“แดนนรกเก้าขุม! เผ่ายมบาล! ผู้อาวุโส แดนนรกเก้าขุมมีจริงหรือ?”
หลิ่วหมิงฟังจบกลับสูดหายใจเข้าด้วยความเย็นสะท้าน เขาคิดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชากระดูกดำจะมีที่มายิ่งใหญ่เช่นนี้
“แน่นอนว่าย่อมมีอยู่จริง บางทีแดนแห่งนี้อาจอาจจะเป็นเรื่องว่างเปล่าเลือนลางในสายตาผู้ฝึกฝนทั่วไปมาก แต่สำหรับคนระดับข้าแล้ว มันมีอยู่จริงอย่างแน่นอน แม้กระทั่งข้าเองก็เคยไปแดนแห่งนี้ครั้งหนึ่ง ดังนั้นถึงได้รู้ที่มาของเคล็ดวิชากระดูกดำ น่าเสียดายที่ข้าฝึกฝนวิชาหุ่นเป็นหลัก ไม่ค่อยได้สนใจวิชาที่มีผลต่อความแข็งแกร่งของร่างกายมากนัก ดังนั้นจึงไม่คิดจะไปหาส่วนที่เหลือ” หุ่นเด็กผู้หญิงกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่งหมิงฟังจบก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่พักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดไตร่ตรองเงื่อนไขที่เด็กหญิงเสนออยู่
ต้องบอกว่าเงื่อนไขที่เด็กหญิงเสนอนี้ไม่เลว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่งเขาออกไป หรือว่าเคล็ดวิชากระดูกดำสิบขั้นแรก สำหรับเขาแล้ว ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้
แม้ว่าการทำลายหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นจะอันตราย แต่หากเขากล้าปฏิเสธล่ะก็ คาดว่าเด็กหญิงคงลงมือสังหารเขาอย่างไม่ไว้หน้าทันที
เช่นนี้เขาก็ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว
“ดี! ในเมื่อผู้อาวุโสแสดงความจริงใจถึงเพียงนี้ ผู้น้อยจะยอมเป็นสุนัขและม้ารับใช้ หวังว่าผู้อาวุโสจะรักษาสัญญา” หลังจากหลิ่วหมิงตัดสินใจได้แล้ว ก็สูดหายใจเข้าเข้าลึกๆ และรับปากในที่สุด
“เฮ่อๆ! ข้าเป็นคนระดับใดกัน ไหนเลยจะทำเรื่องผิดสัญญาได้ วางใจเถอะ! เพียงแค่เจ้าช่วยข้า ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามนั้น”
พอเด็กหญิงเห็นว่าหลิ่วหมิงรับปากแล้ว นางก็เผยสีหน้าดีใจออกมา
แม้ว่านางจะเป็นแค่ร่างของหุ่น แต่ความรู้สึกบนใบหน้าราวกับมีชีวิต มองไม่เห็นความแข็งกระด้างเลยแม้แต่น้อย สมกับเป็นหุ่นมนุษย์ที่ผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์สร้างขึ้นมาเองกับมือจริงๆ
“ใช่สิ! ข้าไม่ได้สัมผัสกับโลกภายนอกมานานแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าพกหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งที่ช่วยเสริมพลังในเวลาเร่งด่วน มาหรือไม่?”
“ผู้น้อย…” หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งทันที ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดนั้น ก็พบว่าแหวนย่อส่วนบนนิ้วสั่นสะท้าน และหลุดออกจากมือไปหาเด็กหญิงโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ จึงได้แต่ปิดปากเงียบเท่านั้น
นี่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแย่งเอาไป ไหนเลยจะมีท่วงทีของยอดฝีมืออาวุโส
ดูเหมือนเด็กหญิงจะทำเป็นไม่เห็นสีหน้าดูไม่ได้ของหลิ่วหมิง พอเอานิ้วลูบแหวนย่อส่วนเบาๆ ก็เปิดชั้นจำกัดออกมาได้ และก็เทสิ่งของในนั้นออกมากองอยู่บนพื้นทั้งหมด
ในนั้นมียันต์ และอาวุธจิตวิญญาณชนิดต่างๆ และก็มีวัตถุดิบปรุงโอสถกับวัสดุหลอมอาวุธหลายชนิด ทั้งยังมีหินจิตวิญญาณโปร่งแสงเป็นกองๆ ทั้งหมดนี้เป็นสมบัติที่หลิ่วหมิงตั้งใจสะสมในหลายปีมานี้
เมื่อเด็กหญิงเห็นหินจิตวิญญาณเหล่านี้ ก็ตาเป็นประกาย มีรอยยิ้มโผล่ออกมาบนใบหน้า จากนั้นพอโบกมือข้างหนึ่ง พลังไร้รูปก็พุ่งขึ้นมา และม้วนตัวหินจิตวิญญาณไปทั้งหมด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ใจกระตุกอยู่พักหนึ่ง!
อย่างที่รู้ว่า ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาและความตั้งใจไปเท่าไหร่ถึงหาหินจิตวิญญาณเหล่านี้มาได้ รวมกับที่ได้มาจากแดนลึกลับในเขาเหลยฉือแล้ว มีทั้งหมดหลายสิบล้าน ตอนนี้กลับถูกเด็กหญิงผู้นี้เอาเปรียบ นับว่าหามาให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์แล้ว!
“เอ๊ะ!”
หลังจากเด็กหญิงเก็บหินจิตวิญญาณไปแล้ว นางก็กวาดสายตามองดูพื้นอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็อุทานออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ไม่เห็นว่านางจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย แต่วัสดุหินแร่บนพื้นกลับถูกผลักไปกองอีกด้าน เผยให้เห็นศพแห้งเหี่ยวที่ซ่อนอยู่ในนั้น
มันคือศพปีศาจนั่นเอง!
“เจ้าหนูน้อย ดวงของเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะเอาศพของระดับดาราพยากรณ์มาได้ ทั้งยังคงสภาพได้สมบูรณ์เช่นนี้ ไม่ถูกต้อง! กลิ่นไอนี้…คือศพมนุษย์ปีศาจ จุ๊ๆ! ไม่เลว! ไม่เลว! ศพปีศาจระดับดาราพยากรณ์เป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก แต่ว่าของสิ่งนี้อยู่ในมือของเจ้าก็เหมือนกับไก่ได้พลอย ข้าจะฝืนช่วยเจ้าจัดการก็แล้วกัน” เด็กหญิงจ้องมองศพปีศาจสองสามที จากนั้นก็เผยสีหน้าดีใจออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง ศพปีศาจก็ม้วนตัวขึ้นมา และกะพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้หลิ่วหมิงจะหัวเราะอย่างขมขื่นที่ได้ยินเช่นนี้ แต่ในใจก็แอบกร่นด่าบรรพบุรุษของเด็กผู้หญิงคนนี้อย่างอดไม่ได้
เดิมทีเขาคิดจะปรับแต่งเป็นศพบ่มเพาะ แต่ทว่าระดับการฝึกฝนยังไม่พอ และยังหาเคล็ดวิชาที่เหมาะสมไม่ได้ ถึงวางทิ้งไว้จนถึงทุกวันนี้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามแย่งไปต่อหน้าต่อตา
หลังจากเด็กหญิงได้ศพปีศาจไปแล้ว ก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก จากนั้นก็กวาดสายตาลงบนสิ่งของกองนั้น
หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมาอีกครั้ง กลัวว่า ‘ผู้ทรงพลัง’ ใจดำผู้นี้จะถูกใจสิ่งของอะไรขึ้นมาอีก
ดีที่ว่าครั้งนี้เด็กหญิงไม่ได้รู้สึกสนใจสิ่งของอย่างอื่นอีก แร่กลับก้มมองยันต์พลังผ้าเหลืองในมือ และหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“วางใจเถอะ! ในเมื่อข้าเอาของของเจ้าไปเยอะขนาดนี้ ข้าไม่เอาไปเปล่าๆ อย่างแน่นอน ข้าว่าถึงแม้เจ้าจะมียันต์นักรบพลังผ้าเหลืองผืนนี้ แต่ก็ใช้เหมือนกับยันต์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น เสียดายสิ่งของล้ำค่าจริงๆ เอาอย่างนี้เถอะ! นี่คือคัมภีร์ปรับแต่งยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ข้าได้มันมาในตอนที่เข้าไปในแดนต้องห้ามแห่งหนึ่งในปีนั้น แม้ว่าจะมีสภาพชำรุดเล็กน้อย แต่ก็เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง เอามาแลกหินจิตวิญญาณกับศพปีศาจของเจ้าก็แล้วกัน นับว่าเหลือเฟือแล้ว”
เด็กหญิงกล่าวจบ ก็พลิกมือข้างหนึ่งหยิบเล่มคัมภีร์สีดำที่ดูไม่เตะตาเลยแม้แต่น้อยออกมา และโยนออกไปพร้อมกับยันต์ในมือและแหวนย่อส่วน
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” หลิ่วหมิงได้แต่กล่าวขอบคุณ และรับสิ่งของไว้ จากนั้นก็เก็บสิ่งของบนพื้นทั้งหมดใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน
ส่วนคัมภีร์เล่มนั้นเขาย่อมโยนเข้าไปในแหวนย่อส่วนพร้อมกันโดยไม่คิดจะดูเลยแม้แต่น้อย
“ใช่สิ! เรื่องของคนเผ่าทรายเหล่านั้น เจ้าไม่ต้องไปสนใจแล้ว ในเมื่อพวกเขาเป็นคนที่ติดตามข้าในปีนั้น หลายปีมานี้ก็นับว่าเคารพข้ามาก รอข้าจัดการหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นได้ ย่อมไปช่วยพวกเขาเอง” เด็กหญิงมองดูหลิ่วหมิง และกล่าวออกมา
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็มีเสียงคาถาที่ยากจะเข้าใจดังออกจากปากของเด็กหญิง มือเล็กๆ โบกไปยังทิศทางบางแห่ง และปล่อยพลังออกไป
……
ในขณะเดียวกัน นอกพระราชวัง
หลังจากหลิ่วหมิงเข้าไปในตำหนักใหญ่แล้ว ซาฉู่เอ๋อร์ก็หาสถานที่เล้นลับแห่งหนึ่งเพื่อทำการซ่อนตัว
ขณะนี้นางกำลังขมวดคิ้วมองไปทางพระราชวังด้วยสีหน้าร้อนใจ มือข้างหนึ่งถูชายเสื้ออยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงเข้าไปนานเกือบครึ่งวันแล้ว แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย นางรู้สึกร้อนใจมากแต่กลับไม่รู้จะทำอย่างไร
“หรือว่าจะเกิดเรื่องกับพี่หลิ่ว?” ซาฉู่เอ๋อร์เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา แต่เนื่องจากคำสาบานของเผ่าทราย นางก็ไม่อาจเสี่ยงเข้าไปได้
ขณะที่กำลังรออย่างร้อนใจนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังมาจากด้านในประตูใหญ่ของตำหนัก
ไม่นาน หุ่นมนุษย์สีทองก็มาปรากฏตัวหน้าประตู และพุ่งมาทางที่ซาฉู่เอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่โดยไม่พูดทำเพลง
หุ่นสีทองเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก สองสามอึดใจก็มาถึงตรงหน้าสิ่งก่อสร้างที่หลิ่วหมิงซ่อนตัวอยู่ และกระโดดข้ามสิ่งก่อสร้างไปโดยตรงก่อนมาปรากฏตัวตรงหน้าซาฉู่เอ๋อร์
ซาฉู่เอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก นางรีบพุ่งถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว และอยู่ห่างจากหุ่นสีทองไปสิบกว่าจั้ง นางพลิกฝ่ามือเกาะตัวดาบทรายขึ้นมา และจ้องมองหุ่นมนุษย์ด้วยท่าทีระแวดระวัง
หุ่นสีทองกลับพร่ามัวในทันที และหายวับมาปรากฏตัวตรงหน้าหญิงสาว
พอซาฉู่เอ๋อร์สะบัดดาบทรายด้วยความตกใจ มันก็ฟันออกไปเป็นแถบผ้าสีดำ
แต่พอแขนข้างหนึ่งของหุ่นสีทองพร่ามัว แถบผ้าสีดำก็ถูกขยี้จนแตกกระจุย จากนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกาย ซาฉู่เอ๋อร์รู้สึกชาที่ท้ายทอย ไม่นานก็หมดสติไป
หุ่นสีทองเคลื่อนไหวอีกที ก็อุ้มซาฉู่เอ๋อร์ไว้ และพุ่งไปที่ประตูใหญ่ของพระราชวังอย่างรวดเร็ว
……
ภายในห้องโถง
ขณะนี้เด็กหญิงกำลังพูดอะไรบางอย่างกับหลิ่วหมิงอยู่ ดูเหมือนว่าจะทำการอธิบายเรื่องราวบางอย่างอยู่
“นี่คือแผนที่ของพระราชวัง ข้าได้ทำเครื่องหมายเส้นทางเอาไว้แล้ว ยังมีกริชทำลายวิญญาณนี้ เจ้าก็พกมันไปด้วย เปลือกภายนอกของหุ่นจิตวิญญาณแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ มีแต่อาวุธเวทชิ้นนี้เท่านั้นที่สามารถทำลายแกนด้านในของมันได้ จำไว้ให้ดี”
ขณะที่พูด เด็กหญิงก็สะบัดมือโยนสิ่งของให้หลิ่วหมิงสองชิ้น และให้เขาจดจำเส้นทางที่สามารถช่วยเขาหาหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นพบ
หลิ่วหมิงมองดูกริชแวววาวในมือที่เกือบจะโปร่งใส มีแสงแวววาวหมุนวนอยู่บนนั้นไม่หยุด และแผ่ไอเย็นสะท้านออกมาเป็นระยะๆ
เขาใจเต้นขึ้นมาทันที ในมือถือกริชทำลายวิญญาณกรีดไปตรงหน้าเบาๆ ภายใต้การเปล่งประกายของแสงเย็นสะท้าน พลันเกิดเสียงดังขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าอากาศรอบด้านก็สั่นสะเทือนหวึ่งๆ ตามไปด้วย
เขาไม่ได้ใส่พลังเวทลงไปเลยแม้แต่น้อย กริชเล่มนี้ก็มีพลังเช่นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นอาวุธเวทในตำนานที่แท้จริง
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจระคนดีใจอย่างอดไม่ได้
“เอาล่ะ! เรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้ จำเส้นทางให้ดี รีบออกเดินทางเถอะ จำไว้ให้ดีเจ้ามีเวลาแค่สามชั่วยามเท่านั้น” เด็กหญิงทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีของหลิ่วหมิง นางแค่กำชับไปสองประโยคเท่านั้น
หลิ่วหมิงย่อมพยักหน้าตอบรับ
เด็กหญิงตบมือขวาไปยังที่วางแขนบนเก้าอี้หินปะการังเบาๆ จากนั้นมือทั้งสองก็ทำท่ามือในทันที
แสงสีขาวเปล่งประกายใต้เท้าหลิ่วหมิง ค่ายกลขนาดใหญ่หลังหนึ่งเปล่งประกายออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าภาพรอบด้านพร่ามัว จากนั้นก็หายวับไปปรากฏตัวบนระเบียงทางเดินยาวๆ แห่งหนึ่ง
ระเบียงทางเดินค่อนข้างกว้างขวาง ทางเดินค่อนข้างยาวและลึกมาก ไม่ไกลจากทางเดินมีรูปสลักหินโบราณมากมาย ไม่รู้ว่าขุยตี้แห่งหนานฮวงแกะสลักด้วยตัวเองหรือเปล่า
หลิ่วหมิงส่ายหน้า พอสงบจิตใจแล้วพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น แผ่นหยกสีเงินก็ปรากฏออกมา เขาเพียงแค่นำมันมาแปะบนหน้าผาก จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า
แม้ทั่วทั้งพระราชวังจะดูไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่ แต่ว่าทางไปตำหนักด้านข้างที่มีหุ่นจิตวิญญาณนี้อยู่ มันจึงดูไกลกว่าที่หลิ่วหมิงคิดไม่น้อย
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลังจากเขาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปมา ก็มาถึงระเบียงทางเดินยาวๆ ที่มืดมิดจนยื่นมือออกไปก็มองเห็นนิ้วทั้งห้า
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รีบนำหินแสงจันทราสีขาวสลัวๆ ออกมาจากแหวนย่อส่วน หลังจากใส่พลังเวทเข้าไปเล็กน้อย หินแสงจันทราก็เปล่งประกายแวววาว แสงทรงกลดสีขาวสลัวๆ ส่องแสงออกมาจากหิน
เขาโยนหินแสงจันทราไปบนอากาศ ทันใดนั้นระเบียงทางเดินทั้งสายก็ถูกแสงสีขาวส่องสว่าง
ผลลัพธ์คือฉากที่ทำให้เขารู้สึกตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
พอมองออกไป ระเบียงทางเดินยาวๆ ด้านหน้ามีหุ่นชนิดต่างๆ ยืนอยู่เต็มไปหมด เพียงแต่ล้วนยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเท่านั้น
“สมกับเป็นที่อยู่ของขุยตี้แห่งหนานฮวงจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีหุ่นมากมายเช่นนี้!” หลิ่วหมิงเผยแววตาประหลาดใจออกมา เขาสังเกตดูหุ่นเหล่านี้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เดินไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง
ห่างจากด้านข้างเขาไปไม่ไกล หุ่นร่างมนุษย์ในชุดเกราะเงินตัวหนึ่งกำลังยืนอย่างภาคภูมิ ในมือยังถือดาบสีขาวแวววาวราวกับหยก มุมหนึ่งของดาบมีลวดลายชั้นจำกัดค่ายกลสีดำจางๆ ยี่สิบเจ็ดเส้นปรากฏอยู่รำไร
อีกด้านหนึ่ง หุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์สีเขียวสองตัวที่เหมือนกับที่ผู้เฒ่าเผ่าทรายควบคุมก็ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง
ส่วนระเบียงทางเดินทั้งสองด้านก็มีหุ่นชนิดต่างๆ ยืนอยู่หลายร้อยตัว
ในนี้มีหุ่นวิหคหินดำ หุ่นวานรยักษ์ และหุ่นนักรบชุดเกราะ ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงเคยเห็นนอกวังมาก่อน พลังของแต่ละตัวอยู่ที่ระดับของเหลวไปจนถึงระดับผลึก
ภายใต้สถานการณ์ที่ระดับการฝึกฝนของเขาถูกระงับไว้ คงสามารถรับมือกับจำนวนหนึ่งในนั้นได้อย่างไม่มีปัญหา แต่หากเข้ามาพร้อมกันหลายร้อยกว่าตัวล่ะก็ เขาคงได้แต่วิ่งหนีไปไกลๆ แล้ว
………………………………