“ต้องโทษที่ข้าไร้ความสามารถ สองปีแล้วยังสอบไม่ติด แต่ข้าได้นัดกับบัณฑิตคนอื่นๆ แล้วพวกเราจะไปทบทวนบทเรียนด้วยกันที่ห้องหนังสือแห่งหนึ่งในอำเภอ เพื่อเตรียมการสอบในครึ่งปีให้หลัง สิ้นเดือนนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว น้องพี่วางใจเถอะ! วันหน้าข้าหลิ่วหมิงจะต้องสอบติดจอหงวน และสวมเครื่องแบบเต็มยศกลับบ้านเกิด ให้เจ้ากับเฟิงเอ๋อร์ได้ใช้ชีวิตที่ดีๆ” ชายวัยกลางคนกอดหญิงคนรักไว้ในอ้อมอก และพูดข้างหูของนางเบาๆ
พอได้ยินว่าเขาจะไปจากหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อเข้าไปในเมือง นางก็ไม่อาจทนความอัดอั้นตันใจได้อีก น้ำตาอุ่นๆ สองสายไหลออกมาอย่างเงียบๆ
“ท่านพี่ ท่านจงไปอย่างวางใจเถอะ! เรื่องในบ้านมีข้าคอยดูแลอยู่ เฟิงเอ๋อร์ก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว รู้เรื่องหมดแล้ว ท่านจงอ่านหนังสืออย่างสบายใจ สอบได้ลาภยศในเร็ววัน แต่ว่าท่านพี่ต้องระมัดระวังสุขภาพให้มาก อย่าได้หักโหมเกินไปเด็ดขาด ท่านปฏิบัติต่อตนเองขาดตกบกพร่องเช่นนี้ หากไม่มีสุขภาพดีๆ แล้ว ต่อให้จะสอบได้ลาภยศแล้วจะทำอะไรได้?” หญิงสาวกัดริมฝีปากสีแดงเบาๆ นางพยายามอดกลั้นความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ไว้ และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อย
“น้องพี่วางใจเถอะ! ข้าไปในครั้งนี้หากสอบไม่ติดก็จะไม่กลับบ้าน!” ชายวัยกลางคนตบหลังหญิงผู้นี้เบาๆ และกล่าวด้วยสายตาหนักแน่น
หญิงสาวได้ยินก็มีสีหน้าซีดขาว นางอยากจะพูดอะไรออกมา ก็กลัวจะทำร้ายความกระตือรือร้นของสามี จึงได้แต่ซ่อนความเจ็บปวดไว้ในใจ และยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
เจ็ดวันต่อมา ข้างทางเดินคดเคี้ยวเล็กๆ นอกหมู่บ้าน ชายสวมชุดสีขาวที่สะพายห่อผ้าสัมภาระอยู่บนหลัง กำลังโบกมือให้กับแม่ลูกคู่หนึ่งอย่างอาลัยอาวรณ์
ชายผู้นี้กอดภรรยาของเขาไว้แน่น หลังจากจูบหน้าผากของนางเบาๆ แล้ว ก็โค้งตัวไปลูบศีรษะของบุตรชาย
“เฟิงเอ๋อร์ ดูแลแม่ของเจ้าให้ดี พ่อจะรีบกลับมาโดยเร็ว” ชายวัยกลางคนระงับความอาลัยอาวรณ์ไว้ในใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่อ เฟิงเอ๋อร์รู้แล้ว ข้ากับท่านแม่จะรอท่านกลับมาอยู่ที่บ้าน” เด็กชายพยักหน้าและกล่าวด้วยสายตาหนักแน่น
ชายวัยกลางคนตบหัวเด็กชายเบาๆ อีกครั้ง หลังจากหัวเราะออกมาเบาๆ แล้ว ก็หมุนตัวเกินไปยังปากทางหมู่บ้าน และไม่หันหน้ากลับมาอีก
เพราะเขากลัวว่าหากหันจะกลับไป อาจทำให้สูญเสียความกล้าที่จะเดินจากไปได้
ภรรยาและลูกยังคงมองดูแผ่นหลังของเขาด้วยความอาลัยอาวรณ์ เขาเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นจุดสีขาว และหายไปตรงปลายถนนเส้นเล็กๆ
ครึ่งเดือนต่อมา ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากบ้านของสกุลหลิ่วไปหลายร้อยลี้
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี บนถนนสายหลักที่ทอดยาวจากทางด้านตะวันตกไปทางตะวันออก มีผู้คนเบียดเสียดกันจำนวนมาก เสียงตะโกนของพ่อค้าหาบเร่ และลูกน้องของร้านค้าต่างๆ ส่งเสียงดังอยู่ไม่หยุด เป็นภาพที่คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
ชายวัยกลางคนใบหน้างดงาม สวมชุดสีขาว กำลังแบกห่อผ้าค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องหนังสือที่ตั้งอยู่หัวมุมถนนสายหลัก
ตั้งแต่นั้นมา ห้องรับรองในห้องหนังสือแห่งนี้ ก็มีแสงตะเกียงส่องสว่างทุกคืน มันส่องสะท้อนเงาคนผู้หนึ่งที่ถือหนังสือ และส่ายศีรษะเพื่อศึกษาอย่างตั้งใจ
ครึ่งปีต่อมา ตรงหน้าป้ายเกียรติยศ มีศีรษะของคนเบียดขยับไปมา เสียงแสดงความยินดี และเสียงคร่ำครวญดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“พี่หลิ่ว อย่าท้อใจไปเลย ปีนี้สอบไม่ได้ ปีหน้าก็ยังสามารถสอบได้อีก” บัญฑิตชุดฟ้าที่อยู่ค่อนข้างติดกับด้านหน้ากล่าวกับชายชุดสีขาวที่อยู่ด้านข้าง
“สามปีล้วนสอบไม่ติด ข้าผู้แซ่หลิ่วช่างรู้สึกละอายใจต่อครอบครัวจริงๆ” ชายชุดขาวส่ายหน้าด้วยสีหน้าเงียบกริบ และค่อยๆ เบียดตัวออกไปจากฝูงชนที่ส่งเสียงอึกทึกครึกครื้น
ครึ่งเดือนต่อมา ภายในบ้านสกุลหลิ่ว
“ท่านแม่ มีจดหมายมา ท่านพ่อเขียนมาให้ท่าน!” เด็กชายถือม้วนแผ่นไม้ไผ่วิ่งไปในนาข้าวที่มีความสูงเท่าคนด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หญิงที่สวมชุดเรียบๆ ได้ยินเช่นนี้ก็หยุดทำงานทันที นางเอามือทั้งสองเช็ดกระโปรง จากนั้นก็รับม้วนไม่ไผ่ในมือเด็กชายออกมาเปิดดูด้วยรอยยิ้ม
แต่ว่ารอยยิ้มของนางกลับค่อยๆ หดลง และถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกรันทดใจ
“เฟิงเอ๋อร์ พ่อของเจ้าอาจยังต้องอยู่ในเมืองอีกปี ปีหน้าถึงกลับมา” หญิงนางนี้ค่อยๆ เก็บแผ่นไม้ไผ่และฝืนยิ้มออกมา
ดูเหมือนว่าเด็กชายจะเข้าใจอะไรบางอย่างเล็กน้อย จึงก้มหน้าลงเงียบๆ และไม่พูดอะไรออกมา
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
หนึ่งปีมานี้ ทั้งสองแม่ลูกมีชีวิตประคับประคองกันมาด้วยความยากลำบาก
ในบ้านขาดบุรุษไป ก็เหมือนกับขาดเสาหลัก ยิ่งไปกว่านั้นแหล่งรายได้ก็ลดลงไปไม่น้อย บวกกับภัยแล้งในปีนี้ ไม่เพียงแต่การเก็บเกี่ยวจะไม่ดี ทั้งยังรายได้ไม่พอกับรายจ่าย นางกัดฟันขายวัวแก่ที่เหลืออยู่ตัวเดียวในบ้าน เพื่อแลกเงินจำนวนหนึ่ง ถึงสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายไว้ได้
แต่ทว่าม้วนแผ่นไม้ไผ่แบบเดียวกัน ก็บ่งบอกว่าชายผู้นี้ยังไม่มีชื่อในป้ายเกียรติยศ และทั้งสองแม่ลูกก็ไม่ยังไม่ได้เห็นชายผู้นี้สวมเครื่องแบบเต็มยศกลับบ้าน
ทั้งสองรอจนเวลาผ่านไปอีกสามปี!
บนเตียงไม้ในบ้านไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง
ในที่สุดหญิงนางนี้ก็ป่วยเนื่องจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายปี ในบ้านตอนนี้ไม่มีเม็ดข้าวสารเหลือเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่สามารถขายได้ก็ขายไปหมดแล้ว
“ท่านแม่ มีจดหมายจากท่านพ่อ!” เด็กชายวิ่งเข้ามาในบ้านด้วยความดีใจอีกครั้ง และโผไปที่หัวเตียงของนาง
ตอนนี้เด็กชายมีอายุสิบสองปีแล้ว เขาโตขึ้นกว่าสามปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด สูงถึงหกฉื่อแล้ว รูปร่างก็สูงใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เด็กชายตัวเล็กๆ คนนั้นแล้ว
“แค่ก…แค่ก…” พอหญิงผู้นี้ได้ยินก็พยายามลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่นางกลับไอไม่หยุด
“ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรนะ!” เด็กชายก้าวไปพยุงนางขึ้นมา และถามด้วยความเป็นห่วง
“แค่กๆ…เฟิงเอ๋อร์ หลายปีมานี้แม่ได้สอนหนังสือให้เจ้าไม่น้อย ครั้งนี้แม่…แค่ก…จะทดสอบเจ้า เจ้าเปิดมันออกแล้วอ่านให้แม่ฟังซิ” หญิงนางนี้กระแอมไอสองสามที จากนั้นก็เอนหลังลงบนเตียง และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“เหลียนซี ข้าไร้ความสามารถ ผ่านมาตั้งหกปีแล้วยังสอบไม่ติด ไม่มีหน้ากลับไปพบหน้าบรรดาพี่น้องในหมู่บ้านได้ แต่ข้าคิดถึงเจ้ากับเฟิงเอ๋อร์มาก ช่วงนี้พวกเจ้าทั้งสองสบายดีหรือไม่ ข้าจะเฝ้ารอวันที่ได้พบกับพวกเจ้า ท่านแม่ ท่านพ่อไม่ได้…….” พอเด็กชายอ่านถึงตอนท้าย น้ำเสียงที่ตื่นเต้นก็ค่อยๆ ลดต่ำลง
“เฟิงเอ๋อร์……แค่กๆ……ไป รีบไปเอาพู่กันกับกระดาษมาตอบจดหมายของพ่อเจ้า” หญิงผู้นี้ได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าร้อนใจ
ครึ่งเดือนต่อมา ห้องรับรองในห้องหนังสือในเมือง ชายชุดสีขาวกำลังถือจดหมายจากที่บ้านด้วยสีหน้าซีดเผือด เขาไม่ได้เห็นลายมือของภรรยารัก แต่กลับเป็นลายมืออ่อนหัดของบุตรชายแทน
“ท่านพี่ ข้ากับเฟิงเอ๋อร์สบายดีทุกอย่าง ท่านอ่านหนังสืออย่างวางใจได้เลย พวกเราอยู่บ้านรอท่านกลับมา เฟิงเอ๋อร์ไม่เพียงแต่จะอ่านหนังสือฝึกตัวอักษร ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาหวังว่าจะมีสักวันที่ได้ไปขี่ม้าในสนามรบ รับใช้บ้านเมือง”
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนผ่านไปอีกสามปี
วันนี้ ตรงหน้าหลุมฝังศพแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลผู้คน ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกำลังถือจดหมายอยู่ในมือ ดวงตาของเขาเผยแววโกรธแค้น และเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
“ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงไม่ยอมให้ข้าบอกท่านพ่อ ท่านป่วยหนักถึงเพียงนี้ ยังให้ข้าตอบจดหมายกลับไปทุกครั้งว่าพวกเราสองแม่ลูกสบายดี เพราะเหตุใดกัน? ท่านพ่อจากบ้านไปนานถึงแปดเก้าปี แต่กลับไม่เคยกลับมาเยี่ยมพวกเราเลยสักครั้ง ตอนนี้ท่านแม่ก็จากไปแล้ว แต่เขากลับไม่รู้เรื่องเลย”
“ปีนี้เขาสอบตกอีกแล้ว ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะรอไปจนถึงวันไหน สอบติดขุนนางสำคัญกับเขามากขนาดนั้นเชียวหรือ? ถึงขนาดไม่กลับมาดูลูกเมียเป็นเวลานานเช่นนี้? เขาจะหลงงมงายไปจนถึงเมื่อไหร่กัน!”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง น้ำตาสองสายก็ไหลทะลักออกมา ชายหนุ่มชกกำปั้นใส่หินขนาดใหญ่ข้างหลุมศพอย่างรุนแรง
“ตู๊ม!” เกิดรอยร้าวเล็กๆ บนหิน และหลังมือของชายหนุ่มก็เปื้อนไปด้วยเลือด
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่อยู่ในห้องหนังสือในเมือง ยังคงอ่านหนังสือทุกคืนวันอย่างไม่หยุดพัก
เก้าปีมานี้ เขาลืมซึ่งวันและเวลา ราวกับว่าเพียงแค่อ่านหนังสือ ก็จะไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด แต่ละวันก็จะอ่านหนังสือซ้ำแล้วซ้ำอีก
ในที่สุด เมื่อถึงปีที่สิบ
“สหายหลิ่ว ในที่สุดท่านก็สอบติดแล้ว ทั้งยังติดในสามอันดับแรกด้วย”
“ติดแล้ว ติดแล้ว ในที่สุดก็ติดแล้ว!” หลิ่วหมิงถือกระดาษหนังสือทางการด้วยมือที่สั่นเทา บนนั้นมีคำว่า ‘อันดับสาม’ ติดอยู่ ด้านล่างยังมีชื่อของเขากับตราราชลัญจกรสี่เหลี่ยมสีแดงประทับอยู่
เขาลูบจอนผมสีขาวทั้งสองข้างเบาๆ จัดระเบียบรูปร่างหน้าตาเล็กน้อย น้ำตาสองทรายไหลออกมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็แหงนหน้าหัวเราะเป็นการใหญ่
วันนี้หมู่บ้านสกุลหลิ่วดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษ
เส้นทางเข้าหมู่บ้านเพียงหนึ่งเดียว มีคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างช้าๆ
“คนที่อยู่ด้านหน้านั่งอยู่บนหลังม้า สวมชุดสีแดง บนศีรษะสวมหมวกทรงสูง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาก็คือหลิ่วหมิงที่ได้อันดับสามในการสอบขุนนางในครั้งนี้นั่นเอง
และคนที่อยู่ด้านหลังของเขาต่างก็สวมชุดสีแดง ตีฆ้อง ตีกลอง แลดูครึกครื้นยิ่งนัก
“หลิ่วทั่นฮวา ด้านหน้าก็เป็นหมู่บ้านสกุลหลิ่วแล้ว” คนเลี้ยงม้าที่จูงม้าอยู่ชี้ไปยังป้ายทางเข้าหมู่บ้านก่อนกล่าวกับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงหรี่ตามองออกไปทีหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้าในทันที
“ข้าจะเดินกลับไปเอง คิดไม่ถึงว่าจากไปครานี้จะนานถึงสิบปี ไม่รู้ว่าตอนนี้เหลียนซีกับเฟิงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” หลิ่วหมิงพูดออกมาเบาๆ จากนั้นก็ระงับความตื่นเต้นไว้ในใจ และเดินไปยังปากทางเข้าหมู่บ้าน
หลังจากมองดูป้ายหมู่บ้านเก่าๆ อีกครั้งแล้ว หลิ่วหมิงก็เร่งฝีเท้าเดินไปที่บ้านของตัวเองอย่างรวดเร็ว
เทียบกับเมื่อสิบปีก่อนแล้ว ดูเหมือนว่าหมู่บ้านในตอนนี้จะเงียบเหงากว่ามาก
ปากทางในหมู่บ้านที่เคยมีคนเดินขวักไขว่ กลับมีคนแก่แค่ไม่กี่คนที่ยังนั่งอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเอง และจัดการกับเมล็ดพืชบนพื้นอยู่
“เจ้าคือ เจ้าสามของสกุลหลิ่ว เจ้ากลับมาแล้ว!”
หญิงชราผมขาวที่อายุย่างเข้าหกสิบมองดูหลิ่วหมิงสองสามที จากนั้นก็ดูเหมือนจะจำหลิ่วหมิงได้ จึงกล่าวด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ต่อมาก็ละสายออกมา ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อาหญิงห้า สายตาท่านยังคงดีมาก ข้ากลับมาแล้ว ข้าสอบติดอันดับสามแล้ว ทำไมหรืออาหญิงห้า เหลียนซีสบายดีหรือไม่ เฟิงเอ๋อร์ล่ะ?” หลิ่วหมิงเห็นท่าทีของหญิงชรา ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา จึงถามด้วยความร้อนใจ
หญิงชราไม่พูดอะไร แต่กลับส่ายหน้าเล็กน้อย และถอนหายใจเบาๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าใจร่วงหล่นลงไปอย่างช่วยไม่ได้ เขารีบพุ่งตรงไปที่บ้านของตัวเองทันที
ทุกอย่างเหมือนกับสิบปีก่อน ข้ามยอดเขาลูกเล็กๆ ในหมู่บ้านไป มีบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่สร้างขึ้นมาจากท่อนไม้กลมๆ ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำแห่งหนึ่ง
หลิ่วหมิงออกแรงผลักประตูบ้านออก แต่กลับค้นพบว่าด้านในล้วนว่างเปล่า
ภายในบ้านไม้เก่าๆ เต็มไปด้วยฝุ่น ราวกับว่าไม่มีคนอาศัยอยู่นานแล้ว
และบนโต๊ะกับบนพื้น ก็มีอ่างไม้ที่แห้งขอดสองสามใบวางอยู่อย่างสะเปะสะปะ ประจักษ์ชัดว่าใช้รองน้ำฝนในวันที่ฝนตก และรั่วเข้ามาในบ้าน
“เฟิงเอ๋อร์ พ่อกลับมาแล้ว” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบตะโกนเรียกด้วยเสียงอันดัง
………………………………