน้อยลงด้วย
แต่ว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้มีผลกระทบกับหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย เขายังคงเดินเตร่ไปตามสถานที่ต่างๆ ในพื้นที่สีเขียวทุกๆ วัน ยามเย็นก็จะมาเป่าขลุ่ยยาวบนเนินทรายนอกเมืองเพื่อปลดปล่อยอารมณ์
ทุกครั้งหญิงสาวงดงามผู้นั้นก็จะมาปรากฏตัวตรงเวลา และยืนฟังเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรออกมา
หลิ่วหมิงบรรเลงเพลงคนเดียว ก็รู้สึกน่าเบื่ออย่างเลี่ยงไม่ได้ มีคนฟังเพิ่มมาหนึ่งคนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก
หลังจากไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ ทั้งสองก็ค่อยๆ เริ่มสนิทสนมกันขึ้นมา
หลังจากหญิงสาวเผ่าทรายฟังจบ ก็จะสอบถามเรื่องราวของโลกผู้ฝึกฝนในภายนอก แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจก็คือ นางไม่ค่อยสนใจเรื่องราวในดินแดนทางตอนใต้สักเท่าไหร่ แต่มักจะถามเรื่องราวแปดตระกูลใหญ่ในแผ่นดินจงเทียนอยู่บ่อยๆ
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ย่อมไม่สืบราวราวเรื่องแต่อย่างใด
วันนี้ เสียงขลุ่ยที่บางครั้งก็แผ่วโผย บางครั้งก็กระชั้นถี่ ค่อยๆ ล่องลอยไปในทะเลทรายไร้ขอบเขต หลังจากจบไปหนึ่งเพลง หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา และเก็บขลุ่ยยาวในมือเข้าไป
หญิงสาวเผ่าทรายยืนมองเขาจากด้านหลังอย่างเงียบๆ ดวงตาใสแจ๋วเปล่งประกายแวววาว ทันใดนั้นนางก็พูดออกมาเบาๆ
“ข้าชื่อซาฉู่เอ๋อร์”
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปตอบด้วยรอยยิ้ม
“จะว่าไปแล้ว ข้าเองก็ยังไม่ได้บอกชื่อแซ่ ข้าชื่อหลิ่วหมิง……”
พอพูดยังไม่ทันจบ พลันเกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” บนพื้นทะเลทรายสีดำที่อยู่ห่างจากทั้งสองไปสิบกว่าจั้ง เม็ดทรายสีดำกระเด็นไปทั่วทิศ เงาร่างสีเหลืองพุ่งออกมาจากในนั้น
เงาร่างสีเหลืองกระโดดขึ้นมา และกระโจนมาทางซาฉู่เอ๋อร์
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เงาร่างสีเหลืองอยู่ใกล้ทั้งสองขนาดนี้ ในก่อนหน้าทั้งสองกลับไม่ค้นพบเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเยือกเย็นในทันที แสงแวววาวเปล่งประกายระหว่างคิ้ว กระบี่เล็กสีทองที่ยาวหนึ่งชุ่นกว่าๆ พุ่งยิงออกมา มันขยายตัวจนมีขนาดหลายฉื่อ และแผ่ปราณกระบี่ดุเดือดรุนแรงม้วนออกไปทั่วทิศ
แม้ซาฉู่เอ๋อร์จะมีการฝึกฝนระดับผลึก แต่เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์รับมือกับศัตรูนั้นไม่โชกโชนเท่าหลิ่วหมิง ปฏิกิริยาตอบกลับจึงช้าไปหน่อย เมื่อนางหันหน้ากลับมานั้น แสงสีเหลืองก็พุ่งมาประชิดตัวแล้ว
“ฟู่!”
เงาสีเหลืองส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา และหล่นลงบนพื้นทรายบริเวณนั้นท่ามกลางแสงสีเลือดอย่างรุนแรง
ซาฉู่เอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ และแสดงสีหน้าขอบคุณหลิ่วหมิง พอนางมองเห็นสิ่งที่อยู่บนพื้นอย่างชัดเจน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
จะเห็นว่าบนพื้นมีปีศาจอสูรรูปหมาป่าที่มีขนสีเหลืองเต็มตัว หูแหลมตั้งตรง โหนกแก้มปูดออกมา ร่างของมันถูกแสงกระบี่กรีดหน้าท้องจนเลือดสีแดงเข้ม และอวัยวะภายในไหลนองเต็มพื้น หัวใจสีเลือดที่มีไอร้อนแผ่ออกมายังคงเต้นอย่างช้าๆ
คิ้วและตาของอสูรตัวนี้ลู่ต่ำลง มองผ่านๆ ยังคิดว่าเป็นสุนัขผอมโซตัวหนึ่ง แต่ทว่าพอมองดูหางยาวสีน้ำตาลเทาของมันกับคมเขี้ยวเต็มปาก ถึงรู้ว่ามันจะต้องเป็นอสูรร้ายที่กระหายเลือดชนิดหนึ่ง
หลิ่วหมิงมองดูศพปีศาจอสูรตรงพื้น และดวงตาของเขาก็ฉายแววสงสัยอย่างอดไม่ได้
แม้ว่าอสูรตัวนี้จะมีรูปร่างไม่น่ากลัว แต่ทว่าร่างกายทุกส่วนล้วนแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ การลงมือของหลิ่วหมิงในเมื่อครู่ดูเหมือนจะไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่ความจริงแล้วกลับใช้พลังไปสี่ถึงห้าส่วน ทั้งยังกระตุ้นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ ถึงพอที่จะทำลายเกราะป้องกันของอสูรตัวนี้ได้
“นี่คือหมาไนทราย พี่หลิ่วระวังหน่อย ปีศาจอสูรชนิดนี้จะอยู่รวมกันเป็นฝูง จะไม่ปรากฏตัวเพียงตัวเดียวอย่างแน่นอน” ซาฉู่เอ๋อร์พูดออกมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ทรายสีดำรอบด้านรวมตัวกันในมือของนางจนกลายเป็นดาบทรายที่ยาวจั้งกว่าๆ ขณะเดียวกันก็จ้องมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง
หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา และเรียกกระบี่บินกลับมาถือไว้ในมือ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถามออกไปนั้น
พลันเกิดเสียงดังฟู่ๆ รอบด้าน เงาร่างสีเหลืองหลายเงาเคลื่อนไหวไปมา จากนั้นหมาไนทรายหลายตัวก็พุ่งออกพื้นทราย และล้อมรอบทั้งสองพร้อมส่งเสียงคำรามอยู่ไม่หยุด
หมาไนทรายตัวหนึ่งที่มีรูปร่างค่อนข้างใหญ่ยกกรงเล็บคู่หน้าขึ้นมาพร้อมกับแหงนหน้าส่งเสียงเห่าหอน และเคลื่อนไหวมาตรงหน้าของทั้งสอง
สายตาของปีศาจอสูรตัวนี้มองข้ามทั้งสอง ไป หลังจากมองดูศพหมาไนที่อยู่ด้านหลังซาฉู่เอ๋อร์ทีหนึ่งแล้ว ก็แหงนหน้าส่งเสียงหอนอย่างโหยหวน
“บรู๊ววว!”
เสียงหอนเศร้ากำสรดเป็นอย่างยิ่ง ประจักษ์ชัดว่าหมาไนตัวที่ถูกสังหารอาจจะเป็นลูกของมันก็ได้
ขณะที่ปีศาจอสูรตัวนี้ก้มหน้ามองทั้งสองนั้น สายตาก็ดูเย็นยะเยือกเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นเส้นสีเขียวเล็กๆ ก็โผล่ขึ้นบนระหว่างคิ้วของมัน และดวงตาสีเขียวตั้งตรงดวงหนึ่งก็ค่อยๆ เปิดออกมา ลำแสงสีเขียวแปลกประหลาดพุ่งออกจากในนั้น และพุ่งใส่หลิ่วหมิงทั้งสอง
หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ขณะที่กำลังจะทำการต้านทานนั้น ดูเหมือนว่าซาฉู่เอ่อร์ที่อยู่ด้านข้างจะรับรู้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว นางทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว จากนั้นกำแพงทรายก็ก่อตัวขึ้นตรงหน้าของทั้งสอง
จะว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเห็นคนเผ่าทรายทำการต่อสู้ ซาฉู่เอ๋อร์ไม่ได้ร่ายคาถาออกมา เพียงแค่ทำท่ามือและโบกมือข้างหนึ่งไปด้านหน้า ครู่เดียวกำแพงทรายก็ก่อตัวขึ้นมาแล้ว
“ตู๊ม!”
ลำแสงสีเขียวปะทะใส่กำแพงทรายสีดำโดยตรง จากนั้นก็สลายตัวเป็นหมอกเมฆ และหมอกเมฆก็สลายตัวกลายเป็นจุดสีเขียวแนบชิดติดกับกำแพงทรายราวกับวิญญาณที่ล่องลอย และค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในช่องว่างระหว่างเม็ดทรายสีดำอยู่ไม่หยุด
ภายใต้การห่อหุ้มของแสงสีเขียว ทำให้กำแพงทรายสั่นสะเทือนขึ้นมา พอแสงสีเขียวเปล่งประกาย กำแพงทรายก็เกาะตัวเป็นหินสีดำเขียวในพริบตา ครู่ต่อมาก็ระเบิดกระจายออกมา
เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวาง ลำแสงสีเขียวก็ทะลวงผ่านกำแพง และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงทั้งสอง
ซาฉู่เอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง “ฮึ!” ดาบทรายสีดำในมือตวัดใส่แสงสีเขียวแปลกประหลาดเบาๆ พอแสงดาบเปล่งประกาย แสงสีเขียวเหล่านี้ก็ถูกฟันจนสลายไปในพริบตา
“แม้ว่าหมาไนทรายเหล่านี้จะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้น แต่พลังป้องกันกลับน่าตกใจเป็นยิ่งนัก อีกทั้งหมาป่าไนที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่ง ยังสามารถอาศัยดวงตาที่สามตรงหน้าผาก ยิงแสงที่ทำให้วัตถุกลายกลายเป็นหินได้ ทำให้ต้องป้องกันไม่หวาดไม่ไหว พี่หลิ่วจะต้องระวังให้มาก” ซาฉู่เอ่อร์นำดาบทรายสีดำมาตั้งขวางไว้ตรงหน้า และพูดเตือนหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนนางจะมีประสบการณ์ต่อสู้ไม่มาก แต่กลับรู้จักหมาไนทรายเหล่านี้เป็นอย่างดี
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง นางก็เคลื่อนไหวมาปรากฏตัวด้านหลังหมาไนทรายตัวที่มีขนาดใหญ่สุดตัวนั้น และฟันดาบในมือออกไปอย่างโหดเหี้ยม
ดวงตาของอสูรตัวนี้เป็นประกาย ดูเหมือนมันจะมองเห็นถึงความร้ายกาจของดาบทรายสีดำเล่มนี้ จึงไม่กล้ารับมือโดยตรง ทำได้แค่บิดตัวอย่างรวดเร็ว และหลบดาบทรายไปได้อย่างหวุดหวิด
ในที่สุดซาฉู่เอ๋อร์ก็แสดงพลังของผู้แข็งแกร่งระดับผลึกออกมา เพียงแค่สะบัดข้อมือ ดาบทรายสีดำก็หลุดออกจากมือ และสั่นสะท้านก่อนแยกร่างออกเป็นสาม และพุ่งออกไปปิดกั้นทางถอยของหมาไนทรายที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ตัวนี้ไว้
………………………………